ตอนที่ 21 คนไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งสาม

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 21 คนไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งสาม

ตอนที่ 21 คนไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งสาม

แม้เขาจะคว้าตัวเฉินเจียซิ่ง แต่ดวงตาอันเฉียบคมกลับจ้องไปที่เสิ่นเสี่ยวเหมย

เสิ่นเสี่ยวเหมยโพล่งคำออก “เฉินเจียเหอ ทำไมถึงต้องมาดุฉันด้วย? ใช้อ่างของคุณแล้วมันผิดตรงไหน? ฉันจะชดเชยให้สิบหยวนแล้วกัน ฉันไม่เคยรู้สึกอัปยศอดสูเช่นนี้เลยตั้งแต่เด็ก มาดูกันว่าผู้หญิงคนนั้นจะหยิ่งผยองได้นานแค่ไหน”

“ถ้าพูดถึงความหยิ่งผยองและบ้าอำนาจ คงไม่มีใครเทียบคุณได้แล้วล่ะ”

เฉินเจียเหอโต้กลับด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็วิ่งออกไปหาคนทั้งสอง

หลังค้นหาดูรอบ ๆ ตัวบ้าน ก็ไม่เห็นวี่แววของหลินเซี่ยและหู่จือเลย

แม้เมื่อคืนนี้จะมีหิมะตกเล็กน้อย แต่ทุกคนก็ช่วยกันกวาดทางหน้าประตูในตอนเช้า บางคนขยันกวาดไปถึงถนนสายหลัก และเนื่องจากมีคนจำนวนมากมาตักน้ำในช่วงเช้า จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะติดตามเบาะแสของใครด้วยรอยเท้า

ผู้เฒ่าโจวและแม่เฒ่าโจววิ่งออกไปด้วยความกังวล โดยหวังจะถามจากเพื่อนบ้าน

เฉินเจียเหอพูดขึ้น “คุณตา คุณยาย ข้างหน้ามีหิมะอยู่ อย่าห่วงเลย ผมจะออกไปตามหาเอง ตากับยายรออยู่บ้านนะ ระวังลื่นล้ม”

“เซี่ยเซี่ยพาหู่จือไปที่บ้านของหล่อนหรือเปล่า?”

เมื่อได้ยินแม่เฒ่าโจวพูด เฉินเจียเหอก็ตอบกลับไป “งั้นผมจะลองไปดูที่บ้านตระกูลหลิน”

เฉินเจียเหอวิ่งเหยาะ ๆ ไปจนสุดทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน

วันนี้ยังคงมีบางคนในหมู่บ้านฆ่าหมู เขาได้ยินเสียงหมูกรีดร้องในขณะที่เดินตามถนน

เมื่อนึกถึงท่าทางของหลินเซี่ยที่หดตัวหลบหลังเขาขณะมีการเชือดหมูเมื่อเช้าวานนี้ เขาก็ยิ่งเป็นกังวล

เขากลัวว่าเธอและหู่จือจะต้องเผชิญกับฉากนองเลือดอีกครั้งเมื่อออกไปข้างนอก…โดยเฉพาะกับหวังต้าจ้วง

เขาไม่อาจลืมสายตาคู่นั้นของหวังต้าจ้วงที่เปล่งประกายยามจับจ้องมาที่หญิงสาวได้เลย

เมื่อเฉินเจียเหอวิ่งมายังบ้านตระกูลหลิน หลิวกุ้ยอิงกำลังกวาดหิมะอยู่หน้าประตูตามลำพัง

หลิวกุ้ยอิงเห็นเฉินเจียเหอวิ่งเข้ามา จึงรีบถามขึ้น “เจียเหอ เธอมาที่นี่ทำไม?”

“แม่ เซี่ยเซี่ยมาที่นี่หรือเปล่า?” เฉินเจียเหอถามตรงประเด็น

“ไม่ได้มานะ” หลิวกุ้ยอิงดูประหลาดใจ “มีอะไร? เซี่ยเซี่ยไม่ได้อยู่ที่บ้านเหรอ?”

“หล่อนพาหู่จือออกไป แต่ไม่รู้ว่าไปไหน”

ในเวลานี้หลินเอ้อร์ฝูที่เพิ่งตื่นกำลังสวมแจ็กเกตบุฝ้ายและลุกออกจากเตียง ครั้นได้ยินเสียงเอะอะที่ประตูจึงเดินออกมาดู ก่อนจะตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเจียเหอ “หลานเขย กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่? เซี่ยเซี่ยหายตัวไปงั้นเหรอ?”

“ครับ”

“เกิดอะไรขึ้น? ครอบครัวของเธอรังแกหล่อนหรือเปล่า?”

หลินเอ้อร์ฝูเป็นกังวลยิ่งกว่าหลิวกุ้ยอิงเมื่อได้ยินข่าว “ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ หลานสาวของฉันเพิ่งแต่งงานกับเธอ ถ้าหล่อนหายตัวไป ครอบครัวเธอจะต้องรับผิดชอบ”

นับตั้งแต่เด็กสาวคนนั้นกลับมาที่หมู่บ้าน เธอก็แสดงสีหน้าไม่เต็มใจอยู่ตลอดเวลา และยิ่งไม่พอใจกว่าเดิมเมื่อแต่งงานกับเฉินเจียเหอ แต่จู่ ๆ เธอกลับหายตัวไป ทำให้ผู้คนนึกสงสัยและคาดเดา

“อีกอย่าง สิ่งที่เธอสัญญาไว้กับเรา ห้ามกลับคำเด็ดขาด”

นั่นคือประเด็นหลัก

สถานการณ์การจ้างงานของครอบครัวยังไม่แน่นอน

“ในเมื่อหล่อนไม่ได้มาที่บ้าน ผมจะลองไปหาที่อื่น” เฉินเจียเหอไม่สนใจที่จะสนทนากับหลินเอ้อร์ฝู เขาหันไปพูดกับหลิวกุ้ยอิงว่า “แม่ ไม่ต้องห่วงนะครับ เซี่ยเซี่ยน่าจะพาหู่จือออกไปเล่นข้างนอก ผมจะไปตามหาพวกเขาเดี๋ยวนี้”

“แม่จะไปกับเธอด้วย” หลิวกุ้ยอิงวางไม้กวาดลงและกำลังจะเดินตามออกไป

“แม่ ไม่ต้องไปหรอกครับ ผมจะไปถามหากับเพื่อนบ้าน ถ้าเจอพวกเขาแล้วจะรีบมาบอกทันที”

เฉินเจียเหอหันหลังเดินจากไปทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ

เขาเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็วและถามเพื่อนบ้านทีละหลัง แต่ยังคงไม่มีเบาะแสของพวกเขาเลย

จากนั้นเขาไปบ้านเอ้อร์เลิ่ง แต่ไม่มีใครอยู่ เขาไม่รู้ว่าเอ้อร์เลิ่งอยู่ที่ไหน

เอ้อร์เลิ่งมักวิ่งไปรอบ ๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวัน ครอบครัวของเขาไม่ได้ห่วงว่าจะต้องออกตามหา

หลังจากหิมะตก ชาวบ้านต่างก็เป็นแมวนอนเฝ้าบ้านและไม่มีใครอยากออกมา

นอกเหนือจากเสียงเห่าของสุนัข ด้านนอกแทบไม่มีร่องรอยของมนุษย์เลย

เฉินเจียเหอตั้งใจจะขี่จักรยานไปในเมือง เพื่อดูว่าหลินเซี่ยได้พาหู่จือมาซื้อของหรือไม่

จักรยานที่บ้านไม่ได้ใช้งานมาเป็นเวลานานจนโซ่หลุด ขณะที่เฉินเจียเหอกำลังติดตั้งโซ่ เฉินเจียซิ่งถือโอกาสพูดขึ้นเสียงดัง “พี่ ผมเคยบอกแล้วว่าการที่ผู้หญิงคนนั้นมาแต่งงานกับพี่มันไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด แม้หล่อนจะตั้งใจอยู่กับพี่ แต่ก็คงไม่อยากเป็นแม่เลี้ยงของหู่จือ หล่อนอายุเพียงยี่สิบ ส่วนหู่จืออายุห้าขวบ หล่อนจะยอมรับการมีลูกโตขนาดนี้ทันทีที่แต่งงานได้ยังไง? ผมกลัวว่าหล่อนอาจจะพาหู่จือออกไปทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่งแล้วกลับบ้านมาคนเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเป็นแม่เลี้ยงให้เขาก็ได้”

“เจียซิ่ง หลานช่วยหยุดพูดเรื่องไร้สาระได้ไหม มันไม่มีแก่นสารเลยจริง ๆ”

ผู้เฒ่าโจวโกรธมากจนเหวี่ยงมอระกู่ไปทางเขา

เมื่อใดที่เฉินเจียซิ่งเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ แทบไม่มีสิ่งใดหยุดเขาได้เลย

“คุณตา ผมไม่ได้พูดไร้สาระ คุณตาไม่รู้หรอกว่าหลินเซี่ยมีชื่อเสียงฉาวโฉ่แบบไหนในเมืองไห่เฉิง หล่อนเป็นอดีตหลานสาวของเสี่ยวเหมย แล้วเสี่ยวเหมยจะโกหกเราได้ยังไง? ผู้หญิงคนนี้ทั้งใจแคบและโง่เขลา มักทำเรื่องเลวร้ายตอนที่ยังเป็นเด็ก เป็นเหตุผลให้ตระกูลเสิ่นไม่ชอบหล่อน ไม่อย่างนั้นหลังจากอาศัยอยู่ในตระกูลเสิ่นยี่สิบปี หล่อนจะถูกส่งตัวกลับมายังชนบททันทีที่พบลูกสาวทางสายเลือดได้อย่างไร? แม้แต่งานที่มอบหมายไว้ก่อนหน้าก็ถูกยึดกลับคืน มันแสดงให้เห็นว่าหล่อนน่าขยะแขยงมากแค่ไหน”

“เจียซิ่ง หุบปากไปเลย”

โซ่จักรยานที่เป็นสนิมทำให้ไม่สามารถติดตั้งได้ชั่วขณะ นอกจากนี้สมาธิของเฉินเจียเหอยังถูกรบกวนจากเสียงเอ็ดตะโร เฉินเจียเหอจึงขว้างโซ่ลงพื้นด้วยความโกรธ

“เจียเหอ อย่าปั่นจักรยานเลย ถนนมันลื่น ปั่นจักรยานมันอันตรายเกินไป หลานเดินหาเอาก็ได้ คงมีคนไม่มากเข้าเมืองในช่วงเช้า อาจยังมีรอยเท้าเหลืออยู่”

“งั้นผมไปล่ะ”

เฉินเจียเหอทิ้งจักรยานและวิ่งออกไปที่ประตู

แม่เฒ่าโจวและผู้เฒ่าโจวต่างก็เป็นกังวล พวกเขายืนที่หน้าประตูพร้อมเรียกหาหู่จือเสียงดัง

ยุคนี้การสื่อสารต้องอาศัยการตะโกน พอถึงเวลาอาหาร ผู้ใหญ่ในบ้านมักออกมายืนหน้าประตูเพื่อเรียกเด็ก ๆ มากินข้าว

ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็ฝึกฝนการตะโกนเสียงดัง

แม่เฒ่าโจวยืนอยู่บนกองดินหน้าประตูพลางตะโกนชื่อหู่จือและหลินเซี่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของตัวเอง

เฉินเจียเหอวิ่งไปยังถนนสายหลักที่มุ่งสู่เมืองภายในอึดใจเดียว จากนั้นก็เริ่มมองหารอยเท้า

บนถนนที่มุ่งสู่เมือง ไม่มีรอยเท้าบนหิมะเลย บ่งบอกว่าเช้านี้ไม่มีใครสัญจรผ่านมา

จู่ ๆ เขาก็เสียสติและสงสัยว่าควรมุ่งหน้าไปยังเมืองต่อไปดีหรือไม่

เขายืนนิ่งด้านข้างถนน สายตาทอดมองภูเขาสีขาวโพลนด้วยความกังวลใจ

ขณะที่เขากำลังกระสับกระส่าย ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างสองร่างเคลื่อนไหวอยู่บนเนินเขาในระยะไกลจากหางตา

ไม่สิ สามร่างต่างหาก

ตรงกลางมีร่างเล็ก ๆ อยู่ด้วย

หัวใจของเฉินเจียเหอเต้นรัวลั่น เขาเพ่งสายตามองอย่างตั้งใจ อาจเป็นเพราะจดจำรูปร่างและท่าทางการเดินของพวกเขาได้

เป็นคนทั้งสามที่กำลังตามหาอย่างไม่ต้องสงสัย

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ทรุดตัวนั่งคุกเข่าพลางสูดหายใจเข้าลึก

เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าชั้นหนา และในยามนี้ก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าด้านในเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

เขาลุกขึ้นยืนตัวตรง มองเนินเขาที่อยู่ห่างไกลด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ขณะรอให้พวกเขาลงมา

จากระยะไกล เขาเห็นร่างเล็กอยู่ข้างหน้าพลันลื่นล้ม…

หัวใจของเขาพลันตึงเครียดอีกครั้ง

โชคดีที่ร่างเล็กด้านข้างรีบเข้ามาช่วยพยุง

เมื่อมองดูฉากนั้น คิ้วที่ขมวดมุ่นก็เริ่มคลายลง

เมื่อตระหนักว่ามุมปากของตนยกขึ้น เขาจึงเกร็งใบหน้าอันหล่อเหลาของตัวเองอีกครั้ง ยืนเอามือไพล่หลังแสดงท่าทางน่าเกรงขาม

ชวนให้นึกถึงผู้อำนวยการโรงเรียนที่มาตามจับนักเรียนที่กำลังโดดเรียน

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ที่แท้มาอยู่ที่นี่กันนี่เอง ทางบ้านก็ใจหายใจคว่ำกันไปสิ ทีหลังจะออกไปไหนเขียนโน้ตบอกกันก่อน

ไหหม่า(海馬)