ตอนที่ 22 หวานซึ้งตรึงใจ
ตอนที่ 22 หวานซึ้งตรึงใจ
หลินเซี่ยลากหู่จือลงตามไหล่เขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ เธอยืนนิ่งพลางสูดหายใจเข้าลึก “พระเจ้าช่วย ในที่สุดเราก็ลงมาได้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ลื่นตกเขาตาย”
เธอสะบัดหิมะออกจากรองเท้าบู้ท และบอกให้หู่จือทำเหมือนกัน จากนั้นหันไปหาเอ้อร์เลิ่งซึ่งอุ้มกระต่ายป่าสองตัวไว้แล้วพูดว่า “เอ้อร์เลิ่ง ทีหลังคุณห้ามพาหู่จือมาที่นี่อีกนะ มันอันตรายเกินไป”
เอ้อร์เลิ่งเป็นคนตัวสูงใหญ่แข็งแรง เขาก้าวเดินค่อนข้างมั่นคง บ่งบอกว่าคุ้นเคยกับการขึ้นมาบนภูเขาดี เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่อันตรายหรอก ผมอุ้มเขาได้”
“ลุงเอ้อร์เลิ่ง รีบเอากระต่ายของเรามาเร็ว ผมอยากถือมันเอง” หลังลงจากภูเขามาได้ หู่จือกลัวว่าเอ้อร์เลิ่งจะเอากระต่ายทั้งสองตัวไป เขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้ถือกระต่ายของตัวเอง
“เอ้านี่ ภรรยาต้าเหอ ผมจะให้ตัวใหญ่กับคุณ”
“ขอบคุณนะเอ้อร์เลิ่ง”
“นี่ ฉันจะถือให้เอง มือเล็ก ๆ ของเธอชาเพราะความหนาวหมดแล้ว”
หลินเซี่ยถือกระต่ายในมือข้างหนึ่งและอีกข้างจูงมือหู่จือ
ผลก็คือ หู่จือสะบัดมือออกอย่างเย่อหยิ่ง
“เด็กน้อย จับมือของฉันไว้เถอะ ไม่งั้นเธออาจลื่นล้มอีก” หลินเซี่ยมองหู่จืออย่างกังวล
มือของเขาถูกเธอกุมไว้แน่น เขาจึงต้องจับมือเธอด้วยความไม่เต็มใจขณะเดินต่อไปข้างหน้า
เอ้อร์เลิ่งอารมณ์ดีมาก จึงเปิดปากร้องเพลงเถียนมี่มี่(หวานล้ำใจ)อีกครั้ง
หลินเซี่ยมองดูกระต่ายในมือ เธอรู้สึกมีความสุขเช่นกัน ในที่สุดเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นในตอนเช้าก็ถูกลบเลือนไป เธอจึงเริ่มประสานเสียงร้องเพลงกับเอ้อร์เลิ่ง
“หวานล้ำใจ…ยิ้มเธอช่างหวานล้ำใจ…ราวบุปผาบานยามต้นไม้คลี่ใบ…บานยามต้นไม้คลี่ใบ…อยู่ไหนนี่…อยู่ไหนกันนะคนดี…”
ทันใดนั้นเอ้อร์เลิ่งก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล เขาตะโกนขึ้น “ต้าเหอ!”
“พ่อ” หลังหู่จือเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว เขาก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง
หลินเซี่ยกำลังร้องเพลงอย่างเต็มที่ ครั้นได้ยินเสียงตะโกนของพวกเขา เธอก็เงยหน้าขึ้นและเห็นชายร่างสูงยืนตระหง่านอยู่กลางถนน
หัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอสั่นไหว
“ต้าเหอ เราจับกระต่ายมาได้”
“พ่อ เราจับมาได้สองตัว ผมตัวหนึ่ง ลุงเอ้อร์เลิ่งตัวหนึ่ง”
คนทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง คนหนึ่งไม่รู้เรื่องราว ส่วนอีกคนเป็นเด็ก พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นความไม่พอใจบนใบหน้าของเฉินเจียเหอเลยด้วยซ้ำ แล้วยังคุยโวโอ้อวดอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับความสำเร็จของพวกเขา
หลินเซี่ยผู้มีสติปัญญามากที่สุดในสามคนเห็นใบหน้าหมองคล้ำและบึ้งตึงของเฉินเจียเหออย่างชัดเจน หัวใจเธอพลันเต้นรัวลั่น
จบสิ้นแล้ว เธอพาลูกชายคนสำคัญของชายหนุ่มออกมาเป็นเวลานาน เฉินเจียเหอคงจะกังวลมากเพราะเขาหาใครไม่เจอ
หู่จือหยิบกระต่ายจากมือของหลินเซี่ย เขาถือมันด้วยมือทั้งสองและวิ่งไปหาเฉินเจียเหอ “พ่อ พวกเราจับกระต่ายมาได้จริง ๆ”
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย” เฉินเจียเหอแสดงสีหน้าขึงขังและโพล่งตะคอกออกมา
พวกเขาทั้งสามหยุดชะงักด้วยความตกใจ เอ้อร์เลิ่งและหู่จือก้าวถอยหลังไปยืนอยู่ในระดับเดียวกับหลินเซี่ย โดยไม่กล้าพูดสิ่งใด
เมื่อมองดูท่าทางนั้นแล้ว พวกเขาคงกระทำความผิดบ่อยครั้ง
เฉินเจียเหอถามด้วยสีหน้าดำคล้ำ “ใครบอกให้พวกเธอขึ้นไปบนภูเขา?”
“ลุงเอ้อร์เลิ่งบอกว่าเขาอยากไป” หู่จือรีบตอบกลับพลางชี้ไปยังชายร่างใหญ่ด้านข้าง
หลินเซี่ยรีบพูดเสริม “ใช่ เอ้อร์เลิ่งยืนกรานจะพาเราไปที่นั่นให้ได้”
ในช่วงเวลาวิกฤติ ทั้งสองคนโยนความผิดให้เอ้อร์เลิ่งโดยไม่ลังเล
“หิมะกำลังตก ไม่รู้เหรอว่าบนภูเขาอันตรายแค่ไหน? ถ้าลื่นตกเขาขึ้นมาจะทำยังไง?”
เฉินเจียเหอมองเอ้อร์เลิ่งด้วยสายตาจริงจังพร้อมสอนเขาว่า “เอ้อร์เลิ่ง ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าพาหู่จือไปสถานที่อันตราย ทำไมนายไม่ฟังเลย?”
เอ้อร์เลิ่งตอบกลับด้วยสีหน้าไร้เดียงสาและโง่เขลา “ต้าเหอ ฉันไม่ได้พาไปนะ พวกเขากำลังจะไปกันอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หู่จือเงยหน้าขึ้นมองเอ้อร์เลิ่ง “ลุงเอ้อร์เลิ่ง คุณพาพวกเรามาเอง ไม่อย่างนั้นเราจะรู้ได้ยังไงว่ารอยเท้าของกระต่ายอยู่ที่ไหน มีเพียงคุณเท่านั้นที่รู้”
เอ้อร์เลิ่งพยักหน้ารับด้วยท่าทางเงอะงะ “โอ้ ใช่ ฉันพบรอยเท้ากระต่ายก่อน”
“ต้าเหอ ดูสิว่ากระต่ายที่เราจับมาตัวอ้วนขนาดไหน ฉันยกกระต่ายตัวใหญ่ที่สุดให้กับภรรยาคนสวยของนายแล้ว”
ดวงตาเฉียบคมของเฉินเจียเหอเหลือบมองร่างหญิงสาวและเด็ก ทำให้หู่จือถอยกลับไปหาหลินเซี่ยด้วยความตกใจ
หลินเซี่ยก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน แต่ไม่รู้จะพูดอะไร
ในความเป็นจริงหู่จือเป็นคนริเริ่มออกไปล่ากระต่ายด้วยหนังสติ๊ก เธอที่กำลังโกรธเสิ่นเสี่ยวเหมยจนไม่อยากอยู่ที่บ้านจึงได้ออกมาพร้อมกับหู่จือ
จากนั้นพวกเขาพบกับเอ้อร์เลิ่งที่ประตู เอ้อร์เลิ่งบอกว่าวันนี้หิมะตก พวกเขาขึ้นไปล่ากระต่ายบนภูเขาได้โดยตามรอยเท้าของพวกมัน เธอไม่เพียงไม่หยุดพวกเขา แต่ยังติดตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แม้จะกลับมาเกิดใหม่ แต่เธอก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในชนบทนานนัก ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นว่าผู้คนจับกระต่ายแบบเป็น ๆ อย่างไร
เอ้อร์เลิ่งมีประสบการณ์พิเศษในด้านนี้ การติดตามเขาไม่เพียงจับกระต่ายได้เท่านั้น แต่ยังอารมณ์ดีตามเขาด้วย
เฉินเจียเหอละสายตาออกจากใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังอึดอัดและพูดว่า
“ไปเถอะ กลับบ้าน”
เขาก้าวนำออกไปข้างหน้า ตามมาด้วยหู่จือและหลินเซี่ย
หู่จือกลัวว่าจะถูกลงโทษหลังจากกลับถึงบ้าน เขาจึงรีบซอยขาสั้น ๆ ของเขาไปคว้ามุมเสื้อของเฉินเจียเหอพลางกระซิบ
“พ่อ รู้หรือเปล่าว่าวันนี้อาสะใภ้รองรังแกแม่เลี้ยงของผม หล่อนใช้อ่างของแม่เลี้ยงเป็นโถฉี่”
“พ่อ ผมจะบอกอะไรให้ฟัง แม่เลี้ยงผมโกรธมากจนเตะอ่างฉี่ราดทั่วตัวอาสะใภ้รอง เสื้อผ้าตัวใหม่ของหล่อนเปียกฉี่เต็มไปหมดแล้วยังสกปรกมาก”
แม้หู่จือจะยังอายุน้อย แต่เขามีไหวพริบดีมาก เขาดึงเสื้อของเฉินเจียเหอพลางขอร้องว่า “เห็นแก่แม่เลี้ยงที่อารมณ์ไม่ดีในวันนี้ ได้โปรดอย่าลงโทษพวกเราได้ไหมครับ?”
เฉินเจียเหอมองดูใบหน้าเล็กของลูกชายที่มองมาด้วยความคาดหวัง สายตาของเขาพลันอ่อนลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
เด็กเจ้าเล่ห์คนนี้ เรียกเธอว่าแม่เลี้ยงได้อย่างลื่นไหล แถมยังปกป้องเธออีกต่างหาก ราวกับว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองพัฒนาขึ้นมากอย่างรวดเร็ว
เฉินเจียเหอแอบอิจฉาหู่จืออยู่ลึก ๆ
เขาถือกระต่ายไว้และชะลอความเร็วของฝีเท้า ก่อนจะหันกลับมาอย่างกะทันหัน ทำให้หลินเซี่ยที่เดินตามมาเกือบชนกับแผงอกของเขา
หลินเซี่ยสบตาลึกล้ำของชายหนุ่ม ดวงตาพลันวูบไหว เขินอายเกินกว่าจะมองเขาโดยตรง
“คุณคิดออกหรือยังว่าจะทำยังไงกับกระต่ายตัวนี้?” เขามองเธอและถามขึ้นทันใด
หลินเซี่ยไม่คิดว่าเขาจะถามเรื่องนี้
เธอนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
เขากล่าวเสริม “บางทีเอาไปต้มหรือนึ่งก็ดีเหมือนกัน”
“ตุ๋นน้ำแดงไม่ได้เหรอ?” หลินเซี่ยถามกลับ
คราวนี้เป็นเฉินเจียเหอที่ต้องตกตะลึง
เขาส่ายหัว “ผมไม่รู้วิธีปรุงเนื้อตุ๋นน้ำแดง”
“ฉันทำได้ค่ะ”
ตอนที่จับกระต่ายมาได้ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะทำเนื้อกระต่ายตุ๋นน้ำแดงเพื่อสนองความอยากของเธอเอง
หู่จือพูดอย่างตื่นเต้น “ผมก็อยากกินเนื้อกระต่ายตุ๋นน้ำแดงเหมือนกัน ผมไม่เคยกินเนื้อกระต่ายตุ๋นน้ำแดงมาก่อนเลย”
เฉินเจียเหอพูดกับเธอ “คุณทำมันแล้วกัน”
เฉินเจียเหอไม่เพียงไม่ตำหนิพวกเขา แต่ยังเริ่มพูดคุยถึงวิธีจัดการกับกระต่ายด้วย ในที่สุดหลินเซี่ยและหู่จือก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เอ้อร์เลิ่งอุ้มกระต่ายขณะดำดิ่งในโลกของตัวเอง เขาเปิดปากร้องเพลงและพูดเรื่องไร้สาระ
“เสี่ยวเจินชอบกินเนื้อกระต่าย เสี่ยวเจินชอบกินขากระต่าย กระต่ายจัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับลาโกมอร์ฟา ในวงศ์เลโพริดี ซึ่งมีทั้งหมด 43 สายพันธุ์จาก 9 สกุล…”
เมื่อได้ยินคำพูดของเอ้อร์เลิ่ง หลินเซี่ยอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเขา
ดูเหมือนว่าเอ้อร์เลิ่งอาจได้รับความทุกข์ทรมานจากความผิดปกติทางระบบประสาท และบอกได้ว่าเขายังคงมีความรู้ที่ได้รับมาก่อนหน้านี้มากมายในจิตใจ หากบุคคลนี้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมในโรงพยาบาลจิตเวช บางทีเขาอาจฟื้นตัวจนหายขาด
เสี่ยวเจินที่เขาพูดถึง อาจเป็นผู้หญิงที่เขาเคยรักในอดีต
เมื่อพวกเขากลับมาที่หมู่บ้าน เฉินเจียเหอเตือนเอ้อร์เลิ่งราวสองถึงสามคำ โดยบอกเขาว่าอย่าวิ่งเล่นไปรอบ ๆ ตามลำพังอีก เอ้อร์เลิ่งตอบรับอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเฝ้ามองดูเอ้อร์เลิ่งอุ้มกระต่ายเดินกลับไปบ้านของตน เมื่อมั่นใจแล้ว เฉินเจียเหอจึงเดินเข้าบ้านของตัวเอง
ทันทีที่ทั้งสามกลับถึงบ้าน แม่เฒ่าโจวก็รีบเข้ามาทักทายด้วยความกังวล นางโล่งใจเมื่อเห็นเฉินเจียเหอพาหลินเซี่ยและหู่จือกลับมาด้วย
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่เหอเหนื่อยใจหน่อยนะ นับหนึ่งถึงสิบแล้วใจร่มๆ ค่ะ ทั้งสามคนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
ไหหม่า(海馬)