ตอนที่ 25 จดหมายถึงผู้กล้าคนก่อน

ผู้กล้าคนก่อนอยากจะเกษียณ

นครศักดิ์สิทธิ์ Angelic

 

ที่นี่มีสำนักงานใหญ่ของศาสนจักร Holy Ulquiorra ตั้งอยู่

และยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนักบุญหญิงคนแรก”วิเวียน มินาโตะ โซระ” ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ณ ที่ดินแดนแห่งนี้

สิ่งก่อสร้างภายในเมืองล้วนเป็นโทนสีขาวช่างดูสวยงาม

และหอคอยสีขาวบริสุทธิ์ที่ตั้งอยู่กลางเมืองมันทำให้เมืองแห่งนี้ดูเหมือนนครศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง

และในทุกๆปีนครศักดิ์สิทธิ์นี้จะมีผู้ศรัทธาเดินทางมาที่เมืองนี้นับหมื่นคน

ที่เมืองนี้ปีศาจนั้นไม่สามารถเข้ามาได้

เพราะเมืองนี้มีพลังแห่งแสงอันแข็งแกร่งรายล้อมอยู่

หอคอยสีขาว “ลูติเฟล”

ที่ชั้นบนสุดเป็นที่พักอาศัยขององค์พระสันตะปาปา 

ในระหว่างที่ท่านกำลังจะเดินทางไปยังเมือง ลัคซีเรีย

ที่นั่งขององค์พระสันตะปาปานั้นปรากฏชายร่างอ้วนที่ดูไม่หน้าสนใจนัก

ใบหน้าของเขาที่ดูมันเยิ้มตอนนี้กำลังบูดบึ้ง 

ทำให้ดูไม่น่าศรัทธาเลยสักนิด

ใครจะไปคิดว่าชายหน้าตาเหมือนคนที่จมอยู่กับความโลภนี้จะเป็นถึงพระคาดินัลของศาสนจักร

 

[ ทุกสิ่งที่กล่าวมานั้นสามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสงคราม ณ ดินแดนที่สูญสิ้นได้ทั้งหมดค่ะ ที่นั้นมีการปรากฏตัวของชายที่อ้างตัวว่าชื่อ”เพชฌฆาตแห่งความมืด” และท่านผู้กล้าคนก่อน ]

 

หญิงสาวผมดำกำลังอ่านรายงานในกระดาษในมือของเธอให้ชายคนนั้นฟัง

ชายคนนั้นเมื่อได้ฟังรายงานถึงกับปาแก้วในมือทิ้งจนเกิดเสียงดังและได้ลุกขึ้น

 

[ไอ้ผู้กล้าคนก่อน แกมันช่างหน้าหงุดหงิดอะไรเช่นนี้ ทำไมแกต้องมาขวางทางข้าตลอดเลยนะ ]

 

หลังจากที่กระทืบแก้วที่ขว้างลงพื้นจนหอบแล้ว 

เขาพักหายใจพักหนึ่งและได้ออกเดิน

 

[ทั้งหมดเพราะไอ้หมอนั้นดันปราบจอมมารลงได้ ข้าเลยพลาดที่จะครอบครองเหล่าเจ้าหญิง 3 คนนั้น และครั้งนี้ก็เหมือนกัน ข้ามีโอกาสที่จะได้ครอบครองซิลเวียแล้วแท้ๆ ดันผิดพลาดเพราะไอ้เวรนั้น ยกโทษให้ไม่ได้ ยกโทษให้ไม่ได้ ข้าจะไม่มีทางให้อภัยแก ไอ้ผู้กล้าคนก่อน!!! ]

 

ขณะพูดและระบายความโกรธใส่โต๊ะและเก้าอี้ 

พระคาร์ดินัลกรีดร้องออกมาเหมือนหมูถูกเชือด

สำหรับผู้รับใช้พระเจ้า ไอ้หมอนี่กับเต็มไปด้วยตัณหา

เขาคือผู้ชักใยองค์พระสันตะปาปา ถึงแม้เขาจะแสดงออกเป็นคนโง่นั้น

แต่เขาก็สามารถหาทุกสิ่งอย่างที่ต้องการมาได้ตามใจปราถนา

เมื่อ 3 ปีก่อน ตอนที่เขาพยายามจะครอบครอง 3 พี่น้ององค์หญิงแห่งลีซาเรียนโดยการยุยงเรื่องของเผ่าปีศาจ แต่มันก็พลาดเพราะ ยาชิโระ ยู ผู้กล้าคนก่อนถูกอัญเชิญมา

และเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากพวกเธอพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ล่ะก็ ความรับผิดชอบไม่ใช่เพียง วาเลนเชล และ ลัคซีเรียเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ลีซาเรี่ยนด้วย 

แต่ อีกครั้ง ที่ผู้กล้าคนก่อน ขัดขวางไม่ให้เกิดขึ้นอย่างหมดจด

และอีกอย่าง เมื่อ 3 ปีก่อน ยู ได้เปิดโปงองค์กรแห่งความืดและประนามมัน

มันทำให้เขาต้องมากลายเป็นพระคาร์ดินัลจนถึงตอนนี้ 

และการที่องค์กรแห่งความมืดถูกทำลายไปนั้นมันทำให้เขาเสียจุดยืนของตัวเองไป

ในขณะที่ชายคนนี้กำลังร้องโวยวายอยู่นั้น หญิงสาวได้จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เย็นฉา

 

————————-

 

[ เห้อ นี่มันแย่สุดๆ ]

 

ผม หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมน้องหมาบ็อกๆเสร็จ ถึงแม้จะรู้สึกจิตตกก็เถอะนะ แต่ตอนนี้ต้องเตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง

ถ้าคุณต้องการเหตุผลที่ผมจิตตกล่ะก็ มันเป็นเพราะมีชื่อเรียกแปลกๆเรียกผมเกิดขึ้นหลังจากชนะสงครามที่ผ่านมาน่ะสิ

และ ณ อาณาจักรลัคซีเรียตอนนี้ ก็ยังมีผู้นำของหลากหลายประเทศกำลังชุมนุมกันอยู่ด้วย

ในขณะที่ผมกำลังทานอาหารเช้าก่อนที่จะออกเดินทางอยู่ภายในโรงแรม ผู้คนก็กำลังเฉลิมฉลองชัยชนะกันในล็อบบี้ และนั้นทำให้ผมได้ยินมัน แม้ผมจะไม่อยากได้ยินก็ตาม

ผู้คนทุกโต๊ะต่างพูดคุยกันเกี่ยวกับบุคคลที่พวกเขาชื่นชอบในสงคราม ณ ดินแดนที่สูญสิ้นกันทั้งนั้น

 

ผู้กล้าของอาณาจักรลัคซีเรีย บลาๆๆ———

อัศวินฟ้าครามแห่งอาณาจักรลีซาเรียน บลาๆ———

หัวข้อการสนทนาเปลี่ยนไปเรื่อยจนกระทั่ง . . . .

ท่านผู้กล้าคนก่อน บลาๆ——-

ชายที่เรียนตัวเองว่า เพชฌฆาตแห่งความมืด บลาๆ——

 

มันกลายมาเป็นหัวข้อเกี่ยวกับผม อืม มันก็ช่วยไม่ได้นะ ที่พวกเขาจะไม่รู้ว่าท่านผู้กล้าคนก่อน และ เพชฌฆาตแห่งความมืด เป็นคนเดียวกัน และเขาทั้งสองคนนั้นคือผมเอง

สิ่งที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับผม นั้นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกอยากตาย

ผู้กล้าของทางลัคซีเรีย สุดหล่อคุงและชาวคณะถูกพูดถึงเป็นอยากมาก

ลีออนฮาทก็โด่งดังไม่แพ้กัน 

ข่าวลือพวกนี้น่าจะกลบเรื่องของผมไปซะให้หมด แต่พวกเขากลับพูดเรื่องของท่านผู้กล้าคนก่อนหรือก็คือผมเอง หรือไม่ก็ เพชฌฆาตแห่งความมืดหรือก็คือผมเองมากกว่าซะได้

เรื่องต่างๆโดยเฉพาะ เพชฌฆาตแห่งความมืด ที่กวัดแกว่งดาบคู่ที่ย้อมไปด้วยเลือด

พลังการต่อสู้ที่เหมือนกับเพชรฆาตดังชื่อของเขา บลาๆ—- และเขายังถูกสงสัยว่าเป็นปีศาจอีก นั้นและที่พวกเขาพูดกัน

ข่าวลือต่างๆที่ออกมาจนกลายเป็นประมานว่าผมเป็นปีศาจที่ย้ายข้างมาอยู่ฝั่งมนุษย์และเข้าช่วยเหลือในสงคราม อืมคงจะเป็นเพราะผมดันไปปราบ เทราคิโอ 1 ในดยุคได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะเหล่าดยุคนั้นไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาคนเดียวจะสามารถเอาชนะได้ และนั้นเองคือเหตุผลหลักที่ทำให้ข่าวลือว่า เพชฌฆาตแห่งความมืด เป็นปีศาจ (ที่จริงผมไม่ได้ปราบลงได้หรอกตาลุงนั้นแค่ล่าถอยไปเฉยๆ)

และนั้นเองมันทำให้ผมถูกเรียกว่า ดยุค คนที่ 8 

เห้อมันหน้าอายจนกล้ามเนื้อของผมปั่นป่วนไปหมด

ผมคิดมาเสมอว่าผมน่ะได้แสดงความจุนนิเบียวในต่างโลกนี้มากหรือน้อยเกินไปกันแน่ 

แต่หลังจากได้ฟังเรื่องน่าอายเกี่ยวกับความจุนนิเบียวของผมเต็มสูบจากที่พวกเขาคุยกันแล้ว  ผมว่าผมตายตอนนี้เลยดีกว่า 

ผมจะไม่กลับไปเป็นไอ้จุนนิเบียวอีกแล้ว ไม่มีวัน

อย่างไรก็ตามผมก็ทำเป็นเคี้ยวขนมต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจเรื่องที่พวกเขาพูดกัน ผมได้เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว . …

 

[ ใช่แล้ว ลูกของข้าที่ได้เข้าร่วมสงครามบอกว่า เขาได้เห็นคนๆนั้น นักดาบผ้าคลุมดำที่ล้มศัตรูได้รวดเร็วราวกับลมพายุ ]

[ลมพายุหรือ!!! ก็เข้ากันดีนะในกรณีนี้ รู้รึปล่าว ผู้นำของแต่ละประเทศและคนในกิลด์ต่างเรียก เพชฌฆาตแห่งความมืด ว่า (Storm Bringer)  ]

[ อะไรนะ !! เพชฌฆาตแห่งความมืด เป็นคนที่มาจากทางกิลด์หรอกหรือ!! นั้นก็หมายความว่านั้นคือชื่อที่ 2 ที่เขาใช้ในกิลด์สินะ ]

[ เกี่ยวกับข้อมูลนั้น พวกเขาพูดกันว่าท่านหัวหน้ากิลด์จะเป็นคนพูดเองนะ ]

[ อืม ข้าเดาว่าถ้าหากคุณสามารถล้มดยุคได้สักคนละก็ คงได้ฉายาแน่นอนถึงแม้จะไม่อยากได้ก็ตาม ]

 

Storm Bringer

 

[ เขาพูดว่า Storm Bringer ละ Storm Bringer !!!! Storm Bringer ! ]

.

.

.

.

.

.

.

.

หลังจากที่ผมเก็บของเสร็จ 

ผมกำลังนอนคดตัวอยู่บนเตียง 

ตอนนี้ผมกำลังเป็นลมอยู่ในห้องเพราะผมได้ชื่อจุนนิเบียวเพิ่มมาอีกแล้ว

 

[ โอย้า วันนี้เธอไม่ได้พร้อมกับ ลิลลิรูริจังหรอกหรอจ้ะ]

 

ตอนนี้ผมได้ลงมาที่ชั้น 1 ของโรงแรมน้องหมาบ๊อกๆ ผมก็ได้พบกับผู้ดูแลหญิงที่กล่าวคำทักทายออกมา

 

[อ้าว ผมยังไม่ได้บอกคุณหรอกหรอว่าเธอไปพักกับคนรู้จักแล้วครับ]

[อะไรกัน แสดงว่าเธอถูกทิ้งสินะ]

 

ผมได้สะพายเป้ของผมขึ้นหลังและได้เดินออกจากโรงแรมไปพร้อมเสียงหัวเราะของผู้ดูแลหญิง ฮ่าๆๆ ลอยตามหลังมา. . . . .

ที่ถนนสายหลักของอาณาจักรลัคซีเรียตอนนี้เต็มไปด้วยการเฉลิมฉลอง ผมเดินผ่านถนนที่แออัดเพราะขบวนพาเรทจนมาถึงที่กิลด์ และที่โต๊ะของพนักงานต้อนรับของทางกิลด์ โนตมจังได้กลับมาทำงานแล้ว

เมื่อเธอสังเกตุเห็นผม เธอก็ยิ้มหวานมาให้แก่ผม

 

[ ดิชั้นได้รับมอบหมายให้นำจดหมายของท่านหัวหน้ากิลด์ ท่านนอร์นมาให้ค่ะ ]

 

เธอช่างยิ้มได้สวยจริงๆ

 

[ จาก ยายกะ. . . เอ่อ ท่านนอร์นสินะ ]

 

ขณะที่ผมจะพูดว่ายายแก่ จิตสังหารรุนแรงปะทุออกมาจากร่างของโนตมจังมุ่งตรงมาที่ผมในทันที  ผมล่ะสงสัยจริงๆยายแก่เป็นบุคคลที่น่าศรัทธาขนาดนั้นเชียวหรอ ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่เด็กผู้ชายชาวเอลฟ์ของยายแก่ก็จ้องผมด้วยสายตารุนแรงเช่นนี้เหมือนกัน . . . .

ผมได้รับจดหมายจากเธอและได้เปิดซองเพื่ออ่านมัน

 

———————

 

“อย่างแรกเลย ชั้นควรจะขอโทษเธอสินะที่ไม่สามารถไปพบเธอได้ เพราะหลังจากที่สงครามจบลงมันมีหลายอย่างมากๆที่ชั้นจะต้องจัดการ และที่สำคัญชั้นไม่สามารถออกจากที่พักของชั้นได้ด้วย เอาล่ะถึงแม้มันจะมีหลายๆเรื่องที่ชั้นคิดว่าควรจะเขียนลงไปในจดหมายนี้ แม้ชั้นจะอยากเขียนลงไปก็เถอะ แต่ชั้นก็อดกังวลไม่ได้ 

เอาล่ะ เรื่องที่เธอกังวลอยู่ในขณะนี้ ศาสนจักรได้รับรู้เกี่ยวกับการคงอยู่ของเธอแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยนักดาบคนนั้นว่าเป็นปีศาจรึปล่าว แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้เอะใจว่าเป็นคนเดียวกับผู้กล้าคนก่อน

ข่าวที่ออกไปนั้น เพชฌฆาตแห่งความมืด ได้เคลื่อนไหวภายใต้คำสั่งของชั้น นั้นก็หมายความว่า พวกเขาไม่มีทางที่จะแตะต้องเธอได้อย่างง่ายๆ แต่เรื่องที่ว่ามานี้ไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้ ตราบใดที่นายไม่แสดงตัวว่าเป็นผู้กล้าคนก่อนหรือ เพชฌฆาตแห่งความมืดแล้วล่ะก็ พวกเขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นเธอ เพราะงั้น ใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยท่องโลกต่อไปเถอะ

พอมาคิดถึงข้อนี้ ชั้นควรจะให้สิ่งจำเป็นกับนายในท่องโลกสักหน่อย ในซองนี้จะมีกิลด์การ์ดอันใหม่ให้นาย หากนายใช้มัน นายจะสามารถใช้ถอนเงินจากทางกิลด์ได้หลายล้านเหรียญเลยทีเดียว ถ้านายคิดว่ามันจะมีปัญหาตามมาทีหลัง ไม่ต้องกังวลโปรดใช้ได้ตามสบาย แต่เมื่อถ้าชั้นมีเรื่องด่วนต้องการจะติดต่อนายในฐานะ เพชฌฆาตแห่งความมืด การ์ดของนายจะเปล่งแสงสีแดงออกมา ชั้นหวังไว้ว่านายจะรู้ว่านั้นคือสัญญาณนะ”

เดินทางโดยปลอดภัยนะ

ศิษย์รัก 

 ____________________

 

ถึงแม้ข้อความในจดหมายของยายแก่จะฟังดูดีก็เถอะ แต่ผมรู้ได้เลยว่ายายแก่จะต้องเขียนจดหมายไปหัวเราะเยาะไปเมื่อเขียนถึงช่วง เพชฌฆาตแห่งความมืด แน่ๆ

หือ เธอคงเตือนอะไรผมบางอย่างสินะ 

ก็ว่าอยู่ทำไมซองมันหนักๆพิกล ที่แท้มีกิลด์การ์ดแนบมาด้วยนี่เอง

ขณะที่ผมหยิบการ์ดสีดำออกมาจากซอง ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งติดออกมาด้วย

 

[ มันเป็นการ์ดที่ท่านหัวหน้ากิลด์เท่านั้นจะออกให้ได้ เป็นกิลด์การ์ดระดับ SS สัญลักษณ์รูปนาฬิกาที่วาดอยุ่บนกิลด์การ์ดนั้นคือสัญลักษณ์ของกิลด์ลัคซีเรีย สำหรับสมาชิกคนอื่นๆก็มีรูปนี้วาดอยู่เหมือนกัน นั้นแสดงถึงพวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของท่านหัวหน้ากิลค่ะ ] 

 

เพราะผมกำลังสงสัยสีที่ใช้วาดมันน่ะสิมันเหมือนทำมาจากทองเลย ไม่เพียงแค่ที่รูปที่จดหมายที่เขียนก็เหมือนมาจากทอง และนั้นทำให้โนตมจังอธิบายข้อสงสัยของผม

 

[สัญลักษณ์กิลด์? ผมควรจะได้มันจริงๆหรอครับ]

 

ไม่ใช่ว่านี่จะใช้เป็นข้ออ้างให้ผมไปสู้อีกหรอกนะ 

 

[ ท่านหัวหน้ากิลด์คิดว่า สิ่งนี้จะมอบความเชื่อใจให้กับคุณได้ เพราะฉนั้นอย่าปฏิเสธมันเลยนะคะ ]

 

ความไว้วางใจ หือ 

นี่มันสัญญาณเตือนอีกแล้ว แสดงว่า !!!!

ขณะจ้องมองไปยังการ์ดสีดำผมก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ติดมาด้วยจึงได้เปิดมันอ่าน

 

[ ป.ล. ไปที่คอกม้าที่นายเคยไปก่อนหน้านี้ และถ้าหากนายกำลังคิดว่าจะไปที่ไหนดี ชั้นมีที่แนะนำเป็นทางใต้ ที่หมู่เกาะ “เกล”  รู้มั้ย ที่นั้นมีสาวๆใส่ชุดว่ายน้ำเหมือนกับที่นายชอบอยู่มากมายเลยล่ะ ]

 

เป็นเพียงข้อความสั้นๆถูกเขียนไว้

 

[ คำแนะนำอย่างงั้นรึ ขอบคุณมากครับ ]

 

สำหรับผม ผู้เคยมีประสบการณ์กับคำว่า คำแนะนำ จากยายแก่ เพียงแค่นึกถึงมันหน้าผมก็บูดเบี้ยวแล้ว เอาล่ะหลังจากสงบสติอารมณ์ผมก็ยิ้มแห้งๆและกล่าวขอบคุณ โนตมจัง

 

[ ดิชั้นหวังว่าคุณจะกลับมาที่นี่อีกครั้งนะคะ ]

 

. . . . โอ้ยยย ถ้าเธอพูดแบบนี้พร้อมกับรอยยิ้มนั้น 

รู้มั้ยมันทำให้ผมอยากกลับมาที่นี่อีกรอบจริงๆนะ

ขณะที่ผมกำลังรู้สึกเหมือนว่าเป็นตาลุงที่ฟังอิหนูในคลับคาบาเร่กำลังบอกลา และกำลังจะออกเดินทางไปคลับคาบาเล่ทั่วโลก ผมก็ได้เดินทางออกมาจากกิลด์

สถานที่ต่อไปที่ผมจะไปคือร้านของตาแก่โกล ที่จริงหลังจากจบสงครามผมก็มาที่นี่แล้วรอบหนึ่งเพื่อเอาดาบคู่ของผมมาซ่อมนิดหน่อย

 

[โอ้ ตาแก่บ้าอยู่ในนี้รึปล่าว ]

[ หนวกหูจริวโว้ย ไอ้เด็กบ้า ]

 

ขณะที่ผมเข้าไปที่ร้านขายอาวุธและตะโกนถาม

ก็ได้ยินเสียงตะโกนตอบออกมาในทันที

 

[แกมาสักที ไอ้เด็กสวะเอ้ย แกใช้ของที่คนอื่นเขาอุส่าสร้างให้อย่างดีจนเละเทะขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ]

 

ตาแก่ที่โผล่ออกมาด้วยความโมโหเขาโยนอาวุธบางอย่างมาใส่ผม แต่เอ๊ะที่อยู่ในมือเขานั้นมันดาบคริสตัลของผมไม่ใช่หรอ

 

[อ่าาา มันช่วยไม่ได้ รู้มั้ยผมต้องต่อสู้กับเทราคิโอและเฟรม เอ่อ ไม่สิ อัคนีร่า ดยุคทั้ง2คนเลยนะ แต่ถึงอย่างงั้น มันสุดยอดมากเลยที่ดาบคู่นี้ไม่หักลง !]

[มันเป็นเพราะอาวุธนี้ข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาไง!]

 

หลังจากผมยอเขาไปนิดหน่อยเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้วนะ

 

[เอาล่ะ มันเป็นไงบ้าง]

 

ขณะที่ผมถามนั้น ตาแก่ได้พ่นลมหายใจดึง หึ และได้โยนดาบคู่ในมือของเขา

ให้กับผม

 

[ขอบคุณครับ]

[ไอ้หนู จริงรึปล่าวที่แกจะออกจากเมืองนี้]

[ อืม ที่จริงผมได้มาถึงเมืองนี้เพราะอะไรบางอย่างที่คล้ายกับอุบัติเหตุ ดังนั้นผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมจะออกเดินทางท่องโลกไปเรื่อยๆแล้วล่ะครับ ]

 

จริงอยู่ถ้าหากผมอยู่ภายใต้การดูแลของยายแก่ผมก็จะได้ไม่ต้องกังวลในหลายๆเรื่องแต่ผมอยากจะท่องโลกมากกว่า ถึงแม้กองทัพของจอมมารจะยังเคลื่อนไหวอยู่ แต่ในเมื่อจอมมารยังถูกผนึก โลกนี้ก็ถือว่าสงบสุขอยู่พอสมควร

 

[งั้น ถ้าดาบของนายเกิดสภาพแย่ขึ้นมาล่ะก็ กลับมาข้าก็แล้วกัน]

 

ชายแก่ได้พูดขึ้นขณะเดินกลับเข้าไปที่ทำงานของตัวเอง

 

[. . . .ขอบคุณครับ ]

 

ผมได้กล่าวขอบคุณสำหรับทุกๆสิ่งและออกมาจากร้าน ถึงแม้คำกล่าวนั้นชายแก่คงจะไม่ได้ยินก็ตาม . . . .