ตอนที่ 24 สงคราม ณ ดินแดนที่สูญสิ้น 7

ผู้กล้าคนก่อนอยากจะเกษียณ

[ เอาล่ะ ตอบคำถามชั้นมาได้แล้ว ]

[ จะให้ตอบอะไรอีก!! มันก็แค่เก่งเพราะมีดาบศักดิ์สิทธิ์ มันก็แค่นั้น ไม่ใช่ผู้กล้าที่เหมือนกับ”หมอนั้น” หรอก ]

 

สถานที่แห่งหนึ่ง 

ในที่ๆห่างไกล

มันเป็นสถานที่ลึกลับ 

ที่ผู้คนขนานนามว่า ถ้ำปีศาจ 

มันเป็นสถานที่ไอเวทมนตร์สีม่วงคละคลุ้งราวกับเป็นหมอก 

จนมันทำให้รู้สึกว่าหมอกที่ปกคลุมสถานที่นี้นั้นราวกับหมอกพิษ

สถานที่แห่งนี้เป็นทางเข้าไปยังปราสาทของจอมมาร 

และเป็นที่อยู่ของเหล่าข้ารับใช้

ผู้หญิงผู้มีผมสีฟ้ายาว ดูเหมือนร่างของเธอจะเกิดขึ้นมาจากน้ำ . . 

และผู้หญิงอีกคนผู้มีผมสีแดงปลิวไสวราวมันดูราวกับกำลังลุกไหม้ 

พวกเธอทั้งสองดูต่างจากผู้คนทั่วไป เพราะพวกเธอมีผิวที่ฟ้าซีดและดวงตาสีทอง

ใช่แล้ว พวกเธอคือ ปีศาจ

 

[ มันเป็นเพราะพวกเรารู้เพียงแค่นั้น แล้วเขาเก่งจริงๆรึปล่าว? ถ้าเธอพยายามจะบ่ายเบี่ยงล่ะก็ขอบอกไว้เลยนะว่าไม่มีทาง ถึงเธอจะไม่ได้อธิบายอะไรที่ทำให้เธอยอมเปลี่ยนความตั้งใจของตัวเอง ทั้งๆที่เธอตั้งใจจะออกไปสู้แท้ๆ แล้วทำไมเธอถึงกลับมาในทันที บอกมาเดี่ยวนี้ เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เธอออกจากที่นี่  ]

[ ขะ .ข้าแค่ไม่มีอารมณ์เฉยๆ ]

[ เธอก็รู้ว่าเธอโกหกชั้นไม่ได้หรอก ตั้งแต่กลับมาเธอดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะรู้ตัวบ้างรึปล่าว และมันทำให้ชั้นสนใจ ถึงแม้ชั้นจะไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงพยายามปกปิดคนๆนั้น แต่ พอมาคิดๆดูแล้ว คนที่จะทำให้เธอมีปฎิกิริยาแบบนี้ได้คงจะมีแค่ . . .  “หมอนั้น” ใช่มั้ยนะ? ]

 

ทั้งสองคนตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้สีดำ สถานการณ์ตอนนี้คงใช้คำว่าสงบคงจะไม่ได้

เพราะทันใดนั้นเอง บรรยากาศตอนนี้เต็มด้วยจิตสังหาร ประทุออกมาจากเธอ. . 

 

[ อย่าแตะต้องเขา!!เขาเป็นของข้า!!! ]

 

อัคนีร่าได้ลุกขึ้นและกล่าวออกมาเสียงดังใส่ผู้หญิงผมสีฟ้าที่ปล่อยจิตสังหารออกมา . .

 

[ อร้า . . ชั้นเข้าใจแล้ว“หมอนั้น”ถูกอัญเชิญมาที่โลกนี้อีกครั้งแล้วสินะ ]

 

ปฎิกิริยาที่อัคนีร่าแสดงออกมามันทำให้หญิงสาวผมฟ้าทำความเข้าใจได้และเธอได้หัวเราะคิกคักออกมา . .

 

[ กรอดด . .อควาดิเน่!! เธอบังอาจปั่นหัวข้า!! ]

[ เป็นความผิดของเธอเองที่ตกหลุมพรางนั้น ]

 

ในขณะที่อัคนีร่ากำลังคลุ้มคลั่งอยู่นั้น 

หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่า อควาดิเน่เธอใช้น้ำปกป้องเธอจากอัคนีร่า . . 

 

[ เข้าใจแล้วๆ เขา, ยู ยาชิโระ เขากลับมาแล้ว ผู้กล้าคนก่อน ไม่สิ เขายังเป็นผู้กล้าอยู่จริงๆน่ะรึ ]

[อควาดิเน่!!!!!!!!!! ถ้าเธอแตะต้อง ยูยะ!!! ละก็ ข้าจะเผาเธอทั้งเป็น!!!!คนเดียวเท่านั้นที่จะฆ่าเขาได้คือข้าคนนี้เท่านั้น!! ]

[ อ้า ชั้นเข้าใจแล้วว่าเธอชอบเขามากขนาดไหน ถึงขนาดเรียกชื่อเขาออกมาเลย. . ]

 

อควาดิเน่เธอถอนหอยใจออกมาเล็กๆ 

ก่อนที่จะลุกขึ้นเดิน . . 

 

[ อึกก ]

[. . เชิญเธอตามสบายเลย ชั้นจะไม่เข้าไปยุ่งกับเขาหรอก  ถ้าหากเขาไม่เข้ามาเป็นอุปสรรคต่อแผนการของชั้นล่ะก็นะ ชั้นก็ไม่สนใจอะไรที่เรียกว่าผู้กล้านั้นหรอกนะ ทำตามใจชอบเถอะ ]

 

อควาดิเน่ เธอดึงขวานเพลิงที่จามอยู่ที่หัวของเธอออกพร้อมกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย หลังจากดึงขวานออกด้วยมือของเธอแล้ว เธอก็ออกจากห้องนี้ไป . . .

 

[  . . .  ที่ข้าชอบ งั้นรึ.  ]

มันทำอัคนีร่า นึกถึงเรื่องที่เธอพบกับเขา เมื่อ 2-3 วันก่อน . . 

 

—————————

 

[ !? ]

 

คางของอัคนีร่าถูกเสยขึ้น 

เธอถึงกับถอยหลังกับไปหลังจากโดนหมัดอัปเปอคัต

ดูเหมือนว่าอัคนีร่าเธอจะตะลึงไปชั่วขณะ ถึงแม้บาดแผลจากการถูกชกนั้นจะเพียงเล็กน้อย ตอนนี้หน้าของเธอช๊อคราวกับว่าโลกได้แตกลง

 

[ ฟู่ว   ถึงจะบอกว่าในทันทีก็เถอะ  แต่มันก็ใช้เวลานิดนึงกว่าจะฟื้นตัวล่ะนะ เห้อ  ]

 

หัวของผู้ชายที่อัคนีร่าระเบิดไปแล้วนั้น 

ตอนนี้กลับไม่เป็นอะไรเลย มันเป็นไปได้ยังไงกัน

 

[ กะ .แก ]

 

ใบหน้าภายใต้ฮูดนั้นได้เผยออกมา 

เป็นภาพของชายผู้มีผมสีดำปรากฎ

และนั้นมันทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก 

แต่แล้วเธอก็หัวเราะออกมา  .  . .

 

[ คุ คุ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เยี่ยม เยี่ยมไปเลย ในที่สุด แกก็กลับมาา ]

 

ขนาดเธอหัวเราะอยู่นั้น 

เธอยังควงขวานเพลิงของเธอหมายจะหั่น ยู เป็น 2 ท่อน

ขณะหลบการโจมตีนั้นด้วยความเร็วแสง 

ยูได้สะบัดมือไปทางเธอ

 

[ มุขเดิมใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ รู้มั้ย ]

 

อัคนีร่าเธอดึงขวานของเธอกลับมาอย่างรวดเร็ว 

เธอใช้ด้ามของขวานป้องการกระสูนที่มองไม่เห็นได้อย่างง่ายดาย

 

[ คุ รู้รึปล่าวกระสูนยางลบนั้น มันเป็นผลงานที่ผมใช้เวลาสร้างตลอดเวลาที่เรียนม.ต้นเลยนะ อุส่า กะว่าจะเอามาใว้ใช้เมื่อโดนอัญเชิญมาอีกรอบ แต่พอได้ใช้จริงๆแล้วดันไม่ได้ผลซะได้ ]

[ แกคิดว่าชั้นจะถูกจัดการด้วยก้อนยางลบโง่ๆนั้นรึ!! ]

 

อัคนีร่าเธอกระทืบเท้าของเธอลงไปที่พื้นดิน 

เสาเพลิงได้ปะทุขึ้นมาจากพื้นไปทั่วบริเวณ

 

[ ทำไม กัน แก . .  ]

 

ยูได้ทิ้งระยะห่างออกจาก ระยะของเสาเพลิงเหล่านั้น

เสา ลาวานั้นก็ได้หายไป. .  .

 

[ ภูติไฟอย่างเธอ ทำไมถึงพยายามที่จะฆ่าผมจังนะ . .  ]

[ มันไม่ใช่เรื่องปกติหรอกรึ?  นายรู้บ้างมั้ยว่ากี่ปีมาแล้วที่ข้ารอนาย!! ]

 

ยูตอนนี้เขาได้รีบดึงดาบคริสตัลของเขาออกมารับการโจมตีของอัคนีร่าที่โจมตีมาอย่างกะทันหัน

ตอนนี้ผมที่เคยสีแดงของเธอกับส่องแสงราวกับลุกไหม้ ร่างกายท่อนบนของเธอที่เปลือยปล่าวเต็มไปด้วยไฟที่ลุกท่วมตัว อัคนีร่าเธอตอนนี้ได้ใช้พลังสูงสุดใช้ขวานเพลิงของเธอนั้นโจมตีมาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน ไม่มีทางเลยที่ยูจะสามารถโจมตีสวนไปได้บ้าง

 

[ อุก  ถ้าผมในตอนนี้ไม่ไหวแน่  ]

 

ถึงยูจะตั้งรับการโจมตีของอัคนีร่าอยู่ตลอด

แต่ยูก็หาช่องสำหรับหนีไม่ได้เหมือนกัน

เขาได้แต่เดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ

 

[ มันตั้ง3ปีเลยนะ 3 ปี ที่ข้าต้องการจะฆ่าแก แค่คิดว่าจะได้ฆ่าแกนั้น ข้าตื่นเต้นจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว ]

 

. . . . . ถ้าเธอละความพยายามลงบ้าง 

ผมคงไม่ต้องลำบากขนาดนี้

ขวานเพลิงคู่นั้นตอนนี้ได้รวมกันเป็นขวานเพลิงขนาดยัก . . 

 

[ !? ]

[ ผมไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเธอถึงเอาจริงเอาจังมากนัก ถ้าเธอใจเย็นลงบ้างผมอาจจะยอมสู้ด้วยก็ได้ ]

 

ร่างของเธอได้หมุนรวมกันขึ้นไปบนท้องฟ้า

เธอง้างมือเตรียมที่จะขว้างบางอย่างออกมา . . 

 

[ หายไปซะ !! เพลิงนรก!! ]

 

ถ้าหากโดนไฟนั้นเข้าไปล่ะก็ . . 

เหลือแต่ขี้เถ้าแน่นอน

มันคือท่าไม้ตายของเธอ 

มันสามารถทำให้อาณาจักรหนึ่ง 

กลายเป็นดินแดนที่สูญสิ้นได้เลย

 

[ . . . แย่จริงๆ ผมเดาไว้แล้วล่ะว่าชีวิตเอื่อยเฉื่อยนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับผม เห้อ  ]

 

ยูได้แต่ยิ้มแห้งๆ ขณะที่ชูมือของเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า

เขาแบฝ่ามือของเขาออก ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังมาจากฟ้า

 

[ จงตอบรับความปราถนาข้า ]

 

ออร่าที่ส่องสว่างนั้นถูกรวบรวมขึ้นที่มือของเขา . .

 

  

———————————

 

St. Lonvaldia Calendar Year 146

ดินแดนที่สูญสิ้น, ดินแดนแห่งการจุติของบุรุษแห่งแสง ครั้งที่ 2

ในปีนั้น 

ดินแดนที่สูญสิ้น 

ได้เกิดตำนานการต่อสู้ครั้งใหญ่ . .

 

“สงคราม ณ ดินแดนที่สูญสิ้น”

 

กองทัพผสมของจอมมาร จำนวน 300,000 ตน กับ กองทัพมนุษย์ 100,000 นาย

โดยมี อาณาจักรลัคซีเรีย เป็นผู้นำของกองทัพ พันธมิตรแห่งอาณาจักรวาแลนเชลและอาณาจักรแห่งเวทย์มนต์ลีซาเรี่ยน ส่งทหารมาช่วยเหลือในการรบ

แม้พวกเขาจะตกที่นั่งลำบากเพราะต้องเจอกับศัตรู ระดับ เค๊าท์ตั้งแต่เริ่มแรก

แต่กลุ่มของ”ผู้กล้าไคโตะ” และ “อัศวินฟ้าคราม ลีออนฮาท” ได้รวมพลังกันจนสามารถตีกองทัพปีศาจของ ระดับ ดยุค “เคียวแห่งสายลม วินทอส” จนแตกพ่าย และนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของสงคราม

อีกด้านหนึ่งในขณะที่ท่านผู้กล้าและอัศวินศักดิ์สิทธิ์กำลังรวมพลังกัน

ได้มีบุคคลลึกลับที่เรียกตัวเองว่า “เพชฌฆาตแห่งความมืด” สร้างตำนานครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น

ลักษณะภายนอกนั้นไม่สามารถยืนยันได้ ทราบเพียงเขาสวมชุดคุลมสีดำทั้งตัว และถือดาบคู่ 2 มือ และเคลื่อนที่ในสนามรบได้รวดเร็วราวกับเฮอรีเคน เขาจัดการศัตรูมากมายราวกับพายุ พวกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเรียกขานบุคคลในตอนนั้นว่า. . .

 

“ สตอม บริงเกอร์ “

 

นั้นคือชื่อที่พวกเขาต่างเรียกขานชายชุดดำ. . 

ในตอนนั้นเองที่ท่านผู้กล้าและอัศวินศักดิ์สิทธิ์ได้โค่น ระดับ ดยุค “วินทอส” ลงได้

“เพชฌฆาตแห่งความมืด” เขาเองก็สามารถจัดการกับแม่ทัพแห่งสงครามค้อนหิน

 “เทราคิโอ” ผู้อยู่ระดับเดียว กับ “วินทอส” ลงได้ ด้วยตัวเพียงคนเดียว . . .

ในเวลาต่อมา คนที่ 4 ของ 6 ดาบขุนพลได้เข้าร่วมในสงครามได้ถูกยืนยัน

คนคนนั้นคือ “เจ้าหญิงสงครามขวานเพลิง” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อัคนีร่าผู้ถูกลงทันฑ์”

อย่างไรก็ตาม

 ยังมีผู้ที่เข้าร่วมสงครามตามเธอมาอีกคนหนึ่ง และนั้นมันทำให้เธอถึงกับต้องถอยหนี

ไม่สิ มันควรไม่ถูกเรียกว่าการถอยหนี

“อัคนีร่าผู้ถูกลงทันฑ์” ได้ถูกจัดการลงโดย “ท่านผู้กล้าคนก่อน” ผู้ที่ปรากฎออกมาพร้อมกับออร่าสีขาวสว่างไสว และชุดเกราะขาวบริสุทธิ์

ผู้ชายคนนั้น ผู้เคยช่วยโลกเอาไว้ครั้งหนึ่ง เขาเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถขับไล่จอมมารไปได้ มันบอกได้ว่าหลังจากที่ท่านผู้กล้าคนก่อนเข้าร่วมในสงคราม 

อัคนีร่าได้ต่อสู้กับเขาและได้ถอยหนีโดยที่ไม่สามารถสร้างบาดแผลไห้แก่ท่านผู้กล้าคนก่อนได้เลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้จะมีข่าวลือบอกว่าเหตุผลที่เขาปรากฎตัวเพื่อ จักรพรรดินีแห่งอาณาจักรลีซาเรี่ยน ซิลเวีย ผู้ซึ่งเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน แต่ข่าวลือนี้ไม่มีเหตุผลยืนยันว่าเป็นความจริง . . .

หลังจากข่าวการพ่ายแพ้ของ 2 เสาหลัก จาก 6 ดาบปีศาจถูกยืนยัน ระดับเค๊าท์ เห็นพ้องตรงกันว่าควรจะถอยหนี และนั้นเอง กองทัพจอมมารที่เหลือเพียงเหล่ามอนเตอร์นั้นได้ถูกทำลายลงโดยเหล่ากองทัพพันธมิตร

มีตัวเลขยืนยันผู้เสียชีวิตของกองทัพมนุษย์ จำนวน 30,000 นาย 

แต่ในตอนนั้นพวกเขากลับไม่มีใครเศร้าเสียใจกับการสูญเสียในครั้งนี้

เพราะการที่พวกเขาได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้นั้น มันถือว่าประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่อย่างมาก

 

[ข้อความเหล่านี้นำมาจากบันทึกของ นักบุญทิลเลียรูริ และ The Black Hero , บท “การพบเจอ” , ส่วนที่ 7 ]