สำหรับไอน่า ฟ็อกซ์แล้ว บิดาของนั้นเป็นทั้งเป้าหมายในชีวิตและแรงบันดาลใจมาตั้งแต่เธอยังเด็ก
สิบเจ็ดปีก่อน ไอน่าได้ลืมตาดูโลกในฐานะลูกสาวคนโตของบ้านตระกูลวิสเคานท์ฟ็อกซ์
บ้านตระกูลฟ็อกซ์ของเธอนั้นนับได้ว่าเป็นเพียงขุนนางชั้นล่าง
ครอบครองอาณาเขตขนาดเล็กที่มีเพียงเมืองและหมู่บ้านอยู่เพียงไม่กี่แห่งในทางแถบชายแดน สถานะทางด้านการเงินนั้นนับว่ายากจนถ้าเทียบกับขุนนางทั่วไป
แต่ไอน่าไม่ได้รู้สึกอับอายหรือลำบากแต่อย่างใดที่เกิดมาอยู่ในตระกูลนี้ เธอภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำ
เธอภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นบุตรสาวของบิดาของเธอ
ถึงจะเป็นแค่ตำแหน่งวิสเคานท์ เขาก็ยังได้รับความเคารพจากขุนนางคนอื่นๆที่อยู่ในชั้นที่สูงกว่า
เซนต์ ความหวังของมนุษยชาติ…ผู้ที่คอยต่อสู้อยู่เคียงข้างเซนต์คนนั้นคือเหล่าอัศวินเวทมนตร์ นักรบแห่งความยุติธรรมที่เอาชีวิตตัวเองเข้าปกป้องเซนต์
ในจำนวนนั้น หัวกะทิเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่จะได้รับตำแหน่ง องครักษ์มา ซึ่งจะมีอยู่เพียง 12 คนเท่านั้นที่คู่ควรกับตำแหน่งนั้นจากอัศวินนับพันนับหมื่น และบิดาของเธอเป็นผู้ที่มากความสามารถที่สุดในหมู่องครักษ์ และได้รับแต่งตั้งให้เป็น องครักษ์ส่วนตัวของเซนต์
เขาเป็นคนที่ใกล้ชิดเซนต์มากกว่าใคร เพื่อปกป้องเธอ เป็นดาบและโล่ให้กับเธอเพื่อต่อสู้กับเหล่าปีศาจ
เป็นตำแหน่งสำหรับยอดอัศวินในหมู่อัศวิน เป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติที่สุดที่นักรบใดจะใฝ่ฝัน
ยิ่งไปกว่านั้น เซนต์รุ่นปัจจุบันคือเอลริส ผู้ได้รับฉายาว่าเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ถ้าอย่างนั้นบิดาของไอน่าที่เป็นองครักษ์ส่วนตัวของเธอ ก็จะเป็นอัศวินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ผู้ปกป้องความหวังที่ส่องสว่างที่สุดของมนุษยชาติ
ในช่วงเวลาที่เซนต์เอลริสเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของเธอในฐานะเซนต์ พ่อของไอน่าจะร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเธออยู่ตลอด
ทุกๆคนชื่นชมความกล้ากาญของวิสเคานท์ฟ็อกซ์
สำหรับไอน่าที่ยังเยาว์ บิดาของเธอคือวีบุรุษที่เท่ที่สุดในโลก เท่ยิ่งกว่าอัศวินในนิทานใดๆ
อัศวินผู้แข็งแกร่งและกล้าหาญ ฟาดฟันปีศาจจและปกป้องเจ้าหญิง… ไอน่ารักพ่อของเธอที่สุด
แต่เกียรติยศนั้นกลับถูกทำลายลงเมื่อหนึ่งปีก่อน
ในเวลานั้น เลย์ล่า สก็อตต์ที่เพิ่มเรียนจบจากสถาบันเวทมนตร์ ได้เข้าร่วมในการประลองศักดิ์สิทธิ์-เพื่อตัดสินตำแหน่งภายในหมู่องครักษ์ และพ่อของเธอก็พ่ายแพ้ให้แก่ผู้หญิงคนนั้นที่มีอายุได้เพียง 19 ปี
เลย์ล่าขึ้นรับตำปหน่งองครักษ์ส่วนตัวของเซนต์แทนที่บิดาของไอน่า ผู้ตกอันดับมาเป็นที่สอง
ไอน่าที่ได้รับอณุญาติให้เข้าชมการประลองนั้นในฐานะสมาชิกครอบครัว ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็นเลย
เธอคิดว่านี่เป็นเรื่องโกหก เธอคิดว่าพ่อของเธอจะต้องอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมเป็นแน่
ถึงแม้พ่อของเธอจะพอใจกับผลลัพท์นั้นพร้อมพูดว่า “เท่านี้คนที่มีความสามารถมากกว่าพ่อก็จะมารับหน้าที่ปกป้องเซนต์แทนได้แล้ว”…แต่ไอน่ายอมรับเรื่องนั้นไม่ได้
เธอจึงสาบานว่าจะชิงเกียรติยศนั้นกลับมาให้ได้แทนที่บิดาของเธอ
เพราะว่าเธอนั้นถูกฝึกสอนเกี่ยวกับวิชาดาบและเวทมนตร์มาตั้งแต่เด็ก เธอไม่คิดว่าจะแพ้ให้กับใครในรุ่นเดียวกันได้เลย
เธอสามารถสอบผ่านเข้ามายังสถาบันได้อย่างง่ายดาย เธอภูมิใจในตัวเองและรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นๆที่ต้องพยายามแทบลากเลือดกว่าจะสอบผ่านเข้ามาได้
สำหรับไอน่าแล้ว สถาบันฝึกฝนอัศวินเวทมนตร์อัลเฟรียนั้นเป็นเพียงทางผ่าน เป็นหินเหยียบที่เธอจะก้าวข้ามไปสู่เวทีที่สูงขึ้น
เธอคิดว่ามันแน่นอนอยู่แล้วที่เธอจะเรียบจบไปด้วยผลการเรียนที่ดีที่สุด
การต่อสู้ที่แท้จริงจะเริ่มต้นหลังจากที่เธอเรียบจบและกลายเป็นหนึ่งในองครักษ์เรียบร้อยแล้ว…เพื่อเอาชนะเลย์ล่า สก็อตต์ในการประลองศักดิ์สิทธิ์และชิงตำแหน่งองครักษ์ส่วนตัวมา นำเกียรติยศกลับมาสู่บิดาของเธออีกครั้ง
…หรืออย่างน้อย เธอก็คิดเช่นนั้น
เธอสะดุด”หินเหยียบ”ก้อนนี้เข้าอย่างจัง
ในสถาบันจะมีการจัดงานประลองฝีมือปีละสองครั้ง ครั้งแรกสำหรับนักเรียนในชั้นปีเดียวกัน ส่วนครั้งที่สองเป็นการประลองแบบรวมสายชั้น
เธอคิดว่าตำแหน่งผู้ชนะนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว
เธอไม่คิดว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ต่อให้อีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่
ไอน่าฝึกฝนกับพ่อของเธอมาตั้งแต่เธอยังเยาว์วัย
เป้าหมายของเธอนั้นมันคนละระดับจากเด็กคนอื่นๆที่นี่
“ทุกคนดูพยายามกันมากเลยนะ คิดว่างานประลองในปีนี้เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ เลย์ล่า?”
“ดิฉันคิดว่าอย่างไรหรือคะ? ถ้าจะพูดล่ะก็…ในปีนี้ระดับของพวกนักเรียนสูงกว่าปีก่อนๆอยู่พอสมควรเลยค่ะ หากดิฉันประมาทไปล่ะก็ อาจจะถูกแทนที่ด้วยพวกเขาในอนาคตได้”
เธอได้ยินการพูดคุยระหว่างเซนต์และศัตรูคู่ฟ้าของเธอ(เลย์ล่า)เข้า
หรือเอาจริงๆคือเธอตั้งใจยืนอยู่ในจุดที่จะได้ยินบทสนทนานี้ได้
“โดยเฉพาะ เวอร์เนล ไอน่า ฟอกซ์ จอห์น และแมรี่ เจ็ต นี่ถือว่าเป็นเพชรเม็ดงามเลย เวอร์เนลขาดเทคนิคไปบ้าง แต่พื้นฐานของเขาดีพอที่จะอุดช่องว่างตรงส่วนนั้นได้ ไอน่า ฟอกซ์ไม่มีจุดเด่นเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ขาดจุดใดเป็นพิเศษเช่นกัน ต้องบอกว่าสมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลฟอกซ์ จอห์นเคยเป็นทหารมาก่อน ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเขาสูงกว่าคนอื่นในชั้นปีเดียวกัน”
เธอรู้สึกดีที่เลย์ล่าประเมินตัวเธอไว้สูง
ถึงจะเป็นศัตรูคู่ฟ้ากัน แต่ก็ตามีแววใช้ได้นี่นา
‘แน่นอนอยู่แล้ว ตัวชั้นเป็นลูกสาวของท่านพ่อที่ยอดเยี่ยม ต่างจากพวกปลาซิวปลาสร้อยที่นี่ลิบลับ’
เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ไม่ได้ถูกประเมินว่า”ยอดเยี่ยม” แต่อย่างน้อยเธอก็คิดว่าตัวเธอนั้นเหนือกว่าอีกสองคน
แต่ความรู้สึกนั้นกลับดิ่งเหวเมื่อได้ฟังประโยคถัดไป
“แมรี่ เจ็ตนั้นมีพรสวรรค์ทั้งในด้านดาบและเวทมนตร์ เทคนิคของเธอนั้นเทียบชั้นได้กับพวกอัศวินเลยทีเดียว ถึงแม้พลังกายจะยังไม่ถึงขึ้น ดิฉันคิดว่าเธอน่าจะเป็นผู้ชนะค่ะ”
อะไรกันนั่นน่ะ? เธอคิด
ไอน่าไม่พอใจที่เลย์ล่าดูจะประเมินแมรี่ไว้สูงกว่าเธอ
เธอรู้เกี่ยวกับแมรี่ เจ็ต
แมรี่เป็นเด็กที่มืดมนและมีสีหน้าที่อ่านได้ยาก เป็นแค่เด็กสาวพื้นๆทั่วไป
เธอไม่ได้ดูจะมีคุณสมบัติของอัศวินเลย
ไอน่าคิดว่าแมรี่นั้นดูมีความสามารถอยู่บ้าง และเอาจริงๆก็มีความคิดเห็นในเชิงบวกต่อเธอ…แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ดีที่ถูกมองว่าด้อยกว่าแมรี่จากสายตาของศัตรูคู่ฟ้า
ก็เอาสิ ชั้นจะชนะแบบขาดลอยเลย และพิสูจน์ว่าเธอนั้นคิดผิด
ชั้นจะชนะ
พอคิดได้แบบนั้น เธอก็ก้าวเข้าไปยังลานประลอง–และพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
ในงานประลองที่เธอคิดว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นแชมเปี้ยนได้อย่างแน่นอน…ไม่ต้องพูดถึงชนะเลิศในการแข่งแบบร่วมสายชั้นเลย เธอพ่ายแพ้ตั้งแต่รอบรองชนะเลิศของสายชั้นเดียวกัน
เธอไม่ใช่แชมเปี้ยน เธอไม่ใช่ที่สอง
ที่สี่ เธอไปไม่ถึงรอบชิงชนะเลิศด้วยซ้ำ
เธอปัดมือที่แมรี่ยื่นให้ออก และออกไปจากสนามประลองราวกับจะวิ่งหนี
เธอรู้สึกสมเพชตัวเอง
เธอรู้สึกสิ้นท่าจนน้ำตาไหลออกมา
หลังจากนั้นแมรี่ก็พ่ายแพ้ให้กับเวอร์เนลในรอบชิงชนะเลิศ จนกระทั่งมหามารบุกเข้ามายังสนามประลอง
คนที่ร่วมมือกันต่อสู้กับปีศาจตนนั้นเพื่อปกป้องเซนต์ได้แก่นักเรียน 5 คนและอาจารย์อีกหนึ่งท่าน…แชมเปี้ยนเวอร์เนล ที่สองแมรี่ ที่สามจอห์น และเพื่อนของพวกเขาอีกสองคน เอเทอร์น่าและฟิโอร่า
สุดท้ายคือผู้ฝึกสอนของสถาบัน ซัปเปิ้ล เมนต์
พวกเขาสามารถเอาชนะการต่อสู้ที่ยากลำบากนั้นมาได้ และมีชื่อเสียงโจษจันไปทั่วสถาบัน
ถึงแม้จะยังไม่ใช่อัศวิน นักเรียนทั้งห้าคนถูกชื่นชมในความกล้าที่ออกมาปกป้องเซนต์ กระทั่งเซนต์เอลริสยังพูดขอบคุณพวกเขาด้วยตัวเธอเอง พวกเขาถูกปฏิบัติเหมือนดั่งวีรชน แต่ไอน่าไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย
ในหมู่นักเรียนที่ผ่านเข้าจนถึงรอบรองชนะเลิศ มีเพียงไอน่าคนเดียวที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อเซนต์ตกอยู่ในอันตราย
“เฮ้ นั่นมันที่สี่ ไอน่าซังไม่ใช่เหรอ?”
“…อา คนเดียวที่ผ่านถึงรองชนะเลิศแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย…”
“ต่างจากอีกสามคนลิบลับเลยเนอะ”
“พ่อของเธอเป็นคนที่สุดยอดขนาดนั้นแท้ๆนะ…”
“อย่าเลย ถึงพ่อของเธอจะสุดยอดแค่ไหน จะให้หวังว่าลูกจะเป็นเหมือนกันนี่มันก็เป็นภาระสำหรับเธอเกินไปนะ”
“ปกติขี้โม้ขนาดนั้นแท้ๆ…”
“เธอไปไหนตอนที่ปีศาจมาน่ะ”
“ไม่รู้สิ…หลบไปซ่อนกลัวตัวสั่นอยู่มั้ง?”
“อ๊ะ ชั้นรู้นะ ตอนที่ชั้นกลัวจนหนี- หมายถึงตอนที่ไปเข้าห้องน้ำ ชั้นเห็นเธออยู่ในห้องเรียนด้วย”
“เอ๋? ตกลงเธอหนีไปเหรอ? ลูกสาวของตระกูลฟ็อกซ์ทำแบบนั้นเนี่ยนะ?”
“เธอก็ทำได้แค่ประมาณนั้นแหละชั้นว่า”
“ปากมากขนาดนั้นแท้ๆ ตอนเวลาสำคัญกลับวิ่งหางจุกตูด”
ตั้งแต่วันนั้นมา สายตาที่นักเรียนคนอื่นๆจ้องมองเธอก็เปลี่ยนไป
ทั้งที่พวกเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรแท้ๆ มีเพียงเธอคนเดียวที่ตกเป็นเป้าหมายการนินทานั้น
เพราะว่าก่อนหน้านี้ไอน่ามักจะมองนักเรียนคนอื่นด้วยท่าทีที่ว่าตัวเองอยู่สูงกว่า และไม่เคยคิดจะปิดบังนิสัยแบบนั้นด้วยซ้ำ คนที่ไม่ชอบเธอจึงมีอยู่ไม่น้อย
ชั้นน่ะแตกต่างจากพวกเธอ เพราะว่าชั้นคือลูกสาวขององครักษ์ฟ็อกซ์
ถึงแม้เธอจะพูดความจริง และก็ไม่ถึงขั้นพูดตรงๆว่า”พวกเธออยู่ต่ำกว่าชั้น” แต่ท่าทีของเธอนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอคิดแบบนั้น
นิสัยของไอน่านั้น ถ้าพูดในแง่ดีก็คือซื่อตรง ถ้าพูดในแง่ร่ายก็คือไม่เอาใจใส่ นักเรียนหลายคนในสถาบันจึงมองเธอเป็นศัตรู
ที่ผ่านมา เธอจะใช้ความสามารถของเธอเพื่อทำให้อีกฝ่ายเงียบ…แต่ในขณะนี้”พลัง”นั้นที่คอยช่วยค้ำจุนเธอไว้ค่อยๆพังทลายลง
ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ผิดแล้ว!
ไอน่าอยากจะกรีดร้อง
ถ้าชั้นอยู่ที่นั่น ชั้นก็จะเข้าร่ามสู้ด้วย
ถึงจะมีแค่คนเดียวชั้นก็จะสู้เพื่อปกป้องเซนต์ ชั้นมีความสามารถพอที่จะทำเช่นนั้นได้!
ที่ชั้นไม่ได้สู้ก็เป็นแค่โชคร้าย!
ชั้นแค่ไม่อยู่ตอนที่มีการสู้กัน มันก็แค่นั้น
แต่ถึงจะพูดอะไรออกไป ความจริงๆก็ยังคงอยู่ที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลยในตอนนั้น ไม่มีความหมายที่จะเถียงกลับ
พูดอะไรไปก็เป็นได้แค่การเห่าหอน
ไอน่าถูกตีตราว่าเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่คิดแม้แต่จะสู้
ตั้งแต่นั้นมา เธอไม่พูดกับใครอีกเลย ตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่ฝึกฝนอย่างเดียว
ไม่ว่าใครก็มองเธอด้วยสายตาดูถูก
ถ้าเธอไม่มาระบายความโกรธออกด้วยการฝึกซ้อมเช่นนี้…ธออาจจะเสียสติไปแล้ว
เธอเกลียดชังแมรี่
ตั้งแต่ที่เธอแพ้ให้กับผู้หญิงคนนั้น ทุกอย่างก็ดิ่งเหวไปหมด
ถ้าระบายด้วยการฝึกไม่ได้นี่ เธอคงได้กรีดร้องแทน
มันเป็นความผิดของแก ถ้าแค่ไม่มีแกอยู่…คำดุด่าไม่น่าผังที่เต็มไปด้วยความแค้นไหลออกมาจากปากของเธอ
เพราะอย่างนั้นเธอจึงทุ่มเททุกอย่างให้กับการฝึก เพื่อจะหนีความจริง
เธอหนีจากการต่อสู้ที่เธอพ่ายแพ้ เธอหนีที่จะเผชิญหน้ากับแมรี่
“ข้าเข้าใจเจ้า เจ้าถูกประเมินโดยผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรม”
ผู้ที่เรียกไอน่าที่ต้องการจะหลบหนีจากทุกอย่างคือครูใหญ่ของสถาบันแห่งนี้
เขานั้นมีอายุประมาณ 40 ปี ถือว่ามากทีเดียว แต่ร่างกายของเขานั้นสมส่วนและอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ
อายุขัยโดยเฉลี่ยของคนในโลกนี้คือราวๆ 60 ปี เขาจึงนับว่าชราพอสมควร เว้นแค่ร่างกายของเขาที่ไม่แพ้ให้กับหนุ่มฉกรรจ์เลย
ผมสีเทาผูกไปด้านหลัง สายตาคมกริบราวกับสัคว์นักล่า
ส่วนสูง 188 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเนื่องจากส่วนสูงโดยเฉลี่ยนของผู้ชายในโลกนี้อยู่ที่เพียง 165 เซนติเมตร
“โชคชะตานั้นเป็นสิ่งที่โหดร้าย ถึงแม้เจ้าจะมีความสามารถมากพอที่จะกลายเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเซนต์ได้ในอนาคต กลับต้องมาทนทุกข์ทรมาณจากการพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียว เพียงเพราะว่าจังหวะที่ไม่ดี หากเจ้าอยู่ที่นั่นด้วย ก็คงได้เข้าร่วมในการปกป้องเซนต์ไปแล้ว”
คำหวานหูเหล่านั้นแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของไอน่า
จิตใจของไอน่าในตอนนี้นั้นร้าวฉาน เปราะบางราวกับจะแตกสลายได้ในทุกเวลา
ในเวลานั้น คำพูดของเขาช่วยปลอบโยนความรู้สึกของเธอ
“ข้าไม่อาจปล่อยให้เรื่องน่าเสียดายเช่นนั้นเกิดขึ้นได้ภายใต้การกำกับของข้า เจ้าจะกลายเป็นอัศวินที่ยอดเยี่ยมได้ในอนาคต จะปล่อยให้พรสวรรค์เช่นนั้นมาเสียหายที่นี่ได้อย่างไร และถึงแม้ว่านี่จะยังไม่ได้รับการยืนยัน…แต่ในการต่อสู้ครั้งนั้น มีโอกาสสูงที่แมรี่ เจ็ตจะโกงการแข่งขัน ก่อนที่จะเริ่มการแข่งขัน เจ้าได้รู้สึกหรือเปล่าว่าอากาศนั้นหนาวแบบแปลกๆ? พอจะจำได้ไหม? ข้าเชื่อว่าในตอนนั้นแมรี่ได้เริ่มโจมตีเจ้าตั้งแต่ก่อนเริ่มการแข่งขัน เพราะแบบนั้นการเคลื่อนไหวของเจ้าจึงช้ากว่าปกติ…และไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”
ในความเป้นจริงแล้ว เรื่องพวกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเลย
ถ้าลองคิดดีๆ หากถูกโจมตีตั้งแต่ก่อนเริ่มแข่งขัน ไอน่าจะต้องรู้สึกตัวบ้างอยู่แล้ว
ตอนนี้หนาวรึเปล่านะ? เธอจำไม่เห็นได้เลยว่าตอนนั้นมันหนาวกว่าปกติ
เธอไม่มีความทรงจำที่บ่งบอกถึงเรื่องนั้นเลย
แต่ว่า…ผู้คนนั้นเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนเอง
ยิ่งเป็นเรื่องในอดีตแล้วด้วย
‘พอมาลองคิดดูแล้ว ตอนนั้นน่าจะหนาวกว่าปกติ”
เมื่อคนเราคิดได้แบบนั้น ก็จะเชื่อว่านั่นเป็นความจริงอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เปลี่ยนภาพลวงให้เป็นความจริง ความสงสัยที่ไร้มูลเหตุให้เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ
เมื่อคนเราทำสิ่งที่ไม่ดี สิ่งแรกที่ตนอยากจะเชื่อเลยก็คือ”เราไม่ได้ทำอะไรผิด”
เริ่มจาก”เราอาจจะไม่ผิดก็ได้” ต่อด้วย”ชั้นไม่ผิดนะ!” สุดท้ายคือ”ทำไม่ตัวชั้นต้องมาโดนกล่าวหาแบบนี้ด้วย”
คนที่คิดแบบนี้ในสังคมน่ะมีไม่น้อยเลย
“ในตอนนั้นเจ้าไม่หนาวบ้างหรือ? แต่เจ้าไม่รู้สึกตัว นั่นน่ะเป็นฝีมือของแมรี่ เจ็ต”
คำเหล่านี้ของครูใหญ่แทรกซึมเข้าไปในความคิดของเธอราวกับต้องการจะล้างสมอง
อย่างนี้นี่เอง เธอคิด
ชั้นไม่ได้แพ้ในการต่อสู้อย่างยุติธรรมเสียหน่อย
ที่แพ้ก็เพราะวิธีขี้ขลาดแบบนั้น
เธอเข้าใจ(ผิด)แล้ว และความโกรธของเธอก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
เล่นสกปรกนี่นา ยกโทษให้ไม่ได้ ความคิดเช่นนั้นผุดขึ้นมาในหัว
ความสามารถในการคิดของเธอนั้นลดต่ำลง เปิดช่องว่างให้ครูใหญ่”กล่าวคำแนะนำ”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นนักเรียนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในรุ่นนี้นะ เพราะเช่นนั้นข้าจะเชื่อใจเจ้าและบอกความลับอย่างหนึ่งให้ฟัง…ในสถาบันนี้น่ะมีสายลับของแม่มดอยู่”
“ฮะ!?”
“ข้าคอยตามหาคนที่น่าเชื่อถือมานานแล้ว ข้าไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใจใครดีและต้องสู้ตามลำพังมาโดยตลอด แต่ข้าจะเชื่อใจเจ้า เรื่องที่เจ้าต้องมาทนความยากลำบากเช่นนี้อาจจะเป็นหนึ่งในแผนของแม่มดก็ได้”
ไอน่าตกใจให้กับคำพูดของครูใหญ่
แต่ในเวลาเดียวกัน เธอก็มีความสุขแบบแปลกๆ
เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นเหนือกว่าที่ถูกเลือกให้รับฟังเรื่องสำคัญเช่นนี้
“เข้าใจไหม? มันเป็นเรื่องน่าสงสัยที่ปีศาจปรากฏตัวในจังหวะเช่นนั้น ราวกับรู้ว่าเซนต์จะอยู่ที่ไหนในเวลานั้น แสดงว่าหูตาของแม่มดที่คอยจับจ้องอยู่นั้นมีไม่น้อยเลย”
“ยะ-แย่แล้วค่ะ! เราต้องแจ้งเซนต์ในเรื่องนี้นะคะ…”
“ไม่ได้หรอก พวกท่านก็เพียงจะคิดว่าเราพูดเรื่องแปลกออกไป แทนที่จะทำอย่างนั้น นี่เป็นโอกาสที่เราจะรอศัตรูเคลื่อนไหวและจับกุมพวกมันซะ จากนั้นจึงตามแกะรอยไปยังต้นตอ”
ครูใหญ่ก้มตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของไอน่า
เขากุมมือของเธอขึ้นมาและกล่าวถาม
“ไอน่า ฟ็อกซ์…กรุณาให้ข้ายืมพลังด้วย พวกเราจะปกป้องเซนต์ไปด้วยกัน”
“คะ-ค่ะ! เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ! จะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ!”
“ตอบได้ดี คิดไว้ไม่ผิดเลยที่เลือกเจ้า…ถ้าเช่นนั้นข้าจะมอบหมายให้เจ้าติดตามดูการเคลื่อนไหวของเซนต์และนำมารายงานให้ข้า โดยเฉพาะในตอนที่เธออยู่ที่ที่ปลอดสายตาผู้คน…จำเหตุการณ์เมื่อไม่กี่เดือนก่อนได้ไหม? ที่เธอถูกเรียกไปพบโดยฟาร่าเซนเซย์น่ะ มีความเป็นไปได้ที่เธอจะถูกผู้ไม่หวังดีเรียกไปพบอีกครั้งจนพบกับอันตราย เราจะต้องไปช่วยเหลือเธอให้เร็วที่สุด ฉะนั้นให้รายงานข้าทันทีเมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น”
ไอน่าถูกคำเชื้อเชิญที่หอมหวานของครูใหญ่ล่อลวง
เมื่อคนเราเชื่อว่าทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่ ก็จะไม่สอบถามอะไรอีก
โดยเฉพาะกับเด็กสาวที่จิตใจกำลังเปราะบางอยู่แล้ว
ด้วยอุปนิสัยของเธอ ไอน่าไม่มีความสงสัยใดเหลืออีก
“ข้าจะบอกวิธีในการสื่อสารกับข้าให้ นี่เป็นนกที่ชาญฉลาดและสามารถจดจำสิ่งที่มนุษย์พูดและพูดซ้ำได้ มันยังสามารถพรางตัวให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมเพื่อหลีกเลี่ยงนักล่า ฉะนั้นต่อให้เจ้าให้มันขี่อยู่บนไหล่ก็จะไม่มีใครรู้สึกตัว เมื่อเจ้าต้องการจะรายงานสิ่งใดก็ให้พูดกับมันและปล่อยมันบินไป นกตัวนี้จะบินมาหาข้าและเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังเอง”
ครูใหญ่อธิบานเรื่องนั้นให้เธอฟังและให้นกขนาดเล็กมาตัวหนึ่ง
ดูเหมือนว่ามันจะคุ้นเคยกับมนุษย์ มันไม่แสดงอาการต่อต้านเลยเมื่ออยู่บนฝ่ามือของไอน่า จู่ๆมันก็เปลี่ยนเป็นสีเดียวกับมือของเธอ ราวกับมันไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น
“ลองพูดกับมันสิ”
“อะ…อ่า…ค่ะ…สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ”
ไอน่าพูดกับนกตัวนั้นตามที่ครูใหญ่สิ่ง
เจ้านกยกหัวขึ้นและเปิดจะงอยปากออกมา
“อะ อ่าค่ะ สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ”
“อุหวา…น่ารักจัง”
“อุหวา น่ารักจัง”
เจ้านกเลียนแบบคำพูดของไอน่า
ไอน่าลูบหัวนกอย่างมีความสุข
ขนของมันนุ่มนิ่มและรู้สึกดีเมื่อสัมผัส
“เอาล่ะ ข้าขอฝากนกตัวนี้ไว้กับเจ้า นี่เป็นภารกิจลับ อย่าไปบอกใครล่ะ”
“ค่ะ! วางใจได้เลยค่ะ!”
ไอน่าตอบกลับครูใหญ่ด้วยความมุ่งมั่น
ครูใหญ่มองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยนก่อนจะจากไป
เมื่อเขาลับสายตาเธอไปแล้ว รอยยิ้มของเขากลับเริ่มบิดเบี้ยวขึ้น มุมปากเผยอสูง
นั่นเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย เป็นการเย้ยหยันเด็กสาวผู้โง่เขลา
พวกเวอร์เนลที่แอบฟังอยู่ห่างออกไปตั้งแต่ต้นจนจบ มองหน้ากันราวกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน”