นครศักดิ์สิทธิ์ Angelic
ที่นี่มีสำนักงานใหญ่ของศาสนจักร Holy Ulquiorra ตั้งอยู่
และยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนักบุญหญิงคนแรก”วิเวียน มินาโตะ โซระ” ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ณ ที่ดินแดนแห่งนี้
สิ่งก่อสร้างภายในเมืองล้วนเป็นโทนสีขาวช่างดูสวยงาม
และหอคอยสีขาวบริสุทธิ์ที่ตั้งอยู่กลางเมืองมันทำให้เมืองแห่งนี้ดูเหมือนนครศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
และในทุกๆปีนครศักดิ์สิทธิ์นี้จะมีผู้ศรัทธาเดินทางมาที่เมืองนี้นับหมื่นคน
ที่เมืองนี้ปีศาจนั้นไม่สามารถเข้ามาได้
เพราะเมืองนี้มีพลังแห่งแสงอันแข็งแกร่งรายล้อมอยู่
หอคอยสีขาว “ลูติเฟล”
ที่ชั้นบนสุดเป็นที่พักอาศัยขององค์พระสันตะปาปา
ในระหว่างที่ท่านกำลังจะเดินทางไปยังเมือง ลัคซีเรีย
ที่นั่งขององค์พระสันตะปาปานั้นปรากฏชายร่างอ้วนที่ดูไม่หน้าสนใจนัก
ใบหน้าของเขาที่ดูมันเยิ้มตอนนี้กำลังบูดบึ้ง
ทำให้ดูไม่น่าศรัทธาเลยสักนิด
ใครจะไปคิดว่าชายหน้าตาเหมือนคนที่จมอยู่กับความโลภนี้จะเป็นถึงพระคาดินัลของศาสนจักร
[ ทุกสิ่งที่กล่าวมานั้นสามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสงคราม ณ ดินแดนที่สูญสิ้นได้ทั้งหมดค่ะ ที่นั้นมีการปรากฏตัวของชายที่อ้างตัวว่าชื่อ”เพชฌฆาตแห่งความมืด” และท่านผู้กล้าคนก่อน ]
หญิงสาวผมดำกำลังอ่านรายงานในกระดาษในมือของเธอให้ชายคนนั้นฟัง
ชายคนนั้นเมื่อได้ฟังรายงานถึงกับปาแก้วในมือทิ้งจนเกิดเสียงดังและได้ลุกขึ้น
[ไอ้ผู้กล้าคนก่อน แกมันช่างหน้าหงุดหงิดอะไรเช่นนี้ ทำไมแกต้องมาขวางทางข้าตลอดเลยนะ ]
หลังจากที่กระทืบแก้วที่ขว้างลงพื้นจนหอบแล้ว
เขาพักหายใจพักหนึ่งและได้ออกเดิน
[ทั้งหมดเพราะไอ้หมอนั้นดันปราบจอมมารลงได้ ข้าเลยพลาดที่จะครอบครองเหล่าเจ้าหญิง 3 คนนั้น และครั้งนี้ก็เหมือนกัน ข้ามีโอกาสที่จะได้ครอบครองซิลเวียแล้วแท้ๆ ดันผิดพลาดเพราะไอ้เวรนั้น ยกโทษให้ไม่ได้ ยกโทษให้ไม่ได้ ข้าจะไม่มีทางให้อภัยแก ไอ้ผู้กล้าคนก่อน!!! ]
ขณะพูดและระบายความโกรธใส่โต๊ะและเก้าอี้
พระคาร์ดินัลกรีดร้องออกมาเหมือนหมูถูกเชือด
สำหรับผู้รับใช้พระเจ้า ไอ้หมอนี่กับเต็มไปด้วยตัณหา
เขาคือผู้ชักใยองค์พระสันตะปาปา ถึงแม้เขาจะแสดงออกเป็นคนโง่นั้น
แต่เขาก็สามารถหาทุกสิ่งอย่างที่ต้องการมาได้ตามใจปราถนา
เมื่อ 3 ปีก่อน ตอนที่เขาพยายามจะครอบครอง 3 พี่น้ององค์หญิงแห่งลีซาเรียนโดยการยุยงเรื่องของเผ่าปีศาจ แต่มันก็พลาดเพราะ ยาชิโระ ยู ผู้กล้าคนก่อนถูกอัญเชิญมา
และเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากพวกเธอพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ล่ะก็ ความรับผิดชอบไม่ใช่เพียง วาเลนเชล และ ลัคซีเรียเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ลีซาเรี่ยนด้วย
แต่ อีกครั้ง ที่ผู้กล้าคนก่อน ขัดขวางไม่ให้เกิดขึ้นอย่างหมดจด
และอีกอย่าง เมื่อ 3 ปีก่อน ยู ได้เปิดโปงองค์กรแห่งความืดและประนามมัน
มันทำให้เขาต้องมากลายเป็นพระคาร์ดินัลจนถึงตอนนี้
และการที่องค์กรแห่งความมืดถูกทำลายไปนั้นมันทำให้เขาเสียจุดยืนของตัวเองไป
ในขณะที่ชายคนนี้กำลังร้องโวยวายอยู่นั้น หญิงสาวได้จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เย็นฉา
————————-
[ เห้อ นี่มันแย่สุดๆ ]
ผม หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมน้องหมาบ็อกๆเสร็จ ถึงแม้จะรู้สึกจิตตกก็เถอะนะ แต่ตอนนี้ต้องเตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง
ถ้าคุณต้องการเหตุผลที่ผมจิตตกล่ะก็ มันเป็นเพราะมีชื่อเรียกแปลกๆเรียกผมเกิดขึ้นหลังจากชนะสงครามที่ผ่านมาน่ะสิ
และ ณ อาณาจักรลัคซีเรียตอนนี้ ก็ยังมีผู้นำของหลากหลายประเทศกำลังชุมนุมกันอยู่ด้วย
ในขณะที่ผมกำลังทานอาหารเช้าก่อนที่จะออกเดินทางอยู่ภายในโรงแรม ผู้คนก็กำลังเฉลิมฉลองชัยชนะกันในล็อบบี้ และนั้นทำให้ผมได้ยินมัน แม้ผมจะไม่อยากได้ยินก็ตาม
ผู้คนทุกโต๊ะต่างพูดคุยกันเกี่ยวกับบุคคลที่พวกเขาชื่นชอบในสงคราม ณ ดินแดนที่สูญสิ้นกันทั้งนั้น
ผู้กล้าของอาณาจักรลัคซีเรีย บลาๆๆ———
อัศวินฟ้าครามแห่งอาณาจักรลีซาเรียน บลาๆ———
หัวข้อการสนทนาเปลี่ยนไปเรื่อยจนกระทั่ง . . . .
ท่านผู้กล้าคนก่อน บลาๆ——-
ชายที่เรียนตัวเองว่า เพชฌฆาตแห่งความมืด บลาๆ——
มันกลายมาเป็นหัวข้อเกี่ยวกับผม อืม มันก็ช่วยไม่ได้นะ ที่พวกเขาจะไม่รู้ว่าท่านผู้กล้าคนก่อน และ เพชฌฆาตแห่งความมืด เป็นคนเดียวกัน และเขาทั้งสองคนนั้นคือผมเอง
สิ่งที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับผม นั้นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกอยากตาย
ผู้กล้าของทางลัคซีเรีย สุดหล่อคุงและชาวคณะถูกพูดถึงเป็นอยากมาก
ลีออนฮาทก็โด่งดังไม่แพ้กัน
ข่าวลือพวกนี้น่าจะกลบเรื่องของผมไปซะให้หมด แต่พวกเขากลับพูดเรื่องของท่านผู้กล้าคนก่อนหรือก็คือผมเอง หรือไม่ก็ เพชฌฆาตแห่งความมืดหรือก็คือผมเองมากกว่าซะได้
เรื่องต่างๆโดยเฉพาะ เพชฌฆาตแห่งความมืด ที่กวัดแกว่งดาบคู่ที่ย้อมไปด้วยเลือด
พลังการต่อสู้ที่เหมือนกับเพชรฆาตดังชื่อของเขา บลาๆ—- และเขายังถูกสงสัยว่าเป็นปีศาจอีก นั้นและที่พวกเขาพูดกัน
ข่าวลือต่างๆที่ออกมาจนกลายเป็นประมานว่าผมเป็นปีศาจที่ย้ายข้างมาอยู่ฝั่งมนุษย์และเข้าช่วยเหลือในสงคราม อืมคงจะเป็นเพราะผมดันไปปราบ เทราคิโอ 1 ในดยุคได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะเหล่าดยุคนั้นไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาคนเดียวจะสามารถเอาชนะได้ และนั้นเองคือเหตุผลหลักที่ทำให้ข่าวลือว่า เพชฌฆาตแห่งความมืด เป็นปีศาจ (ที่จริงผมไม่ได้ปราบลงได้หรอกตาลุงนั้นแค่ล่าถอยไปเฉยๆ)
และนั้นเองมันทำให้ผมถูกเรียกว่า ดยุค คนที่ 8
เห้อมันหน้าอายจนกล้ามเนื้อของผมปั่นป่วนไปหมด
ผมคิดมาเสมอว่าผมน่ะได้แสดงความจุนนิเบียวในต่างโลกนี้มากหรือน้อยเกินไปกันแน่
แต่หลังจากได้ฟังเรื่องน่าอายเกี่ยวกับความจุนนิเบียวของผมเต็มสูบจากที่พวกเขาคุยกันแล้ว ผมว่าผมตายตอนนี้เลยดีกว่า
ผมจะไม่กลับไปเป็นไอ้จุนนิเบียวอีกแล้ว ไม่มีวัน
อย่างไรก็ตามผมก็ทำเป็นเคี้ยวขนมต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจเรื่องที่พวกเขาพูดกัน ผมได้เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว . …
[ ใช่แล้ว ลูกของข้าที่ได้เข้าร่วมสงครามบอกว่า เขาได้เห็นคนๆนั้น นักดาบผ้าคลุมดำที่ล้มศัตรูได้รวดเร็วราวกับลมพายุ ]
[ลมพายุหรือ!!! ก็เข้ากันดีนะในกรณีนี้ รู้รึปล่าว ผู้นำของแต่ละประเทศและคนในกิลด์ต่างเรียก เพชฌฆาตแห่งความมืด ว่า (Storm Bringer) ]
[ อะไรนะ !! เพชฌฆาตแห่งความมืด เป็นคนที่มาจากทางกิลด์หรอกหรือ!! นั้นก็หมายความว่านั้นคือชื่อที่ 2 ที่เขาใช้ในกิลด์สินะ ]
[ เกี่ยวกับข้อมูลนั้น พวกเขาพูดกันว่าท่านหัวหน้ากิลด์จะเป็นคนพูดเองนะ ]
[ อืม ข้าเดาว่าถ้าหากคุณสามารถล้มดยุคได้สักคนละก็ คงได้ฉายาแน่นอนถึงแม้จะไม่อยากได้ก็ตาม ]
Storm Bringer
[ เขาพูดว่า Storm Bringer ละ Storm Bringer !!!! Storm Bringer ! ]
.
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากที่ผมเก็บของเสร็จ
ผมกำลังนอนคดตัวอยู่บนเตียง
ตอนนี้ผมกำลังเป็นลมอยู่ในห้องเพราะผมได้ชื่อจุนนิเบียวเพิ่มมาอีกแล้ว
[ โอย้า วันนี้เธอไม่ได้พร้อมกับ ลิลลิรูริจังหรอกหรอจ้ะ]
ตอนนี้ผมได้ลงมาที่ชั้น 1 ของโรงแรมน้องหมาบ๊อกๆ ผมก็ได้พบกับผู้ดูแลหญิงที่กล่าวคำทักทายออกมา
[อ้าว ผมยังไม่ได้บอกคุณหรอกหรอว่าเธอไปพักกับคนรู้จักแล้วครับ]
[อะไรกัน แสดงว่าเธอถูกทิ้งสินะ]
ผมได้สะพายเป้ของผมขึ้นหลังและได้เดินออกจากโรงแรมไปพร้อมเสียงหัวเราะของผู้ดูแลหญิง ฮ่าๆๆ ลอยตามหลังมา. . . . .
ที่ถนนสายหลักของอาณาจักรลัคซีเรียตอนนี้เต็มไปด้วยการเฉลิมฉลอง ผมเดินผ่านถนนที่แออัดเพราะขบวนพาเรทจนมาถึงที่กิลด์ และที่โต๊ะของพนักงานต้อนรับของทางกิลด์ โนตมจังได้กลับมาทำงานแล้ว
เมื่อเธอสังเกตุเห็นผม เธอก็ยิ้มหวานมาให้แก่ผม
[ ดิชั้นได้รับมอบหมายให้นำจดหมายของท่านหัวหน้ากิลด์ ท่านนอร์นมาให้ค่ะ ]
เธอช่างยิ้มได้สวยจริงๆ
[ จาก ยายกะ. . . เอ่อ ท่านนอร์นสินะ ]
ขณะที่ผมจะพูดว่ายายแก่ จิตสังหารรุนแรงปะทุออกมาจากร่างของโนตมจังมุ่งตรงมาที่ผมในทันที ผมล่ะสงสัยจริงๆยายแก่เป็นบุคคลที่น่าศรัทธาขนาดนั้นเชียวหรอ ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่เด็กผู้ชายชาวเอลฟ์ของยายแก่ก็จ้องผมด้วยสายตารุนแรงเช่นนี้เหมือนกัน . . . .
ผมได้รับจดหมายจากเธอและได้เปิดซองเพื่ออ่านมัน
———————
“อย่างแรกเลย ชั้นควรจะขอโทษเธอสินะที่ไม่สามารถไปพบเธอได้ เพราะหลังจากที่สงครามจบลงมันมีหลายอย่างมากๆที่ชั้นจะต้องจัดการ และที่สำคัญชั้นไม่สามารถออกจากที่พักของชั้นได้ด้วย เอาล่ะถึงแม้มันจะมีหลายๆเรื่องที่ชั้นคิดว่าควรจะเขียนลงไปในจดหมายนี้ แม้ชั้นจะอยากเขียนลงไปก็เถอะ แต่ชั้นก็อดกังวลไม่ได้
เอาล่ะ เรื่องที่เธอกังวลอยู่ในขณะนี้ ศาสนจักรได้รับรู้เกี่ยวกับการคงอยู่ของเธอแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยนักดาบคนนั้นว่าเป็นปีศาจรึปล่าว แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้เอะใจว่าเป็นคนเดียวกับผู้กล้าคนก่อน
ข่าวที่ออกไปนั้น เพชฌฆาตแห่งความมืด ได้เคลื่อนไหวภายใต้คำสั่งของชั้น นั้นก็หมายความว่า พวกเขาไม่มีทางที่จะแตะต้องเธอได้อย่างง่ายๆ แต่เรื่องที่ว่ามานี้ไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้ ตราบใดที่นายไม่แสดงตัวว่าเป็นผู้กล้าคนก่อนหรือ เพชฌฆาตแห่งความมืดแล้วล่ะก็ พวกเขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นเธอ เพราะงั้น ใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยท่องโลกต่อไปเถอะ
พอมาคิดถึงข้อนี้ ชั้นควรจะให้สิ่งจำเป็นกับนายในท่องโลกสักหน่อย ในซองนี้จะมีกิลด์การ์ดอันใหม่ให้นาย หากนายใช้มัน นายจะสามารถใช้ถอนเงินจากทางกิลด์ได้หลายล้านเหรียญเลยทีเดียว ถ้านายคิดว่ามันจะมีปัญหาตามมาทีหลัง ไม่ต้องกังวลโปรดใช้ได้ตามสบาย แต่เมื่อถ้าชั้นมีเรื่องด่วนต้องการจะติดต่อนายในฐานะ เพชฌฆาตแห่งความมืด การ์ดของนายจะเปล่งแสงสีแดงออกมา ชั้นหวังไว้ว่านายจะรู้ว่านั้นคือสัญญาณนะ”
เดินทางโดยปลอดภัยนะ
ศิษย์รัก
____________________
ถึงแม้ข้อความในจดหมายของยายแก่จะฟังดูดีก็เถอะ แต่ผมรู้ได้เลยว่ายายแก่จะต้องเขียนจดหมายไปหัวเราะเยาะไปเมื่อเขียนถึงช่วง เพชฌฆาตแห่งความมืด แน่ๆ
หือ เธอคงเตือนอะไรผมบางอย่างสินะ
ก็ว่าอยู่ทำไมซองมันหนักๆพิกล ที่แท้มีกิลด์การ์ดแนบมาด้วยนี่เอง
ขณะที่ผมหยิบการ์ดสีดำออกมาจากซอง ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งติดออกมาด้วย
[ มันเป็นการ์ดที่ท่านหัวหน้ากิลด์เท่านั้นจะออกให้ได้ เป็นกิลด์การ์ดระดับ SS สัญลักษณ์รูปนาฬิกาที่วาดอยุ่บนกิลด์การ์ดนั้นคือสัญลักษณ์ของกิลด์ลัคซีเรีย สำหรับสมาชิกคนอื่นๆก็มีรูปนี้วาดอยู่เหมือนกัน นั้นแสดงถึงพวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของท่านหัวหน้ากิลค่ะ ]
เพราะผมกำลังสงสัยสีที่ใช้วาดมันน่ะสิมันเหมือนทำมาจากทองเลย ไม่เพียงแค่ที่รูปที่จดหมายที่เขียนก็เหมือนมาจากทอง และนั้นทำให้โนตมจังอธิบายข้อสงสัยของผม
[สัญลักษณ์กิลด์? ผมควรจะได้มันจริงๆหรอครับ]
ไม่ใช่ว่านี่จะใช้เป็นข้ออ้างให้ผมไปสู้อีกหรอกนะ
[ ท่านหัวหน้ากิลด์คิดว่า สิ่งนี้จะมอบความเชื่อใจให้กับคุณได้ เพราะฉนั้นอย่าปฏิเสธมันเลยนะคะ ]
ความไว้วางใจ หือ
นี่มันสัญญาณเตือนอีกแล้ว แสดงว่า !!!!
ขณะจ้องมองไปยังการ์ดสีดำผมก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ติดมาด้วยจึงได้เปิดมันอ่าน
[ ป.ล. ไปที่คอกม้าที่นายเคยไปก่อนหน้านี้ และถ้าหากนายกำลังคิดว่าจะไปที่ไหนดี ชั้นมีที่แนะนำเป็นทางใต้ ที่หมู่เกาะ “เกล” รู้มั้ย ที่นั้นมีสาวๆใส่ชุดว่ายน้ำเหมือนกับที่นายชอบอยู่มากมายเลยล่ะ ]
เป็นเพียงข้อความสั้นๆถูกเขียนไว้
[ คำแนะนำอย่างงั้นรึ ขอบคุณมากครับ ]
สำหรับผม ผู้เคยมีประสบการณ์กับคำว่า คำแนะนำ จากยายแก่ เพียงแค่นึกถึงมันหน้าผมก็บูดเบี้ยวแล้ว เอาล่ะหลังจากสงบสติอารมณ์ผมก็ยิ้มแห้งๆและกล่าวขอบคุณ โนตมจัง
[ ดิชั้นหวังว่าคุณจะกลับมาที่นี่อีกครั้งนะคะ ]
. . . . โอ้ยยย ถ้าเธอพูดแบบนี้พร้อมกับรอยยิ้มนั้น
รู้มั้ยมันทำให้ผมอยากกลับมาที่นี่อีกรอบจริงๆนะ
ขณะที่ผมกำลังรู้สึกเหมือนว่าเป็นตาลุงที่ฟังอิหนูในคลับคาบาเร่กำลังบอกลา และกำลังจะออกเดินทางไปคลับคาบาเล่ทั่วโลก ผมก็ได้เดินทางออกมาจากกิลด์
สถานที่ต่อไปที่ผมจะไปคือร้านของตาแก่โกล ที่จริงหลังจากจบสงครามผมก็มาที่นี่แล้วรอบหนึ่งเพื่อเอาดาบคู่ของผมมาซ่อมนิดหน่อย
[โอ้ ตาแก่บ้าอยู่ในนี้รึปล่าว ]
[ หนวกหูจริวโว้ย ไอ้เด็กบ้า ]
ขณะที่ผมเข้าไปที่ร้านขายอาวุธและตะโกนถาม
ก็ได้ยินเสียงตะโกนตอบออกมาในทันที
[แกมาสักที ไอ้เด็กสวะเอ้ย แกใช้ของที่คนอื่นเขาอุส่าสร้างให้อย่างดีจนเละเทะขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ]
ตาแก่ที่โผล่ออกมาด้วยความโมโหเขาโยนอาวุธบางอย่างมาใส่ผม แต่เอ๊ะที่อยู่ในมือเขานั้นมันดาบคริสตัลของผมไม่ใช่หรอ
[อ่าาา มันช่วยไม่ได้ รู้มั้ยผมต้องต่อสู้กับเทราคิโอและเฟรม เอ่อ ไม่สิ อัคนีร่า ดยุคทั้ง2คนเลยนะ แต่ถึงอย่างงั้น มันสุดยอดมากเลยที่ดาบคู่นี้ไม่หักลง !]
[มันเป็นเพราะอาวุธนี้ข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาไง!]
หลังจากผมยอเขาไปนิดหน่อยเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้วนะ
[เอาล่ะ มันเป็นไงบ้าง]
ขณะที่ผมถามนั้น ตาแก่ได้พ่นลมหายใจดึง หึ และได้โยนดาบคู่ในมือของเขา
ให้กับผม
[ขอบคุณครับ]
[ไอ้หนู จริงรึปล่าวที่แกจะออกจากเมืองนี้]
[ อืม ที่จริงผมได้มาถึงเมืองนี้เพราะอะไรบางอย่างที่คล้ายกับอุบัติเหตุ ดังนั้นผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมจะออกเดินทางท่องโลกไปเรื่อยๆแล้วล่ะครับ ]
จริงอยู่ถ้าหากผมอยู่ภายใต้การดูแลของยายแก่ผมก็จะได้ไม่ต้องกังวลในหลายๆเรื่องแต่ผมอยากจะท่องโลกมากกว่า ถึงแม้กองทัพของจอมมารจะยังเคลื่อนไหวอยู่ แต่ในเมื่อจอมมารยังถูกผนึก โลกนี้ก็ถือว่าสงบสุขอยู่พอสมควร
[งั้น ถ้าดาบของนายเกิดสภาพแย่ขึ้นมาล่ะก็ กลับมาข้าก็แล้วกัน]
ชายแก่ได้พูดขึ้นขณะเดินกลับเข้าไปที่ทำงานของตัวเอง
[. . . .ขอบคุณครับ ]
ผมได้กล่าวขอบคุณสำหรับทุกๆสิ่งและออกมาจากร้าน ถึงแม้คำกล่าวนั้นชายแก่คงจะไม่ได้ยินก็ตาม . . . .