บทที่ 3 หย่งอันอ๋อง
ไม่เพียงแต่ไม่หอบเหนื่อยแม้สักเล็กน้อย นางกลับรินชาให้ตนเองแล้วยกขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสงบนิ่งอีกต่างหาก
“ชิงอวี่ เจ้านี่กำลังวังชาดีเสียจริง” ชิงเป่ยเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
“อือ สบายมาก” ชิงอวี่ไม่เอ่ยอันใดให้มากความ ร่างกายเช่นนี้ไม่ว่าใครก็อยากมี เมื่อชาติก่อนนางได้ลิ้มรสมันอย่างลึกซึ้งมาแล้ว เจ้าของเดิมของร่างนี้ดูน่ามองกว่านางในชาติที่แล้วนัก ร่างกายนี้ยังไม่โตเต็มที่ รออีกสักสองปีให้เจริญเติบโตอีกสักหน่อย ยามเมื่อสัมผัสทั้งห้าถูกเปิดออก เช่นนั้นถึงจะเป็นที่น่าประหวั่นอย่างแท้จริง
ในตอนที่ชิงเป่ยกำลังจะเอ่ยขึ้นมาอีกคำนั่นเอง เขาพลันได้ยินเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาจากถนนด้านล่าง
เมื่อมองลงมาจากหน้าต่างที่เปิดอยู่กึ่งหนึ่งแล้ว ก็เห็นกองทหารกองหนึ่งกำลังเดินทางเข้าเมืองหลวงมา เสียงกีบม้าดังกระทบพื้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
ผู้ที่นำอยู่ต้นขบวนมีอายุราวสี่สิบกว่าปี มีใบหน้าโดดเด่นและหล่อเหลายิ่งนัก เงาร่างนั้นเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ สามารถดึงสายตาจากหญิงน้อยหญิงใหญ่ในฝูงชนได้เป็นอย่างดี
เขาเป็นบุรุษผู้ที่อยู่เหนือใต้หล้า ทว่ายอมก้มหัวให้แก่คนคนเดียวเท่านั้น หย่งอันอ๋องผู้ที่สาบานเป็นพี่น้องกับฮ่องเต้แห่งอาณาจักรชิงหลาน เยี่ยนซู่
“ยินดีต้อนรับหย่งอันอ๋องกลับสู่เมืองหลวงพร้อมกับชัยชนะยิ่งใหญ่”
มีคนผู้หนึ่งตะโกนคำสรรเสริญอกไปเสียงดัง จากนั้นคนรอบข้างที่ยืนอยู่ทั่วท้องถนนต่างก็ทรุดลงคุกเข่าก้มหัวลง มองดูแล้วราวกับทะเลสีดำ
“หึ แสดงออกถึงเช่นนี้ ราวกับกำลังต้อนรับฮ่องเต้ก็มิปาน” ชิงอวี่ทำเสียงจุปาก กล่าวออกมาอย่างเฉยเมย
ปกติแล้วเยี่ยนซู่ไม่ค่อยได้อยู่ในเมืองหลวงมากนัก เรื่องต่าง ๆ ในจวนหย่งอันอ๋องก็ได้พระชายาของเขาเป็นผู้จัดการ กล่าวตามตรงแล้ว เขาปฏิบัติกับลูก ๆ ทุกคนค่อนข้างดี ไม่ได้ลำเอียงไปที่ลูกคนใดเป็นพิเศษ ทว่าก็ไม่อาจมีเวลาดูแลลูกทุกคนได้ตลอดเวลา เว้นเสียแต่เยี่ยนซีที่ติดตามอยู่ข้างกายที่ได้รับความชื่นชอบจากเขามากหน่อย
ชิงเป่ยพลันกลายเป็นเด็กพิการที่ต้องนั่งเก้าอี้เข็นอยู่ตลอดเวลา ส่วนชิงอวี่ที่เคยเป็นเด็กใสซื่อร่าเริงแจ่มใสก็กลายเป็นเด็กเก็บตัวและว่าง่ายไป สุดท้ายท่านอ๋องก็ไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบนี้ไปได้ หากไม่ใช่เพราะการนิ่งเฉยของเขา สตรีนางนั้นจะกล้ายื่นมือมาถึงเพียงนี้หรือ?
นี่เป็นหนี้ที่อย่างไรก็ต้องชดใช้
อาจเป็นเพราะสายตาของนางดุร้ายยิ่งนัก กระทั่งระยะห่างขนาดนั้น เยี่ยนซู่ก็ยังสัมผัสถึงสายตาของนางได้ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมองกลับไม่พบเจ้าของสายตาแล้ว
กองทัพของเยี่ยนซู่ค่อย ๆ เดินทัพเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ บุรุษที่ขี่ม้าศึกสีน้ำตาลแดงด้านหลังเขาคือเยี่ยนซีเฉิง เขามีใบหน้าหล่อเหลาและดูเป็นบุรุษอกสามศอกยิ่ง คิ้วเรียงเป็นเส้นตรงและดวงตาทั้งสองข้างที่มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างเดียวไม่หลุกหลิก ดูเป็นผู้เทียงตรงมีคุณธรรม ชื่อเสียงและจุดยืนของเขาในเมืองหลวงนั้นค่อนข้างดีพอตัว ผู้คนต่างก็ชื่นชอบเขา
ในตอนที่ทุกคนแอบเงยหน้าขึ้นมองคนบนหลังม้านั่นเอง ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาด้านหน้า ยกเกี้ยวหรูหราตามมาข้างหลัง
“หย่งอันอ๋องแม่ทัพเยี่ยน ในที่สุดพวกท่านก็กลับมา ฝ่าบาทกำลังรอพวกท่านอยู่ในวัง ข้ามาที่นี่เพื่อรีบพาท่านอ๋องและบุตรชายเข้าวังหลวงโดยเร็ว!” ชายวัยกลางคนใบหน้าซีดขาวไร้หนวดเคราในชุดข้าราชการสีแดงคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมโค้งคำนับ
เยี่ยนซู่ตกใจเล็กน้อย ถึงจะสงสัยว่าเพราะเหตุใดฝ่าบาทจึงรีบเรียกเขาเข้าวังโดยเร็วเช่นนี้ ทว่าก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด หันไปสั่งรองแม่ทัพด้านหลัง ก่อนจะขึ้นเกี้ยวไปพร้อมกับเยี่ยนซีเฉิงในทันที
หลังจากเยี่ยนซู่และขบวนเกี้ยวเดินทางออกไป กองทัพก็แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเดินเท้าไปยังจวนของหย่งอันอ๋อง อีกส่วนเดินเท้าตามเกี้ยวมุ่งหน้าไปยังวังหลวง
ผู้คนที่พากันมาดูขบวนทหารต่างพากันสับสนมึนงง พากันหันหน้าสนทนากันอย่างตื่นเต้น
“เพิ่งจะกลับมา แต่หย่งอันอ๋องกลับถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าทันที หรือจะมีเรื่องอันใดเกินขึ้น?”
“เพิ่งจะจัดการสถานการณ์ที่ชายแดนไปหมาด ๆ จะทำสงครามกันอีกแล้วหรือ?”
“อย่าได้เดาส่งเดชเช่นนั้น แต่ถึงจะทำสงครามจริงข้าก็ไม่กลัว หย่งอันอ๋องเคยพ่ายแพ้เสียที่ไหน?”
“เรื่องนั้นก็ใช่…..”
ชิงอวี่เก็บสายตากลับมา ก่อนจะเห็นว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังขมวดคิ้วด้วยความกังวล ไม่รู้ว่าในหัวคิดสิ่งใดอยู่ เห็นดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไปดีดหน้าผากเขาอย่างแรงก่อนเอ่ยขึ้นว่า “กลับมาได้แล้ว”
ชิงเป่ยอ้าปากค้าง จ้องมองนางด้วยสายตาโกรธเคือง “ทำอะไรของเจ้า!?”
“คนของเขาไปตั้งนานแล้ว เจ้ายังจ้องอยู่อีก” ชิงอวี่เอ่ยน้ำเสียงเยาะเย้ย ไม่สนใบหน้าเย็นชาของเขา “ข้าคิดว่าจะน่าสนใจ แต่กลับน่าเบื่อยิ่งนัก” จากนั้นร่างงามพลันลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะค่อย ๆ เดินลงบันไดไปชั้นล่าง
“เจ้าจะไปไหน?” ชิงเป่ยถามขึ้นพลางคิดว่าวันนี้ตนเป็นคนตามนางออกมา เขาไม่ได้ก้าวเท้าออกจากจวนเป็นเวลาหลายปีแล้ว ดังนั้นทำตัวติดกับนางไว้ย่อมปลอดภัยกว่า
ชิงอวี่เดินออกจากหอเมฆาเคลื่อนทางประตูหลัง ชายหนุ่มที่เดินตามด้านหลังสงสัยนักว่าเหตุใดนางจึงดูคุ้นเคยกับที่นี่นัก ทว่าในพริบตาต่อมาที่ทั้งสองคนก้าวเท้าออกจากประตูบานนั้น เขาก็อึ้งจนไม่อาจก้าวเท้าต่อได้
“นายน้อยชิง ในที่สุดท่านก็มานะเจ้าคะ ท่านทำให้ข้าผู้นี้อ้างว้างยิ่งนัก ตลอดหลายวันที่ท่านหายหน้าไป ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ เอาแต่คิดถึงท่านอยู่ตลอด” น้ำเสียงอ่อนหวานออดอ้อนดังขึ้น ตามมาด้วยกลิ่นน้ำหอมที่ส่งกลิ่นหอมแรงจนตีหน้าคนทั้งคู่ ชิงอวี่หลบไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณ ทำให้ร่างหอมกรุ่นที่กระโจนเข้ามาซบเข้าไปที่อกชายหนุ่มด้านหลังนางแทน หญิงสาวผู้นั้นกอดเขาเข้าเต็มรัก
ชิงเป่ยเป็นชายหนุ่มบริสุทธิ์ผุดผ่องผู้ใช้ชีวิตอยู่เหนือความโสมของคนทั่วไป เขาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องความสะอาดตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ชอบสัมผัสตัวกับผู้ใดนัก ตอนนี้กลับถูกสตรีไม่รู้จักที่มากอดเข้า แล้วทั้งตัวนางยังเต็มไปด้วยกลิ่นแป้งหอม ใบหน้าหล่อเหลาจึงเริ่มเปลี่ยนสีไปมาราวกับถาดระบายสี
มือที่อยู่ในแขนเสื้อเริ่มรวมกำลังภายในไว้โดยไม่ทันรู้ตัว ในใจอยากจะผลักสตรีนางนี้ไปให้พ้นตัวเสีย
ใช้ชีวิตอยู่กับเขามาถึงหกปี ชิงอวี่จะไม่รู้นิสัยเจ้าเด็กนี่ได้อย่างไร? นางเลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจับแขนสตรีนางนั้นไว้และดึงนางออกมาจากตัวเขา ปากก็เอ่ยน้ำเสียงหยอกล้อ “จิ้งจอกน้อยโกหกทั้งเพ หากเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะคิดถึงข้าแล้วไยกอดผิดคนแล้วยังไม่รู้ตัวอีก?”
ถึงสตรีนางนั้นจะแต่งตัวสีสันสดใสสวยงาม ทว่าใบหน้านางนั้นมีเสน่ห์ยิ่งนัก นัยน์ตาสวยเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจคน
คางมนถูกชิงอวี่จับเชิดขึ้นจนหน้าของหญิงสาวผู้นั้นถูกบังคับให้เชิดขึ้นเล็กน้อย ไม่เพียงแต่นางไม่โกรธเคืองเท่านั้น บนแก้มทั้งสองที่บรรจงประแป้งหอมลงไปยังมีรอยแต้มสีแดงอ่อนปรากฏขึ้น นางส่งเสียงประท้วงออดอ้อนออกมาก่อนจะซบลงกับอกชิงอวี่ “ข้าเกลียดท่านที่สุด แล้วเหตุใดท่านถึงไม่รับข้าไว้ล่ะเจ้าคะ~”
“เจ้าโทษข้าสินะ เช่นนั้นครั้งหน้าข้าคงไม่กล้ามาที่นี่แล้ว” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะอย่างหมดหนทาง
“ท่านมันจอมโจรขโมยใจจริงเชียว พอได้ใจข้าไปแล้วท่านก็ไม่คิดรับผิดชอบ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคู่งามจดจ้องไปยังชิงอวี่ ทำทีเป็นโกรธเกรี้ยวไม่พอใจ
ชิงเป่ยเห็นแล้วตกใจจนพูดไม่ออก
ไม่ใช่ว่าหอเมฆาเคลื่อนเป็นหอน้ำชาเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองหลวงหรอกหรือ?
เหตุใดจึงมีสถานเริงรมย์อย่างหอนางโลม แยกออกมาเป็นสัดเป็นส่วนอยู่ที่ลานด้านหลังเช่นนี้ได้!?
ทั่วทั้งพื้นที่มีทั้งสตรีเปลือยอก สตรีใส่ชุดเปิดเผยเนินอก สตรีทำท่าทางออดอ้อนซุกไซ้ยั่วยวนบุรุษอยู่เต็มไปหมด ส่วนบนใบหน้าของบุรุษเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความกระสันอยาก เขาทนมองภาพเช่นนี้ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว!!
สิ่งที่เขารับไม่ได้ยิ่งกว่าคือการที่ชิงอวี่ดูท่าจะมาที่นี่บ่อยจนดูคุ้นเคยอย่างดี! ในฐานะหญิงสาวคนหนึ่ง เหตุใดนางจึงกล้าหยอกเอินหญิงสาวอีกคนแล้วทำท่าราวกับไม่มีอะไรได้อย่างไร? คุณธรรมในใจนางไปไหนเสียแล้ว!?
ชิงเป่ยพลันรู้สึกว่าความเฉลียวฉลาดที่เขาแสนจะภาคภูมิใจมาโดยตลอด ในตอนนี้กลับไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย
“โอ้ พี่ชายน้อยท่านนี้หน้ามนยิ่งนัก ท่านเป็นหน้าใหม่นี่นา เพิ่งเคยมาเล่นที่นี่หรือเจ้าคะ~” หญิงสาวสองสามคนที่เดินอยู่ด้านข้างจ้องชิงเป่ยไว้นานแล้ว ด้วยหน้าตาโดดเด่นและท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ ทั้งยังดูหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขาทำให้หญิงสาวมากมายทำท่าราวกับจะแปลงร่างเป็นฝูงหมาป่าหื่นหิวน้ำลายสอ หญิงสาวเหล่านั้นรู้สึกคันยุบยิบในใจจนไม่อาจทนได้ ต้องกระโจนเข้าใส่เหยื่อหนุ่มและตะปบกรงเล็บร้ายกาจเข้าใส่เสียให้ได้
ชิงเป่ยไม่เคยประสบพบเจอกับสมรภูมิรบเช่นนี้มาก่อน จึงไม่อาจมีปฏิกิริยาตอบกลับในทันที เขาลืมสิ้นแม้กระทั่งการหลบหลีก มือมากมายที่ยื่นเข้ามาของสตรีเหล่านั้นเกือบจะแตะโดนอกเขาอยู่แล้ว
“บังอาจ” น้ำเสียงอ่อนกำลัง ทว่าดูน่าดึงดูดของบุรุษผู้หนึ่งดังลอยมาจากทิศทางหนึ่ง เป็นเสียงที่ไม่ดังนัก แต่กลับทำให้บรรยากาศเงียบลงได้อย่างน่าประหลาด