ตอนที่ 26 ผู้กล้าคนก่อนออกเดินทาง

ผู้กล้าคนก่อนอยากจะเกษียณ

[ ทะ ทรีซัง? ]

[ โอ้ว นายมาแล้วสินะ ยูยะ อ่าไม่สิต้อง ยู ยาชิโระ สินะ ทำไมนายไม่เคยบอกชั้นว่าชั้นเรียกชื่อนายผิดมาโดยตลอด ]

 

ตอนนี้ผมได้มาถึงร้านให้เช่าพาหนะแล้ว 

ที่หน้าร้านผมพบกับทรีซังที่กำลังยืนลูบเจ้านกตัวสีเทาอยู่

 

[ ทรีซังมาทำอะไรในที่แบบนี้กันครับเนี้ย ]

 

ตั้งแต่ตอนนั้น ทรีซังได้เข้าร่วมสงคราม ณ ดินแดนที่สูญสิ้น ถึงผมกับลิลลิรูริก็เข้าร่วมด้วย แต่เพราะผมต้องการจะออกจากสถานที่ต่อสู้เร็วๆ จึงไม่ได้ติดต่อกับทรีซังมากนัก แม้ก่อนสงครามจะเริ่มผมจะได้คุยกับเธอนิดหน่อย แต่มันก็ผ่านมานานพอสมควรตั้งแต่พบกันคราวก่อน

และที่สำคัญ เธอยังคงสวมชุดอีโรติกเหมือนทุกครั้ง

 

 [ฟุฟุ มานี่สิ เช็ดน้ำลายก่อนเถอะ ]

[ อ่า ขอโทษทีครับ ]

 

ขณะที่ผมกำลังลุ่มหลงไปกับชุดของทรีซัง

 ผมก็ได้รับผ้าเช็ดหน้าจากเธอพร้อมกับรอยยิ้ม มันเป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาว

 

[ ทรีซังรู้รึปล่าว ถึงชุดคุณตอนนี้มันจะดูดีก็เถอะ แต่ถ้าเป็นสีดำมันจะเข้ากับทรีซังมากๆเลยนะ ลูกไม้สีดำ ]

[ นั้นมันไม่ใช่ธุระอะไรของนายสักหน่อย แต่ชั้นขอถามเหตุผลสักหน่อยละกัน ]

[ เพราะ มันจะดูเซ็กซี่มากครับ ]

 [นายไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะ ]

 

อาจเพราะผมพูดออกมาตลกๆ มันเลยทำให้ทรีซังหัวเราะออกมา อ่าาบรรยากาศแห่งความสุข แต่เอ๊ะ ทำไมตาของทรีซังถึงดูเศร้าๆ หรือว่าเธอคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผมสินะ

 

[ ทรีซังครับ หรือว่าคุณจะคิดกับผมแบบคนรั— ]

[ ชั้นมาที่นี่เพื่อที่จะบอกลานาย ]

[ นั้นก็ตอบมาในทันทีเกินไปแล้วครับ!! !]

 

เธอตอบมาในทันทีก่อนที่ผมจะพูดจบซะอีก เห้อ

 

 [ ชั้นคิดว่า มันคงจะดีกว่าถ้าหากมาพบนายก่อนที่เราจะจากกัน ]

 [ ทะ ทรีซัง !! ]

[ ชั้นไม่ทำอะไรฟรีๆ เช่นการกอดนายหรอกนะ รู้รึปล่าว ]

[ ทรีซัง เอาเงินผมไปได้เลยครับ ]

[ แน่นอน ผู้หญิงที่ดี เรียกราคาสูงอยู่แล้ว ]

 

เธอพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวาน เหมือนเธอจะไม่ได้พูดตลกนะ

 

[ กลับมาเข้าเรื่องกันก่อนครับ เจ้านกนี่มันอะไร ผมไม่เคยเห็นนกที่มีสีเทาแบบนี้มาก่อนเลย ]

 [ก็ตามที่ท่านหัวหน้ากิลด์บอกมา เจ้านกนี่มันเป็นของเธอ ]

 

เหมือนบรรยากาศของเราเริ่มจะอึดอัด ผมเลยเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ทรีซังก็ยังยิ้มหวานให้กับผม มันเป็นรอยยิ้มที่สว่างไสวเหมือนกับรอยยิ้มของพี่สาวที่กำลังยิ้มให้กับเด็กน้อยแสนซน อ่าา รอยยิ้มนั้นมันทำให้ผมกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งถึงแม้ผมจะอายุ 16 แล้วก็ตาม

 

 [เดี่ยวนะ ของผมหรอครับ!! ]

 

เหมือนกับเจ้านกนั้นตอบสนองกับคำพูดผม 

มันเดินเข้ามาใกล้ๆผมและจิกลงที่แขนของผม

 

[ หืม แกเป็นลูกของ ไวท์และชวาส หรอกรึ ] 

 

เมื่อผมลองดูชัดๆ มันคล้ายกับนกตัวที่ผมรู้จักจริงๆ ผมจึงลูบมันนิดหน่อย เจ้านกมันก็ร้อง “คุ เคะ” ออกมา ถึงเจ้านกนี่ยังพูดภาษามนุษย์ไม่ได้ แต่มันก็เข้าใจภาษามนุษย์

 

[ ตอนที่ชั้นรับมันมา เห็นว่าได้มาจากซิลเวีย ]

 

ใช่จริงๆด้วย เจ้านกนี่อายุได้ 6 เดือนแล้ว แม้ตัวมันจะไม่ใหญ่เท่าไรก็เถอะ

 

[ แกกำลังพยายามบอกให้ผมขี่แกหรอ ฮ่าๆ ไม่ว่าพ่อแม่หรือลูกช่างเหมือนกันจริงๆ พวกแกช่างกระตืนรือรนให้ขี่ไวๆซะจิง เอาล่ะ here we go !! ]

 

เจ้านกนี่ไม่ได้มีสายจูง ผมจึงขึ้นนั่งบริเวณหลังคอของมันโดยจับบริเวณแผงคอ พอขึ้นนั่งเสร็จ เจ้านกตัวสีเทาก็เริ่มเดินไปรอบๆอย่างมีความสุข

 

[อ่า นายเป็นลูกของเจ้านั้นจริงๆ ความรู้สึกเวลาขี่แกมันช่างดีสุดๆไปเลย]

 

ผมลูบไปที่คอของมัน และอีกครั้ง เจ้านกก็ร้อง คุ เคะ ตอบรับผมกลับมา

 

[อ่า ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ แกคงไม่ต้องใช้สายจูงก็ได้หรอกมั้งนะ]

 

สำหรับนกธรรมดาทั่วๆไป พวกมันสื่อสารกับมนุษย์ไม่เข้าใจกัน ดังนั้นเวลาขี่มันจึงใช้สายจูงในการบังคับ แต่สำหรับเจ้าตัวนี้ อาจเพราะพ่อแม่จองพวกมันเข้าใจภาษามนุษย์ ทำให้มันไม่กลัวมากนัก แต่ ซิลเวีย กับลีออนฮาทก็ยังคงใช้สายจูงอยู่นะ เพราะพวกเขาต้องการบัลรานด์ และการทรงตัว

 

[โยสส ผมว่าพวกเราควรจะออกเดินทางกันได้แล้ว]

 

ผมได้ลูบหัวมันเบาๆ เจ้านกก็ร้อง คุ เคะ ตอบผมกลับมาแล้วก็ออกเดิน

พวกเราเริ่มออกเดินไปทางประตูเมืองทางตะวันตก

 

[ แล้วพบกันใหม่นะครับ ผมจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน ]

[ อ่า แล้วพบกันนะ ชั้นจะรอคอยวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง ]

 

หญิงสาวผิวสีแทนโบกมือพร้อมกับตอบผมกับมาเบาๆ . . .

 

_____________

 

[ เอ่อ  ผมควรจะไปพบกับสุดหล่อคุงและชาวคณะหน่อยดีมั้ยนะ ]

 

ความคิดนี้จู่ๆก็ขึ้นมาในหัวผมขณะที่ผมกำลังจะออกจากประตูเมือง แต่มันคงดูไม่ดีแน่ เหตุผลเพราะการที่ผมคนที่อยู่ในสถานะคนธรรมดาที่กำลังจะเดินทางออกจากเมืองไปขอพบกับกลุ่มผู้กล้าที่เป็นคนดังตอนนี้มันคงแปลกๆใช่มั้ย อีกอย่างซิลเวียและคนอื่นๆให้นกผมมาแบบนี้คงต้องการให้ผมเดินทางออกจากเมืองสินะ

ใช่แล้ว ผมควรจะออกเดินทางเลยดีกว่า เรื่องความสงบสุขของโลกควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกลุ่มผู้กล้าก็แล้วกัน อีกอย่าง ยังไงซะจอมมารก็ยังถูกผนึกอยู่ดี

 

[ แล้ว ผมจะไปที่ใหนดีน้า. . .]

 

ขณะที่ผมกำลังเปิดแผนที่เพื่อเลือกสถานที่อยู่นั้น 

ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังวิ่งมาทางผม

ในขณะที่เมืองกำลังจัดงานเทศการณ์อยู่ การวิ่งเข้าไปที่เมืองนั้นไม่แปลกอะไรเลย แต่การวิ่งออกมาจากเมืองนี่สิ มันมีน้อยมากๆ นั้นมันทำให้ผมสนใจ

หือ รึว่าเขากำลังจะเป็นคู่แต่งงานออกไปฮันนิมูนกันมั้ง

ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องไร้สาระอยู่นั้น เสียงของสาวน้อยกำลังเรียกผมอยู่

 

[ ยู!!!!! ]

 

ถึงผมจะมาที่โลกนี้ได้เดือนกว่าๆแล้วก็เถอะ 

แต่เสียงนี้ทำให้ผมประหลาดใจมากจนต้องรีบหันกลับไป

เมื่อผมหันกลับไปก็พบกับ เด็กสาวหูยาว เธอเป็นเอลฟ์ผมสั้นสีเขียวมรกต

ลิลลิรูริ ตอนนี้กำลังหอบเพราะความเหนื่อย หลังจากเธอพักหายใจสักพัก

 

[ อ่า ผมได้ยินมาว่าเธอออกมาหาผมไม่ได้ไม่ใช่หรอ? แต่เธอก็มา ]

[ แฮก แฮก คุณป้าบอกว่ากับชั้นว่า “ไปเถอะ” ]

 

ในตอนที่เราพบกันครั้งแรก เธอยังพูดไม่คล่องเลย แต่ตอนนี้กลับดีขึ้นเยอะ

ลิลลิรูริได้เป็นลูกศิษย์ของยายแก่ได้อาทิตย์กว่าๆแล้ว

แต่เวลาจริง เธอต้องกับอดทนการฝึกที่เท่ากับ 2-3 ปีในเวลาปกติเลยนะ ถึงแม้ร่างกายเธอตอนนี้ยังคงดูเป็นเด็ก แต่ความคิดของเธอนั้นเติบโตขึ้นมาก

เรียกได้ว่าเธอเป็นผู้ใหญ่แล้วตอนนี้

 

[ ผมเข้าใจนะ ยายแก่ก็ชอบเป็นอย่างนี้แหละ ]

 

ถึงแม้ผมจะยิ้มให้กับเธอ 

แต่ลิลลิรูริกลับไม่แสดงท่าทางอะไรออกมา 

เธอทำเพียงหลบตาผมในขณะที่ผมพูด

การที่จะเป็นลูกศิษย์ของยายแก่นั้น ต้องมีเงื่อนไขอะไรซักอย่างแน่นอน หนึ่งในนั้นคือการที่ลิลลิรูริไม่สามารถแยกจากยายแก่

ถึงยังงั้นก็เถอะ ตอนนี้ลิลลิรูริก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กฝึกหัด แต่เธอก็สามารถใช้เวทย์มนตร์ของ “แม่มดแห่งกาลเวลา” ได้ ถึงจะฟังดูโหดร้ายต่อลิลลิรูริ แต่เชื่อเถอะ แค่นี้เธอก็มีพลังเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกแล้ว

ถึงแม้มันจะกลายเป็นแบบนี้ แต่ถ้าคิดในอีกมุมหนึ่ง ผมก็สามารถไว้วางใจให้ยายแก่ดูแลลิลลิรูริปลอดภัยได้ ถึงแม้ความคิดเรื่องนี้ยายแก่จะเป็นคนเสนอมาเองก็เถอะนะ

พวกคุณคงกำลังคิดว่าเธอคงจะหมดอิสระภาพจนกว่าจะเป็นแม่มดแห่งกาลเวลาเต็มตัว แต่นั้นคือเส้นทางที่ลิลิรูริเธอเลือกด้วยตนเอง และนั้นรวมไปถึงการที่เธอสามารถช่วยเหลือผมได้ด้วย

นั้นคือสิ่งที่ยายแก่บอกกับผม

เพื่อที่จะมาเป็นพลังให้แก่ผม ลิลลิรูริถึงกับยอมสละการใช้ชีวิตของตนเอง

อย่างน้อยที่สุดผมก็หวังว่าเธอจะได้อยู่ในสถานที่ปลอดภัย

 

[ . . . .นี่ไม่ใช่การจากลาตลอดไปหรอกนะ ผมยังอยู่ในโลกเดียวกับเธอ นั้นหมายความว่า พวกเราจะต้องได้พบกันอีกแน่นอน มันไม่ใช่อะไรที่เหมือนกับ การกลับไปอีกโลกหรอกนะครับ ]

 

คำบอกลา 

สำหรับบางคนมันมีความหมายมากนะ

ตลอด 3 ปีที่ผ่านมานี้ ผมน่ะอยากกลับมาที่โลกนี้โดยตลอด 

แต่ช่างโชคร้าย ผมไม่สามารถมาที่โลกนี้ด้วยตนเองได้ 

หลังจากผมพยายามได้ 2 ปี ผมก็ได้ยอมแพ้ และเริ่มต้นการเป็นคนธรรมดา 

และในตอนนี้ผมมีโอกาสได้กลับมาที่โลกนี้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม การที่เราอยู่โลกเดียวกัน การที่เรากำลังคิดถึงใครบางคน เราอาจจะบังเอิญเจอกันได้ง่ายๆเลยก็ได้ใครจะรู้

ตอนนี้ ผมมาที่โลกนี้ ผมขอเลือกเส้นทางเดินใหม่ 

ผมขอสนุกไปกับการท่องโลกกว้างแล้วกัน

และนั้นผมจึงไม่อยากให้มันดูเศร้านัก

 

[ ผมไม่ได้พยายามทำอะไรเท่ๆหรอกนะลิลลิรูริ แต่พวกเราจะไม่พูดคำว่า “ลาก่อน” หรอกนะ มีแต่คำว่า “แล้วพบกันอีกครั้ง” เท่านั้นนะ ]

 

ถึงแม้ตอนนี้ผมกำลังขี่นกอยู่ผมก็ลูบหัวลิลลิรูริเบาๆ

 

[ เอาล่ะ แล้วพบกันอีกครั้งนะ ลิลลิรูริ ]

[ อือ แล้วพบกันอีกครั้งนะ ยู ]

 

ผมโบกมือลาเธอในขณะกำลังเดินทางออกจากเมือง

ลิลลิรูริเธอได้เผยรอยยิ้มออกมา

 

____________________

 

[ กระซิกๆ แงงงงง ]

[ เธอร้องให้มากเกินไปแล้วนะ ยูรู้เข้ายูคงหัวเราะเยาะเธอแน่เลยนะรู้ปล่าว ]

 

เด็กสาวชาวเอลฟ์ตอนนี้เสื้อผ้าของเธอนั้นเปื้อนทั้งน้ำตาและน้ำมูกเต็มไปหมด 

เธอกำลังถูกปลอบโดยหญิงสาวผิวแทนสุดสวย

 

 [เอาล่ะ เธอต้องการที่จะเป็นคู่หูของยูถูกต้องรึปล่าว ชั้นคิดว่าเธอไม่ควรเอาเวลามาเสียไปกับการร้องให้นะรู้มั้ย ]

[  . . . .  . . อุ ]

 

คำพูดที่กระตุ้นนั้นมันทำให้ลิลลิรูริเงยหน้าขึ้นมา

 

[ ฉันต้องการเป็น คู่หูของยู ]

[ถ้างั้น ไปกันเถอะ]

 

ดวงตาของเด็กสาวตอนนี้แสดงถึงความมุ่งมั่น

และทรีซังก็เหมือนกัน เธอกำลังมุ่งมั่นในบางอย่าง

 

(ชั้นเองก็ ต้องพยายามให้มากกว่านี้เหมือนกัน)

 

อย่างน้อยที่สุด ชั้นต้องไม่เป็นภาระให้กับเขา ชั้นต้องแสดงให้เขาเห็นว่าชั้นเองก็สามารถเป็นพลังให้กับเขาได้เช่นกัน ทรีซังเธอคิดขึ้นมาในระหว่างจูงมือเด็กสาวกลับเข้าเมือง

ถึงแม้พวกเธอจะดูเหมือนแม่ลูก 

เหมือนพี่น้อง 

เหมือนเพื่อนสนิท

เหมือนคู่แข่งความรัก 

แต่พวกเธอก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน  . . . .

 

______________

 

[ ทำแบบนี้ถูกต้องแล้วหรือคะ? ]

[ เอ๊ะ?  อะไรรึ ]

 

พนักงานต้อนรับของกิลด์หรือ โนตมจังได้ถามขึ้นมาในขณะที่เดินตามหลัง นอร์น

นั้นทำให้นอร์นถึงกับแปลกใจ

เธอเป็นผู้ที่ศรัทธาในตัวนอร์นเป็นอย่างมากและได้ช่วยงานนอร์นในหลายๆเรื่องรวมทั้งการเป็นพนักงานต้อนรับให้กับกิลด์ และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอถามขึ้นมา

 

[ การที่แยกพวกเขาออกจากกัน และส่งเขาไปทางใต้ หมู่เกาะ เกล ]

 

คำถามของเธอนั้นอธิบายเรื่องต่างๆได้อย่างดี เพราะนั้นไม่ใช่เหตุผลที่ดีเลยที่จะปล่อยให้สงครามที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกทุกเมื่อไว้กับเหล่าผู้กล้าคนปัจจุบัน แม้จอมมารยังถูกผนึกอยู่ แต่กองทัพของจอมมารนั้นยังคงเคลื่อนไหว

 

[ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เธอถูกเพียงครึ่งเดียว ถ้าในระดับนี้ เธอจะไม่สามารถอยู่เหนือคนอื่นได้นะรู้รึปล่าว ]

[ ดิชั้นรู้ซึ้งตั้งแต่แรกเริ่มแล้วค่ะ ผู้ที่อยู่เหนือคนอื่นไม่ใช่ทั้งท่านผู้กล้าคนก่อนหรือ อง์พระสันตะปาปา หรืออะไรที่เรียกว่าพระเจ้านั้นหรอกค่ะ เพราะไม่มีใครที่จะอยู่เหนือไปกว่าท่านได้อีกแล้ว “ท่านผู้กล้ารุ่นที่ 1 ” ]

 

นอร์นได้ยิ้มพร้อมกับหัวเราะออกมากับคำพูดของโนตมจัง

 

[ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าทิ้งชื่อนั้นไปเป็นล้านปีแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงแม่มดแห่งกาลเวลา ก็แค่นั้น ]

[ ขออภัยให้กับความหยาบคายของดิชั้นด้วยค่ะ ท่านนอร์น ]

[ ข้าจะตอบคำถามของเธอให้สักหน่อยแล้วกัน ข้าไม่ได้หลอกล่อเขาไปยัง หมู่เกาะ เกล หรอกนะ ]

 [เอ๊ะะะะะะะะ! . . . ท่านนอร์นหมายความว่ายังไงคะ ในเมื่อท่านแนะนำให้ไปที่หมู่เกาะ เกล ถูกต้องรึปล่าวคะ ]

[ ก็จริงที่ข้าเขียนลงไปอย่างงั้น และนั้น เขาจะไม่มีทางไปอย่างแน่นอน ]

 

นอร์นเผยรอยยิ้มที่เหมือนกับเด็กๆเวลาแผนที่วางไว้สำเร็จ

และเริ่มพูดต่อ

 

[ เพราะว่าหมอนั้น มีประสบการณ์อย่างหนักหน่วงเกี่ยวกับคำแนะนำของข้าตลอด 3ปีก่อน ดังสิ่งที่เขียนไว้ใน ปล. หมอนั้นต้องคิดอย่างหนักแน่ และหมอนั้นจะต้องคิดว่าที่หมู่เกาะ เกล จะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น เมื่ออ่านถึงจุดนี้ หมอนั้นจะต้องไปทางทิศตรงข้าม และที่ที่หมอนั้นจะไปคือ เมือง Galarie แน่นอน ]

 

______________

 

[ นครแห่งการศึกษาเวทย์มนตร์ Lizwadia หืมม ข้ามเขาแค่ 2 – 3ลูกก็ถึงแล้ว ต่อจากเมืองนี้ก็ถึง เมือง Galarie แล้ว เอาล่ะ ไป ที่นี่แล้วกัน ]

 

รัฐอิสระที่อยู่ทางเหนือของแผนที่ Galarie นั้นคือจุดมุ่งหมายหลักของผม แต่ตอนนี้ขอแวะที่เมือง Lizwadia ก่อนแล้วกัน

ถึงจะหน้าเสียดายก็เถอะที่อดเห็นสาวๆในชุดว่ายน้ำ 

แต่สาวๆในเครื่องแบบนักเรียนก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะไปดูให้ได้

ผมขี่เจ้านกสีเทาที่ยังไม่มีชื่อไปอย่างไม่รีบร้อน

ผมว่า เริ่มต้นการผจญภัยที่ต่างโลกแบบเอื่อยเฉื่อยนี่แหละ ดีที่สุดแล้วว

 

—————————————-

 

TL : จากจะวิ่งหนีปัญหา สรุป วิ่งเข้าหาปัญหาแทน