บทที่ 1 ตอนพิเศษ 2 

 

    หลังวันวาเลนไทน์

    ผมกำลังมองดูสิ่งต่างๆที่ได้มาเมื่อวานอยู่ที่ห้องนั่งเล่น

    บนโต๊ะ เต็มไปด้วยช็อคโกแลตวันวาเลนไทน์มากมาย

    จำนวนมัน 10 ไม่สิ ไม่ต่ำกว่า 20 ชิ้นได้

    ไม่คิดเลยว่าวันที่ผมจะได้รับช็อคโกแลตมากขนาดนี้จะมาถึง….. ยังทำใจเชื่อไม่ลงอยู่เลย

    …..ที่น่าเศร้าคือ ทั้งหมดมันเป็นช็อคโกแลตมารยาท

    แล้วในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีเงากระโจนออกมาจากด้านข้างโต๊ะ

    ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ตัวอ้วน สุนัขบ้านของเรา มารุ

    มารุทำจมูกฟุดฟิดและพยายามเอาหน้าเข้าไปใกล้ช็อคโกแลตบนโต๊ะ

 

「เอ้า ไม่ได้ไม่ได้!」

 

    ผมรีบดันจมูกมารุกลับไป

    มันเป็นความรู้ทั่วไปของครอบครัวที่มีสุนัขว่าห้ามเอาช็อคโกแลตให้สุนัขกิน

    ด้วยเหตุนี้ แน่นอนว่าพวกเราจึงระวังไม่ให้ช็อคโกแลตกับมารุเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าหมาโง่ตัวนี้มันคิดอะไรอยู่ ทุกครั้งที่มันเห็นช็อคโกแลต มันก็พยายามจะกินให้ได้

    ให้ตายสิ「อาหารที่พวกนายท่านเก็บเอาไว้กินคนเดียวมันจะต้องอร่อยมากๆจนไม่อยากให้เรากินแน่ๆ!」ต้องคิดแบบนี้อยู่แหงๆ

    กลายเป็นว่าเจ้าหมาโง่ตัวนี้ลงเอยเป็นชอบช็อคโกแลตทั้งๆที่ไม่เคยกินมาก่อน

    …..หรือว่าบางทีเป็นพวกอยากฆ่าตัวตาย?

    ขณะที่ผมกำลังฟัดอยู่กับมารุที่พยายามขโมยช็อคโกแลตอยู่นั้น

 

「อรุณสวัสดิ์ กำลังทำอะไรอยู่นั่น?」

 

    คุณพ่อเดินลงมาจากชั้น 2 พอได้เห็นกองช็อคโกแลตที่อยู่บนโต๊ะก็ถึงกับตาโต

 

「โอ้ นี่มันช็อคโกแลต? หรือว่า วาเลนไทน์เหรอ?」

「อา อืม ก็นะ」

「นี่ลูก ป็อปปูล่าน่าดูเลยไม่ใช่รึไง! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกชายพ่อจะเนื้อหอมขนาดนี้ ตอนพ่อเป็นนักเรียนไม่เป็นแบบนี้เลย สงสัยเกิดมาผิดยุครึเปล่าเนี่ย?」

 

    กับพ่อที่กำลังยิ้มกรุ่มกริ่มอยู่ ผมก็ขมวดคิ้ว

 

「ไม่ใช่ว่าเนื้อหอมซักหน่อย ส่วนหนึ่งแค่ทำกันเล่นๆ อีกส่วนก็แค่เอาใจช่วย แล้วก็สำหรับพวกเรา ไม่ว่าจะอดีตหรืออนาคต มันไม่มีหรอกที่ใบหน้าพวกเราจะเนื้อหอมได้」

 

    ใบหน้าของคุณพ่อก็เหมือนกับผม ใบหน้าของตัวม็อบตัวประกอบที่ไม่มีจุดเด่น

    ที่ต่างกันก็มีแค่ตรงตา 2 ชั้นที่สวยงามและดวงตาแสดงให้เห็นความใจดี นอกเหนือจากนั้นแล้ว ถ้าเป็นในอีก 30 ปีข้างหน้า ผมก็จะกลายเป็นเหมือนพ่อเปี๊ยบ

 

「งั้นเหรอ…..ไม่เป็นไร ผู้ชายน่ะไม่ได้ดูที่ใบหน้า มันอยู่ที่การศึกษาและรายได้ต่างหาก แม่เองที่เลือกพ่อก็เพราะรายได้และบุคลิคสบายๆยังไงล่ะ」

 

    กับพ่อที่พูดเรื่องน่าเศร้าออกมาได้อย่างภูมิใจ ทำเอาผมไม่รู้จะพูดอะไรกลับไปดี

    จะว่าไปแล้ว ถึงจะอยู่ในฐานะลูกชาย แต่คุณแม่ของผมค่อนข้างสวยเลยทีเดียว

    อายุน้อยกว่าพ่อไปเกือบ 10 ปีแถมยังดูอ่อนกว่าวัย พอไปยืนข้างๆพ่อแล้วจะดูเหมือนเป็นพ่อลูกมากกว่าจะเป็นคู่รักกันเสียอีก

    แม้จะแต่งงานมาแล้วกว่า 10 ปี พ่อก็ยังคงถูกควบคุมโดยภรรยาอายุน้อยกว่าคนนี้อยู่ ถูกวางตำแหน่งเป็นช้างเท้าหลังไปอย่างสมบูรณ์…..ถึงขนาดที่ว่าแม้จะได้เงินใช้เดือนล่ะแค่ 10,000 เยนก็ไม่ปริปากบ่น

    นอกจากนี้ ไอยังเหมือนแม่ไปเต็มๆ มีแต่ดวงตาที่เหมือนพ่อ

    การรวมส่วนที่ดีที่สุดของพ่อแม่เข้าด้วยกัน นั่นคือไอ การรวมส่วนธรรมดาๆของพ่อแม่เข้าด้วยกัน นั่นคือผม

    เหล่าป้าๆไร้หัวใจแถวละแวกบ้านก็บอกมาหน้าตาเฉยว่า ที่คนพี่ได้ส่วนที่ไม่เป็นที่ต้องการไปก็ถือว่าดีแล้วล่ะ

    นี่ถ้าไม่ได้เกิดมาเป็นพี่ชายแต่ไปเป็นน้องชายล่ะก็ คงได้ถูกเรียกเป็นลูกเมียน้อยแน่

 

「…..จะว่าไปแล้ว อุทามาโร่ เกี่ยวกับเรื่องงานของลูกน่ะ」

 

    คุณพ่อจู่ๆก็ทำท่าจริงจัง ผมจึงเตรียมตั้งสติเข้าไว้

    พ่อแม่ของเราไม่ชอบธุรกิจนักผจญภัย เพราะมันอยู่บนความเสี่ยง เคียงคู่ไปกับการต้องถอนตัวได้ทุกเมื่อหากเกิดเหตุอะไรขึ้นมา

    พอเห็นผมเป็นแบบนั้น พ่อก็ยิ้มแห้งๆ

 

「อา ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอก หลังจากที่ได้ดูงานแข่งและความพยายามของลูกเมื่อเร็วๆนี้ พวกเราตัดสินใจว่าจะมองดูไปก่อนซักพัก ก็นะ ถ้าหากว่าบาดเจ็บแล้วล่ะก็ จะให้ถอนตัวในทันทีเลย」

「ง-งั้นเหรอครับ…..」

「อื้ม ดูเหมือนว่าจะได้พรรคพวกที่พึ่งพาได้มาแล้วสินะ งั้นก็ จากนี้ไปเป็นเรื่องหลักล่ะ…..」

「อ-อื้ม…..」

 

    พ่อทำท่าทางจริงจังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่งลงไปตรงเก้าอี้

 

「…..ลูก ยื่นแบบแสดงรายการภาษีโอเคดีรึเปล่า?」

「………………..ครับ?」

 

    ด้วยคำพูดของพ่อ ที่ผมทำได้ก็แค่เอียงคอเท่านั้น

 

 

 

    นักผจญภัย ถือว่าเป็นอาชีพที่ถูกต้องอย่างหนึ่ง

    แนวคิดพื้นฐานคือการเดินทางไปในเขาวงกตและนำสิ่งของที่อยู่ภายในนั้นมาขาย ถูกจัดระเบียบให้เป็นอุตสาหกรรมหลัก

    กับพวกที่ยึดการแข่งอย่างมอนโคโลเป็นหลักที่เป็นอุตสาหกรรมบริการก็มีแต่ว่า เนื้อหางานหลักเลยคือการมุ่งเข้าสู่เขาวงกตและเก็บรวบรวมทรัพยากร

    และตราบเท่าที่มีรายได้ ภาษีย่อมเกิดตามมาเป็นธรรมชาติ

    ภาษี…..เป็นคำที่สำหรับนักเรียนแล้วยังไม่ค่อยเข้ากันนัก

    แม้แต่กับงานพาร์ทไทม์เอง บริษัทที่คุณไปทำงานอยู่จะเป็นผู้คอยจัดการค่าใช้จ่ายในตอนสิ้นปีให้เอง มันจึงทำให้คุณไม่รู้สึกว่าได้จ่ายภาษี

    ทว่า พอได้เป็นนักผจญภัยที่ไม่ได้ถูกจ้างโดยใครแล้ว เรื่องราวมันย่อมต่างออกไป

    นั่นก็เพราะนักผจญภัยเป็นนายตัวเอง

    จะต้องคำนวณและส่งแบบแสดงรายการภาษีด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากร ดูเหมือนว่าจะมีประเภทของภาษีอยู่ 2 แบบคือสีขาวและสีฟ้า ในส่วนนักผจญภัยจะเป็นอย่างหลัง ผมเองไม่รู้ตัวเลยแต่ดูเหมือนว่าเอกสารตอนที่ยื่นเมื่อตอนที่ได้เป็นนักผจญภัยจะรวมไปถึงเอกสารสำหรับสีฟ้านี้ด้วย

 

    หากว่าไม่ยื่นแสดงรายการภาษีสีฟ้านี้…..จะต้องได้เห็นนรกแน่นอน

    พื้นฐานของภาษีก็คือ การคูณกับรายได้ รายได้นั้นก็มาจากเงินได้สุทธิหักลบกับค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

    ถ้าหากว่าไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีขั้นสุดท้าย สรรพากรก็จะคิดภาษีจากเงินได้สุทธิในปีก่อนแทน

    ยกตัวอย่าง ในกรณีของผมในปีที่แล้วมีเงินได้สุทธิ 8 ล้านเยน

    แล้วถ้าถามว่าที่เหลืออยู่มีเท่าไหร่ ก็บอกได้ว่าเกือบ 0

    นั่นเพราะเป็นผลจากการซื้อการ์ดและอุปกรณ์เวท แปรสภาพอุปกรณ์เวทให้เป็นการ์ด ทุกๆอย่างหายไปไม่เหลือ

    นี่ก็คือ การผจญภัย…..พูดอีกอย่างคือ เนื่องจากว่ามันเป็นอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงาน จึงถูกนับเป็นค่าใช้จ่ายไปโดยปริยาย

    นั่นหมายถึง ไม่ว่าจะมีเงินได้สุทธิมากแค่ไหนก็ตาม รายได้ก็แทบจะเป็น 0 เพราะงั้นจึงไม่ต้องเสียภาษี

    ทว่าหากไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีก็จะไม่สามารถพิสูจน์ค่าใช้จ่ายได้ กลายเป็นรายได้ = เงินได้สุทธิ เงิน 8 ล้านถูกนำไปคิดภาษีทั้งหมด

    ภาษีของรายได้ที่ต่ำกว่า 9 ล้าน ก็ตั้ง 23%…..จะต้องจ่ายค่าภาษีจำนวนน่ากลัวที่แทบไม่อยากจะคำนวณ

    ดูเหมือนว่าในทุกๆปี จะมีนักเรียนนักผจญภัยที่ยังไม่เข้าใจเรื่องการยื่นแบบแสดงรายการภาษีดีนัก ต้องเข้าๆออกๆสำนักงานสรรพากรอยู่บ่อยครั้ง

    ด้วยเหตุนี้ นักผจญภัยจึงต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอยู่เสมอ

    พอรู้ว่าต้องใช้ใบเสร็จแนบในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเลยทำให้ตื่นตระหนกไปพักนึง แต่เพราะมักจะเก็บใบเสร็จต่างๆเอาไว้ในกระเป๋าจึงรอดตัวไป

    ผมมีนิสัยเสียที่ชอบเอาใบเสร็จยัดๆลงไปในกระเป๋าจนเละเทะ แต่กลับกลายเป็นว่ามันช่วยเอาไว้

 

    ด้านล่างนี้คือโครงร่างของแบบคืนภาษีขั้นสุดท้ายที่เตรียมขึ้นมาตามคำอธิบายของพ่อ

 

【ผลลัพธ์ของปี 2018】(มูลค่าต่ำกว่า 10,000 ไม่ถูกนับ)

    — เงินได้สุทธินักผจญภัย 7.87 ล้านเยน(การขายหินเวทและอื่นๆ) – ค่าใช้จ่าย(ค่าข้อมูล 290,000 , ค่าซื้อการ์ด 7.5 ล้าน(เอ็มพูซา 7.5 ล้าน+ การ์ดแพ็ค 1 ล้าน), ค่าแปลงการ์ดอุปกรณ์เวท 1 ล้าน, เสบียงนักผจญภัย 50,000 , ค่าเดินทาง 10,000 ,  ค่าใช้จ่ายจิปาถะ 20,000 ) = 0 เยน

    — ค่าพาร์ทไทม์(หักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว) – ค่าลดหย่อน 1.03 ล้านเยน(ค่าลดหย่อนพื้นฐาน 380,000 + หักรายได้เงินเดือน 650,000 เยน) = 0 เยน

 

    …..สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนปีนี้จะรอดตัวไปได้โดยไม่ต้องจ่ายภาษีอะไร

    ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ

    การที่ค่าใช้จ่ายของนักผจญภัยมันกว้างนับว่าช่วยได้มาก

    อย่างไรก็ดี ของที่ผมได้มาเมื่อปีก่อนที่มีแพงที่สุดคือการ์ดแวมไพร์ แต่มันไม่มีการเรียกเก็บภาษี

    พวกรางวัลที่ได้จากทางโทรทัศน์หรือการชิงโชคต่างๆ จะมีการเรียกเก็บภาษีหากมีมูลค่ามากเกินจุดๆหนึ่ง แต่ถ้าหากเกี่ยวข้องกับการ์ดแล้ว การได้มาไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษี

    นี่ก็เพราะ การ์ดสำหรับนักผจญภัยแล้ว เปรียบเสมือนเรือหาปลาของชาวประมง, หรือรถแทร็กเตอร์ของชาวนา เป็นการคำนึงถึงความจริงที่ว่าไม่มีหลักประกัน

    ถ้าต้องจ่ายภาษีให้กับทุกอย่างที่อาจจะสูญเสียไปได้ในวันพรุ่งนี้แล้วล่ะก็ นักผจญภัยได้ล้มละลายกันหมดแน่

    ดังนั้น การ์ดที่ได้รับจากงานแข่งพวกนี้ จึงไม่ถูกคิดภาษี

    แน่นอนว่าหากนำการ์ดไปขายแล้วได้เงินก็จะถูกคิดภาษี

 

「ถ้าหากจะเป็นนักผจญภัยแล้วล่ะก็ ในปีต่อไปจะต้องทำเองแล้ว ถ้าหากว่าเงินได้สุทธิมันเริ่มมากเกินไป อาจจะเป็นความคิดที่ดีถ้าไปปรึกษากับที่ปรึกษาภาษี เพราะดูเหมือนว่าจะมีเทคนิคต่างๆอยู่อีกมากนะ」

「………………..」

 

    นักผจญภัยนั้นเป็นงานในฝันที่อิสระจากข้อจำกัดทั้งปวง, เต็มไปด้วยความแฟนตาซี, เนื้อหอมกับพวกสาวๆ…..เคยมีช่วงเวลาที่คิดอยู่แบบนั้น

    แต่ในความเป็นจริงกลับลำบาก, ถึงจะเนื้อหอมกับสาาวๆ แต่ความจริงคือล้วนแล้วแต่มองเงิน, ผู้หญิงคนที่ตนสนใจกลับไม่มอง, รายได้จริงๆก็ไม่มากเพราะค่าใช้จ่าย, ชีวิตอยู่บนความเสี่ยง, และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่สามารถหลีกหนีไปจากเงื้อมือปีศาจของภาษีไปได้

 

    ……….จะว่ายังไงดี นักผจญภัยเนี่ย เป็นอาชีพที่ไร้ซึ่งความฝันอย่างน่าตกใจเลย

 

    และแล้วผมก็ก้าวเข้าไปใกล้สู่การเป็นผู้ใหญ่อีกก้าว

 

 

 

 

【Tips】ค่าใช้จ่ายของนักผจญภัย

    ขอบเขตของค่าใช้จ่ายที่อนุญาตแก่นักผจญภัยนั้นกว้างมาก ไม่เพียงแค่ค่าใช้จ่ายในการซื้อการ์ดเท่านั้น แต่ทั้งค่าซื้ออุปกรณ์เวทส่วนใหญ่, ค่าใการแปลงการ์ดสิ่งต่างๆ, ค่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์, แม้แต่ค่าอาหาร ก็ถูกนับเป็นค่าใช้จ่าย

    ทว่าในหมู่ค่าการซื้อการ์ดและการซื้ออุปกรณ์เวท จะถูกนับรวมก็ต่อเมื่อเป็น『การซื้อกับกิลล์หรือร้านที่ได้รับอนุญาต』เท่านั้น

    การ์ดที่ได้จากการแลกเปลี่ยนส่วนตัว จะไม่ถูกนับเป็นค่าใช้จ่าย นั้นเพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้ซื้อมันมาจริงๆ หรือเป็นแค่การแอบอ้างว่าซื้อมา

    …..แต่นั่นก็เป็นแค่ข้ออ้าง ที่จริงมันคือมาตรการเพื่อลดจำนวนการแลกเปลี่ยนการ์ดและอุปกรณ์เวทนอกกิลล์ก็เท่านั้น

    จุดยืนของกิลล์คือ ไม่ห้ามการแลกเปลี่ยนที่อยู่นอกกิลล์ แต่ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเมื่อเกิดปัญหาที่ตามมากับมัน รวมทั้งภาษีที่เกี่ยวข้องด้วย