อืมฮืม เป็นฝันที่แปลกชะมัด
ชั้นคุยกับตัวเองในความฝัน
แล้วก็ที่”ตัวชั้น”ในความฝันพูดอะไรอย่าง “เป็นฝันที่ยิ่งกว่าฝัน”…
คงไม่ใช่หรอก ฝันก็คือฝันนั่นแหละ
…ก็อยากจะพูดอย่างนั้น แต่อย่างน้อยก็ขอรับคำแนะนำเรื่องแม่มดเอาไว้แล้วกัน
ถ้าฝันนั้นเป็นเรื่องจริง แล้วแม่มดขี้ระแวงขนาดจะเทเลพอร์ตหนีในทันทีที่ชั้นเข้าใกล้ แบบนั้นเธอก็คงไม่มาพะวงกับผลกระทบของเวทย์เทเลพอร์ตมากนัก
เป็นปัญหาจริงๆเลย
ที่ชั้นรู้ว่าแม่มดหลบอยู่ใต้โรงเรียนนี้ก็เป็นเพราะเกมที่เคยเล่นเมื่อชาติที่แล้ว
เพราะแบบนั้นชั้นเองก็ไม่มีวิธีที่จะสามารถติดตามเธอได้แบบตรงเป๊ะๆหรอก
ใช่ว่าชั้นจะสามารถสัมผัสคลื่นพลังได้แล้วก็พูด “เจอมันแล้ว คาคาร็อตอยู่ทางนั้น!” หรือสามารถแยกแยะพลังออกได้แบบ “คลื่นพลังนี้มัน คุณคุริริน” ซะเมื่อไหร่[*ล้อดราก้อนบอล]
ชั้นรู้ที่อยู่ของเธอได้ก็เพราะเคยเล่นผ่านมาก่อนเท่านั้นแหละ
ถ้าเธอย้ายที่อยู่ไป ชั้นก็คงไม่รู้ว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน
ถ้าเธอหนีไปอยู่ที่ใต้ดินของป่าสักแห่งในทวีปอันไกลโพ้น ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ชั้นจะตามเธอเจอ
ในโลกนี้น่ะมีวิธีตรวจจับปฏิกิริยาพลังเวทย์อยู่
คล้ายๆกับเวทย์ที่ไอ้แว่นโรคจิตใช้ในเหตุการณืที่เอเทอร์น่าจะฆ่าตัวตาย
แต่เพราะชั้นเน้นพลังแบบเพียวๆมาตั้งแต่เด็ก เลยไม่ถนัดในเรื่องละเอียดอ่อนแบบนั้น ต่อให้เป็นไอ้แว่นโรคจิตก็คงจะแกะรอยถึงศัตรูที่อยู่ไกลออกไปมากไม่ได้หรอก
ต้องกันไม่ให้เธอหนีได้ วิธีนี้ดีที่สุด
เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ผู้ที่หนีคือผู้ที่ชนะ”
อย่าสู้ในการต่อสู้ที่รู้ว่าชนะไม่ได้ หนีไปจะยังดีกว่า
เป็นวิธีการที่ถูกต้อง ถึงมันจะดูขี้ขลาดก็ตาม
…แต่ลาสต์บอสมาทำแบบนี้มันไม่ดีนา ความน่าเกรงขามหายหมด
ในตอนนี้เธอน่าจะยังอยู่ใต้ดินของโรงเรียนนี้
ไม่ใช่เพราะว่าหนีไม่ได้ แต่เพราะว่าการหลบซ่อนอยู่ใต้โรงเรียนนี้มีข้อดีอื่นอยู่
ที่นี่เป็นสถาบันสำหรับฝึกสอนอัศวินเวทย์ที่จะมาเป็นศัตรูของเธอ ถ้าแม่มดซ่อนตัวอยู่ในถิ่นศัตรูแบบนี้ เธอก็จะได้รับข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นสำหรับอนาคตมาได้โดยง่าย
ครูใหญ่ไม่ใช่สปายเพียงคนเดียวของเธอ คิดว่าน่าจะมีทั้งนักเรียนและอาจารย์อีกหลายคนที่อยู่ฝั่งนั้นเช่นกัน
ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่รู้ในทันทีว่าชั้นล่วงล้ำเข้าใกล้อาณาเขตของเธอ
ใครซักคนคงจะจับตาดูชั้นอยู่และคอยรายงานการเคลื่อนไหวให้กับแม่มด
คนที่ทำแบบนั้นได้…หรือว่าพวกองครักษ์?
คนที่อยู่ใกล้ชิดชั้นที่สุด พวกองครักษ์ที่ทำหน้าที่ปกป้องชั้น
เลย์ล่ารึเปล่านะ?…ไม่ ไม่ใช่เธอ เลย์ล่าไม่ฉลาดขนาดนั้นหรอก
ถึงแม้เลย์ล่าในเกมจะทรยศเอลริส แต่นั่นก็มาจากเกียรติของเธอในฐานะ”อัศวินจากตระกูลที่รับใช้เซนต์มาหลายชั่วอายุคน”
ในทางเทคนิคแล้วเธอไม่ได้ทรยศเซนต์ซะด้วยซ้ำ แค่โดนหลอกให้รับใช้นายผิดคน จากนั้นจึงเปลี่ยนข้างไปรับใช้นายที่แท้จริง
ผู้ต้องสงสัยคนอื่นก็คือคนจากตระกูลฟ็อกซ์
เป็นเพราะป๊ะป๋าของไอน่า ฟ็อกซ์คัดค้านการตัดสินใจของเอลริส(ตัวจริง) ทำให้ตระกูลของเขาล่มสลายและผู้คนในตระกูลถูกฆ่าจนเกือบหมด เป็นแค่ลุงที่น่าสงสารคนนึง
เขาเป็นองครักษ์ส่วนตัวของชั้นก่อนที่เลย์ล่าจะมารับตำแหน่ง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่เลี้ยงชั้นมา
แต่ถ้าเป็นในโลกนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องทรยศชั้นเลย เอาจริงๆลุงแกไม่ได้อยู่โรงเรียนนี้ด้วยซ้ำ องครักษ์คนเดียวที่ตามชั้นมาด้วยคือเลย์ล่า
เพราะแบบนั้น วิสเคานท์ฟ็อกซ์เองก็ไม่น่าจะใช่
ถ้าอย่างนั้น…ก็เหลือแต่พวกอาจารย์กับนักเรียนมในโรงเรียนนี้ แต่ชั้นเองก็ไม่รู้ว่าคนไหนมีโอกาสเป็นคนทรยศบ้าง
เพราะว่าชั้นจำพวกตัวละครที่ไม่ได้อยู่ในเกมเมื่อชาติก่อนไม่ได้
ถ้าพวกสปายเป็นตัวประกอบที่ชั้นจำหน้ายังไม่ได้ ก็คิดว่าคงจะแยกพวกมันออกมาไม่ได้หรอก
…แย่เลยแฮะ เอาไงดีล่ะทีนี้
เอาเป็นว่าค่อนว่ากันทีหลัง ในตอนนี้ก็อย่าเข้าใกล้ชั้นใต้ดินเด็ดขาด
ถ้าได้ฝันอีกรอบ ก็ค่อยเช็กจากเน็ตเอาเมื่อถึงตอนนั้น
เนื้อเรื่องผ่านมาได้ไม่ถึงครึ่งทางเลย มีเวลาอีกเยอะ
อายุขัยชั้นยังเหลือจนกว่าเวอร์เนลจะเรียนจบปี 1 ยังมีเวลาเหลือเฟือ
ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้
เอาล่ะ ถึงเวลาไปแล้ว
ชั้นส่องกระจกอีกครั้ง และใช้เวทมนตร์เพื่อรักษาความงามของผิวพรรณและเส้นผม
เพราะว่าข้างในเป็นขยะเปียก ต้องเคลือบทองเอาไว้ตลอดไม่อย่างนั้นความจะแตกเอาได้
ก็นะ จะเคลือบให้หนาแค่ไหน ขยะก็ยังเป็นขยะอยู่วันยังค่ำ
เอามาเลียหรือดมไม่ได้หรอก
ต่อไปก็ถึงเวลาเรียน
ชั้นจะยิ้มเอาไว้ตลอดในระหว่างที่คุยกับพวกนักเรียนในห้อง
ให้ทำแบบนี้ทุกวันน่ะไม่ไหวหรอก เลยต้องใช้เวทมนตร์คอยช่วย
ชั้นใช้เวทย์สายฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าของตัวเอง เพื่อให้สามารถคงรอยยิ้มที่ดูเป็นธรรมชาติไว้ได้พลอด…
ถ้าไม่ทำแบบนั้น หน้าชั้นก็จะเบ้ออกมาทันที
รอยยิ้มเก๊ก็ยังประสบความสำเร็จอีกตามเคย หน้าชั้นนี่ไม่มีความจริงใจอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
“…จะเห็นได้ว่า ศัตรูที่ก้มหัวยอมแพ้ในการต่อสู้นั้นเป็นสิ่งอันตราย และการยืนอยู่ต่อหน้าศัตรูที่ก้มหมอบอยู่จะเปิดช่องว่างให้โดนลอบโจมตีได้ การร้องขอชีวิตโดยส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นแค่วิธีการลอบโจมตีอย่างหนึ่ง…”
ระหว่างที่อาจารย์กำลังบรรยายบทเรียนอยู่ ชั้นก็คิดถึงพวกอีเวนต์ที่กำลังมาถึง
ช่วงหลังจากทัวร์เนเมนต์ต่อสู้ไปจนถึงปิดเทอมฤดูหนาวถือว่าเป็นจุดครึ่งเรื่อง อีเวนต์หลักต่อจากนี้ไปส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเอลริสและนำไปสู่ตอนที่เธอถูกลงทัณฑ์
หรือก็คือ ศัตรูหลักในช่วงนี้ของเนื้อเรื่องก็คือเอลริส
เอลริสจะเข้ามาเยี่ยมที่สถาบันบ่อยครั้งเพราะเธอสนใจในตัวเวอร์เนลที่ช่วยปกป้องเธอไม้ในตอนงานประลอง
เธอจะติดตามเวอร์เนลไปทุกที่ อิจฉาพวกนางเอกที่สนิทอยู่กับเวอร์เนล สั่งพวกลูกกระจ๊อกให้ไปรังแกหรือกระทั่งทำมิดีมิร้ายนางเอกคนนั้น หรือถึงขั้นใช้งานมือสังหาร
เป็นเพราะว่านี่เป็นเกมสำหรับทุกเพศทุกวัย เธอจึงไม่เคยทำเรื่องพวกนั้นสำเร็จ แต่ก็ยังโดนความเกลียดชังจากเหล่าผู้เล่นเข้าไปเต็มๆ
จากนั้นก็เป็นอีเวนต์ที่ไอน่าลอบสังการเอลริส ถึงแม้จะทำไม่สำเร็จแต่ก็สามารถสร้างบาดแผลให้เธอได้ เป็นอีเวนต์ที่สร้างความสงสัยว่าเธอเป็นเซนต์จริงๆรึเปล่า นำไปสู่การรวบรวมหลักฐานความชั่วร้ายของเธอ เลย์ล่าทรยศเอลริส และในท้ายที่สุดเธอก็ถูกลงทัณฑ์และตามจับในฐานะเซนต์ตัวปลอม
ในรูทเอเทอร์น่า พลังเซนต์ของเอเทอร์น่าจะถูกค้นพบตั้งแต่อีเวนต์ของฟาร่าซัง ทำให้เอลริสถูกลงทัณฑ์เร็วกว่าเดิม
ในฉากที่เธอสู้กับปาร์ตี้ของเวอร์เนล ก็ได้ปรากฏให้เห็นว่าเธอมีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัว แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอชนะได้ สุดท้ายเธอก็ถูกจัดการและหนีไป…แต่ก็ใครที่จะให้การช่วยเหลือเธอ สุดท้ายเธอก็ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมโดยคนที่มีความแค้นต่อตัวเธอ สภาพศพเละจนจำไม่ได้
ในโลกนี้ชั้นไม่ได้ไปทำอะไรชั่วๆที่ไหน ก็ไม่น่ามีอีเวนต์พวกนี้เกิดขึ้น
คิดว่าน่าจะสงบไปอีกสักพัก
ขนาดในรูทเอเทอร์น่าที่เห็นในฝัน ชั้นก็ยังจะทำหน้าที่ของเซนต์เก๊ต่อไปจนถึงท้ายเรื่อง ถ้าชั้นไม่ได้ทำอะไรพิเรนทร์ก็คงไม่ถูกจับได้หรอก
แถมตอนนี้ชั้นก็เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต(ตอนที่โดนเวอร์เนลเห็นบาดแผล) ชั้นกางโล่เตรียมรับมือการโจมตีเอาไว้ตลอดเวลาส ต่อให้ถูกลอบโจมตีก็ไม่ใช่ปัญหา
ชั้นคงว่างไปจนถึงช่วงปิดเทอมฤดูหนาว
ถึงแม้บอสประจำช่วงนี้ของเนื้อเรื่องควรจะเป็นชั้น แต่ถ้าชั้นไม่ได้ไปทำชั่วที่ไหนก็คงว่างยาว
จริงๆมันก็มีอีเวนต์ย่อยของพวกนางเอกนั่นแหละ…แต่ขนาดนี้แล้วชั้นก็ไม่ได้หวังให้เวอร์เนลของโลกนี้ทำตามที่คนปกติเค้าทำกันหรอก…
ตั้งแต่งานประลองผ่านมา แมรี่ก็ได้เข้าร่วมกับปาร์ตี้ของเวอร์เนลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะออกไปทางคู่แข่งมากกว่าจะเป็นคู่รักก็เถอะ อีเวนต์ย่อยของแมรี่ก็เลยไม่เกิดขึ้น
….
อืม ไม่มีไรทำเลยว่ะ
ทำไรดี ไปรังแกครูใหญ่ที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นสปายดีมั้ย?
ชั้นน่าจะกระทืบแกไส้แตกให้คายความลับว่าสปายมีใครบ้างออกมา จากนั้นก็จับพวกนั้นมารวมๆกันได้
แต่ถึงแกจะเป็นสปายก็เถอะ มันก็จะดูไม่ดีถ้าชั้นไปรังแกครูใหญ่โดยไม่มีเหตุผล
ถ้ามีหลักฐานก็คงดี แต่คนคนนั้นก็ไม่โง่พอจะทิ้งหลักฐานเอาไว้ให้จับได้หรอก
ต้องจับให้ได้คาหนังคาเขา แต่ถ้าทำแบบนั้นได้ก็คงไม่ต้องมากังวลแบบนี้…
แย่จัง ไม่รู้จะทำไงดีเลย
ใครซักคนช่วยไปหาข้อมูลที่มีประโยชน์มาประเคนให้ทีได้ป่ะ?
.
เวอร์เนลได้แข็งแกร่งขึ้นจากช่วงงานประลอง แต่เขาก็ยังไม่พอใจและยังคงฝึกฝนตัวเองอยู่ทุกวัน
เขาได้รับหลายสิ่งมาจากงานประลองครั้งนั้น
ประสบการณ์ต่อสู้กับปีศาจที่แข็งแกร่ง หรือดาบที่ได้รับจากเอลริส
ความมุ่งมั่นที่จะกำราบแม่มด
และพวกพ้องคนใหม่
แมรี่ที่เขาได้สู้ด้วยในรอบสุดท้าย ตอนนี้ได้กลายมาเป็นพวกพ้องและคู่แข่งของเวอร์เนล
ทั้งสองคนช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น
เป็นคู่แข่งที่มีความสามารถใกล้เคียงกัน จึงเป็นคู่ต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมในทุกโอกาส
เวอร์เนลจะยิ่งเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ
เขายังมีพวกพ้องที่ดีอีกหลายคน เอเทอร์น่า ฟิโอร่า จอห์น… และถึงจะไม่ใช่นักเรียน แต่ซัปเปิ้ลเซนเซย์ก็พอจะนับได้
ทุกๆคนมีจุดแข็งและจุดอ่อน และด้วยการร่วมมือกัน ก็จะสามารถอุดช่องว่างของกันและกันได้
คนคนเดียวไม่สามารถปกป้องเซนต์ได้ แต่ถ้าเป็นหกคนนี้ ก็จะไม่ยอมแพ้ใครแน่
วันนี้เองก็คล้ายกับวันอื่นๆ
หลังจากคาบเรียน เวอร์เนลก็มาฝึกซ้อมสู้กับจอห์นและแมรี่ที่หลังตึกเรียน เขาสังเกตเห็นว่าแมรี่คอยจับจ้องนักเรียนหญิงคนหนึ่งอยู่ไม่วางตา
แมรี่นั้นไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้าจึงยากจะรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่เขารู้ว่าเธอเป็นคนที่จิตใจดี
แต่กระนั้น เธอในตอนนี้กลับดูหงอยเหงาอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นอะไรรึเปล่าแมรี่? มีอะไรกวนใจอยู่หรือ?”
“…อืม นิดหน่อยน่ะ เกี่ยวกับคนคนนั้น…”
สายตาของแมรี่จ้องไปที่สาวน้อยผมแดงที่ฝึกเหวี่ยงดาบอยู่ด้วยตัวคนเดียวห่างออกไป
ถ้าเวอร์เนลจำไมผิด คนคนนั้นน่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของแมรี่ในรอบรองชนะเลิศ
“ไอน่าน่ะเหรอ? เธอคนนั้นเป็นอะไรรึเปล่า?”
“…ดูเหมือนว่าชั้นจะโดนเกลียดน่ะ ทุกครั้งที่เราเจอกัน เธอจะส่งสายตามาหาชั้นตลอดเลย”
พอได้ยินอย่างนั้น เวอร์เนลก็เข้าใจ
หลังจากการต่อสู้ ไอน่าปฏิเสธมือของแมรี่ที่ยื่นให้เธอ
นั่นไม่ใช่มารยาทที่ดีเลย
เขาเองก็ไม่รู้จักไอน่าดี แต่แค่ดูก็รู้ว่าเธอนั้นเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาก
ตั้งแต่ตอนนั้นมา เธอก็มองแมรี่เป็นศัตรู
“ไม่ใช่ความผิดของแมรี่สักหน่อย ถึงจะเข้าใจว่าเจ็บใจที่แพ้การแข่งก็เถอะ จะมาโกรธเคืองคู่ต่อสู้แบบนี้มันไม่ถูกนะ”
“ใช่แล้ว อย่าคิดมากไปเลย”
จอห์นและฟิโอร่าพยายามปลอบแมรี่
ใช่ว่าแมรี่จะโกงจนชนะมาได้สักหน่อยนึง
เธอสู้และชนะอย่างตรงไปตรงมา
ไอน่าพ่ายแพ้เพราะว่าเธออ่อนแอกว่าแมรี่ มันก็เท่านั้น
“ถึงจะพูดว่าอย่าคิดมากก็เถอะ แต่ถูกจ้องเขม็งทุกครั้งที่เจอกันนี่ก็ทำให้รู้สึกไม่ดีเลยนะ”
“ก็จริงนะ”
เวอร์เนลเห็นด้วยกับเอเทอร์น่า
ถึงแมรี่จะเมินไปเพราะมันไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่จะให้ถูกมองเป็นศัตรูอยู่ฝ่ายเดียวนี่มันก็ทำให้รู้สึกไม่ดีเลย
แต่ถึงพยายามจะคุยกับไอน่า ก็คงมีแต่จะทำให้เรื่องมันแย่ลงอีก
คนที่ทระนงตนแบบนั้นคงไม่ยอมรับฟังคำอธิบายดีๆหรอก
จะยิ่งทำให้โกรธกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
“ฮะ? นั่นมันครูใหญ่ไม่ใช่เหรอ?”
ฟิโอร่าสังเกตได้ถึงบางคน
เพราะอะไรบางอย่าง ครูใหญ่จึงเข้าไปพูดคุยกับไอน่า
จากนั้นทั้งสองคนก็จากไป เวอร์เนลก็ได้แต่เอียงคออย่างงงงวย
“เรื่องอะไรกันนะ? หรือผลการเรียนของเธอเป็นอะไรรึเปล่า?”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จะใช่เรื่องที่ครูใหญ่ต้องเรียกเธอไปคุยเองเลยเหรอ?”
เอเทอร์น่าพูดอย่างสงสัย จอห์นเองก็คิดว่ามันแปลกเช่นกัน
แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาควรจะไปยุ่มย่าม
อาจารย์คุยกับนักเรียน…ก็แค่เรื่องทั่วไปที่เห็นได้ในสถาบันนี้
ในตอนที่พวกเขากำลังจะทิ้งความสงสัยไป เสียงหนึ่งก็ดังเข้าหูของพวกเขา
“ประหลาดจริงเชียว ทำไมครูใหญ่ถึงเรียกนักเรียนไปคุยด้วยตัวเอง”
พอมองกลับไป พวกเขาก็เห็นซัปเปิ้ลที่กำลังใช้จอบขุดหลุมเพื่ออะไรบางอย่าง
ถึงจะบอกว่าเรื่องเมื่อครู่มันประหลาด แต่ที่เขากำลังทำอยู่นี่มันประหลาดยิ่งกว่าอีก ทุกๆคนมองไปที่เขาด้วยสีหน้าระแวง
ซัปเปิ้ลก็ยังขุดต่อไปโดยไม่สนสายตานักเรียน…เอาจริงๆเขาเริ่มร่ายเวทย์ใส่ดินที่ขุดออกมาเพื่อทำการเก็บรักษามันไว้อีกด้วย
“ทำไมเขาถึงเรียกไอน่า ฟ็อกซ์แทนที่จะเป็นแชมเปี้ยนเวอร์เนลคุงหรือตำแหน่งรองชนะเลิศอย่างแมรี่คุง…? ถึงแม้เธอจะมีพรสวรรค์ แต่ลำดับแบบนี้มันแปลกเกินไป ทั้งสองคนไม่น่าจะรู้จักกันมาก่อนหรือเกี่ยวข้องกันในทางใดเลย ประหลาดจริง”
“เอ่อ… อาจารย์ทำอะไรอยู่หรือครับ?”
“กระผมรึ? อ้า นี่เป็นพื้นที่ท่านเซนต์ได้เหยียบผ่านไปเมื่อสักครู่ กระผมจึงจะนำมันไปเก็บรักษาไว้เพื่อคงมูลค่า”
“…”
-ไอ้หมอนี่มันโรคจิต ทุกคนในที่นี่แน่ใจอย่างนั้น
ไม่ใช่ว่าอาจารย์คนนี้เป็นตัวอันตรายที่สุดสำหรับเซนต์หรอกเหรอ?
ในฐานะอัศวินฝึกหัดแล้ว พวกเขาควรจะกำจัดเจ้านี่ไปก่อนเลยจะดีกว่ามั้ยนะ?
ทุกคนที่นี่มีความคิดแบบเดียวกัน แต่ซัปเปิ้ลก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย
“ช่วงหลังมานี้ครูใหญ่ท่านทำตัวประหลาดไป การกระทำบางอย่างนั้นเข้าข่ายน่าสงสัย”
แก ไม่ต้อง มาพูดเลย
พวกเขาทุกคนคิดเหมือนกันหมด
“ก่อนหน้านี้เขาปลดเวรยามในช่วงกลางคืนแล้วบอกว่าเขาจะรับหน้าที่นั้นเอง สั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าห้องครูใหญ่พร้อมกับเพิ่มการป้องกันไปอีกสี่ชั้น เปลี่ยนหน้าต่างในห้องให้แข็งแรงขึ้นและปิดไว้ไม่ให้เห็นได้จากภายนอก ราวกับว่าพยายามจะปิดบังบางอย่างที่จะกลายเป็นปัญหาได้ถ้าถูกพบเข้า”
แก ไม่ต้อง มาพูดเลย
ความคิดเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น หรือว่าที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่เองก็เป็นอีกอย่างที่ครูใหญ่พยายามปิดบังไว้…?
“ผมว่ามันก็ไม่ได้น่าสงสัยขนาดนั้นมั้งครับ…ขนาดผมเองก็ไม่อยากให้ใครเห็นห้องตัวเองเลย”
“นั่นก็ถูก ถึงแม้การกระทำเหล่านั้นจะน่าสงสัย ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ผู้คนเห็นแล้วจะคิดว่า’คนเราก็มีเวลาแบบนั้นบ้าง’ หากคนที่ไม่เคยเตะหินเริ่มเตะหินสักครั้ง ต่อให้ถามว่าทำไปทำไม ถ้าถูกตอบว่า’ก็แค่อยากทำ’ก็คงพูดอะไรต่อไม่ได้ แต่ถ้าคนคนนั้นเริ่มเตะหินทุกวัน เราก็คงอดคิดไม่ได้ว่าคนผู้นั้นเปลี่ยนไป กระผมเองก็บอกไม่ถูกเช่นกัน ถ้าไปถามว่าทำไปทำไมแล้วถูกตอบว่า’ก็แค่อยากทำ’ ก็คงไม่มีอะไรที่กระผมจะพูดต่อได้ แต่ก็ยังช่วยไม่ได้ที่กระผมจะสงสัยเขา”
ในระหว่างที่พูดแบบนั้น เขาก็เก็บถุงดินขึ้นมาแล้วเอาใส่กระเป๋า
อย่างน้อยการกระทำของเจ้าโรคจิตนี่คงไม่สามารถอธิบายได้ว่า”ก็แค่อยากทำ”แล้วจะถูกปล่อยไป
“เอาล่า…ถ้าเช่นนั้น ก็ตามสองคนนั้นไปกันเถอะ เราอาจจะได้เห็นด้านที่น่าสนใจของครูใหญ่ก็ได้”
พอพูดจบ ซัปเปิ้ลก็เดินตามไปโดยหยุดคิดเลย
จะแอบติดตามสองคนนั้นไปสินะ
ก่อนจะจัดการเรื่องครูใหญ่ เรามาจัดการเจ้านี่ก่อนเลยไม่ดีกว่าเหรอ? นักเรียนที่นั่นต่างคิดเช่นนี้ในใจ