บทที่ 1 ยินดีต้อนรับ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 1 : ยินดีต้อนรับ

หลินเจี๋ยเปิดประตูไม้เก่าของร้านหนังสือออกตามปกติ

เสียงอู้อี้ดังขึ้นจากระฆังทองสัมฤทธิ์ พร้อมสายน้ำที่ไหลลงมาจากกรอบประตูจากด้านบน ทิ้งร่องรอยไว้บนหน้าต่างวงกบที่คลุมด้วยสิ่งสกปรก

ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดครึ้ม ฝนข้างนอกเทลงมาอย่างหนัก ทำให้ไอระเหยเอ่อล้นออกมากลายเป็นม่านหมอก

เรียกได้ว่าฝนตกหนักสะสมจนทำให้หลุมบ่อตื้น ๆ นอกร้านกลายเป็นแอ่งน้ำ

“วันนี้ฝนตกหนักชะมัดเลยแฮะ”

หลินเจี๋ยกล่าวพลางขมวดคิ้ว

การที่ทั้งเสื้อและกางเกงเปียกไปด้วยน้ำฝนทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

“ฝนที่ตกหนักตั้งแต่เมื่อคืนนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกคำเตือนให้เป็นเขตพื้นที่สีเหลือง ซึ่งอาจเพิ่มเป็นสีแดงในภายหลั…”

เสียงจากทีวีของร้านข้าง ๆ ดังมาได้พักหนึ่งก่อนจะถูกฝนกลบอย่างรวดเร็ว

สำหรับร้านหนังสือแล้ว ไม่น่าจะมีลูกค้าคนไหนแวะเข้ามาในสภาพอากาศเช่นนี้ได้

“เฮ้อ”

หลินเจี๋ยพลิกกระดานไม้ที่ด้านหลังประตูเปลี่ยนเป็น ‘เปิด’

แน่นอนว่าคนมีลูกค้าไม่มากด้วยสภาพอากาศเช่นนี้ และวันนี้ก็คงจะกลายเป็นวันที่เงียบงันสำหรับร้านหนังสือของเขาเช่นเคย

‘แทนที่จะเปิดร้าน ทำงานน่าเบื่อที่คงจะไม่มีลูกค้า ทำไมไม่กลับไปนอนต่อที่บ้านซะล่ะ’ นี่อาจเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด

“แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าร้านปิดแล้วมีคนต้องการที่หลบฝนผ่านมาล่ะ?”

หลินเจี๋ยหยิบหนังสือจากชั้นวาง เดินไปที่เคาน์เตอร์ จุดตะเกียงให้แสงไฟอุ่น ๆ เบา ๆ ส่องออกมา ก่อนจะวางผ้าเช็ดตัวไว้ข้าง ๆ ชงชาร้อนสองถ้วย ก่อนที่จะนั่งลงด้านหลังเคาน์เตอร์

เขาพลิกหนังสือไปยังหน้าที่อ่านค้างไว้ แล้วจึงผลักถ้วยชาร้อนผ่านเคาน์เตอร์ ราวกับส่งต่อให้ผู้มาใหม่

หนังสือและชาร้อนหนึ่งถ้วย

นี่คือสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของผู้คนที่ผ่านไปมาอบอุ่นขึ้น

หลินเจี๋ยจิบชาด้วยรอยยิ้ม

เขาก็แค่คนโรแมนติกที่มีจิตใจดีทั่ว ๆ ไป เป็นคนธรรมดา ๆ ที่ลูกค้าของเขาต่างรู้จักกันในฐานะผู้ชายที่ซื่อสัตย์ ที่ปรึกษาปัญหาชีวิต และผู้เชี่ยวชาญในการพูดคุยเปิดใจ

ยังไงซะ ชีวิตที่ดีก็ควรเต็มไปด้วยความคาดหวัง ใช่ไหมล่?

ครึก!

ภายในตรอกแห่งหนึ่ง ท่ามกลางสายฝน จี้จือซู่หักคอของชายที่เธอกำลังบีบคออยู่ อย่างไรก็ตามการต่อสู้นั้นยังไม่จบ หญิงสาวหันกลับไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว พร้อมชักดาบออกมาตัดคอชายอีกคน

ฟึ่บ…

หัวของชายคนนั้นร่วงลงกับพื้น โดยที่ดวงตายังคงเบิกกว้าง

เมื่อจัดการศัตรูเรียบร้อย จี้จือซู่ก็ผลักร่างทั้งสองให้พ้นทาง ก่อนจะเดินออกจากตรอกไป กองศพที่มีซากมากกว่าสิบศพถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง จากนั้นพวกมันก็ค่อย ๆ ลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน

นี่คือผลพวงจากการต่อสู้ในตรอกแห่งนี้

เลือดที่ไหลซึมผ่านชุดเดรสสีดำของเธอในระหว่างการต่อสู้ได้หยดลงบนพื้น ระเหยกลายเป็นไอก่อนจะถูกฝนซัดหายไป

อุณหภูมิร่างกายของหญิงสาวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่เลือดและกล้ามเนื้อของเธอเริ่มกระตุก ย้ำเตือนเจ้าของร่างอย่างเจ็บปวดถึงอาการบาดเจ็บและซี่โครงที่หักไป

แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับจี้จือซู่เลย

ในฐานะนักล่าที่ฉีดเลือดอสูรเข้าสู่กระแสเลือด เวลาเพียงชั่วโมงเดียวก็เพียงพอที่เธอจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บดังกล่าว

“เวลา เราต้องการที่พักฟื้น”

จี้จือซู่มองไปข้างหน้า

ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ แสงสลัวจากร้านหนังสือส่องออกมาผ่านหน้าต่างกระจก จนสามารถเห็นชั้นหนังสือที่เรียงรายเป็นแถว ๆ ได้

นอกจากร้านหนังสือแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนั้นล้วนมืดสนิท…

แม้ว่าจะมีร้านค้าอีกมากในบริเวณใกล้เคียง แต่ด้วยสภาพอากาศเช่นนี้ นี่เป็นเพียงร้านเดียวที่เปิดอยู่

ป้ายแขวนที่ทางเข้า ระบุว่า ‘เปิด’ และขั้นบันไดที่ถูกยกระดับขึ้นมาจากพื้นเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายที่ทางเข้าของร้านดูไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมแถบนี้ ซึ่งที่บังเอิญยิ่งกว่านั้น ก็คือมันตั้งอยู่ตรงข้ามกับตรอกที่เธอเดินออกมาอย่างน่าประหลาด

“นี่มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเป็นกับดักกันแน่?”

น่าเสียดายที่จี้จือซู่ไม่มีเวลาจะมาคิดทบทวนใด ๆ หญิงสาวรู้ดีว่าศัตรูของเธอสามารถตามล่าตนเองด้วยประสาทสัมผัสอันเฉียบคม และสามารถไล่ล่าเธอได้ราวกับฉลาม แม้จะเป็นในสภาพอากาศฝนตกหนักเช่นนี้

เธอต้องหาที่ซ่อนโดยเร็วที่สุด เพื่อซื้อเวลาให้เพียงพอสำหรับการฟื้นตัว

ชิ้ง!

ใบมีดยาวในมือของจี้จือซู่หดกลับเข้าไปในกลไกของมัน กลายเป็นไม้เท้าโลหะสีดำธรรมดา ๆ ในชั่วพริบตา จากนั้นหญิงสาวก็รีบเดินไปยังร้านหนังสือท่ามกลางสายฝน และเปิดประตู

ภายในร้านหนังสือนั้นเงียบสงบมาก จี้จือซู่ก้าวเข้ามาพร้อมกับไม้เท้าในมือ เธอใช้เวลาไม่นานนักในการมองหาเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้

ดูเหมือนว่าเจ้าของจะเป็นชายหนุ่มในชุดสีดำสนิทที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ ตรงกันข้ามกับผมสีเข้มและยุ่งเล็กน้อยของเขา ผิวของเขาค่อนข้างซีด นิ้วเรียวของเจ้าตัวกำลังถือถ้วยชา ในขณะที่อีกมือหนึ่งกำลังพลิกหน้าหนังสืออย่างระมัดระวัง

มีถ้วยชาอีกใบวางอยู่บนเคาน์เตอร์โดยที่ยังมีไอน้ำหมุนวนอยู่ ทว่ากลับไม่มีใครอยู่บนเก้าอี้สูงรับรองแขกหน้าเคาน์เตอร์นั้นเลย

จี้จือซู่รู้สึกประหลาดใจมาก มันราวกับว่าถ้วยชาและที่นั่งนั้นได้ถูกเตรียมเอาไว้สำหรับเธอโดยเฉพาะ ความรู้สึกแปลก ๆ นี้ทำให้หญิงสาวรีบกวาดสายตามองไปทั่วทั้งร้านหนังสืออย่างรวดเร็ว

มันแคบมาก

นอกจากจะเต็มไปด้วยชั้นหนังสือที่อัดแน่นแล้ว ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มวางทับกันเป็นกองเกลื่อนไปทั่วพื้น ครึ่งหนึ่งของบันไดที่นำไปสู่ชั้นสองถูกชั้นหนังสือวางขวางไว้ และหน้าต่างส่วนใหญ่ก็เต็มไปด้วยฝุ่น ทำให้เกิดบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกขนลุก

แหล่งกำเนิดแสงเพียงแหล่งเดียวในร้านหนังสืออันมืดมิดแห่งนี้คือตะเกียงที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ อีกทั้งชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหลังเคาเตอร์เองก็มีบรรยากาศแห่งความลึกลับแผ่ออกมา

นั่นก็เพราะที่เคาน์เตอร์มีผ้าเช็ดตัวเตรียมเอาไว้อยู่เสียด้วย…

ติ๋ง! ติ๋ง!

น้ำหยดไหลลงมาจากตัวของจี้จือซู่ผู้เปียกโชก ผมที่เปียกปอนของเธอติดอยู่ที่คอ ในขณะที่ชุดกระโปรงสั้นก็เผยให้เห็นผิวอันขาวเนียนและอ่อนนุ่ม

“ยินดีต้อนรับ” หลินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นมองพร้อมด้วยแสงสีเหลืองอันอบอุ่นที่สะท้อนข้างในนัยน์ตาสีดำของเขา

ชายหนุ่มผลักถ้วยชาร้อนไปทางจี้จือซู่ด้วยรอยยิ้ม

“ดูเหมือนว่าการรอคอยอันยาวนานของฉันจะไม่ได้สูญเปล่าสินะ ฝนที่กำลังตกหนักนี้ได้พัดพาลูกค้าคนสวยเข้ามาที่ร้านหนังสืออันต่ำต้อยของฉันเสียแล้ว”

การชมเชยความงามของลูกค้า ถือเป็นส่วนหนึ่งของการบริการที่ดี

หญิงสาวตรงหน้าหลินเจี๋ยนั้นเป็นสาวงามอย่างไม่มีข้อกังขา แม้ตัวจะเปียกโชก แต่รูปลักษณ์อันสวยงามดั่งประติมากรรมที่ถูกสลักอย่างประณีต และผิวสีขาวปานงาช้าง ก็ยังคงชัดเจนภายใต้แสงสลัว ทำให้การรอคอยของเขารู้สึกคุ้มค่า

ดูเหมือนว่าลูกค้ารายนี้ต้องการการพูดคุยแบบจริงใจ บางทีเราอาจจะได้เพื่อนใหม่ในวันนี้…ไม่สิ บางทีวันนี้เราอาจจะได้ลูกค้าประจำรายใหม่เลยก็ได้?

นี่ไม่ใช่ความคิดของนักธุรกิจโลภมากอย่างแน่นอน มีแค่ความห่วงใย และความปรารถนาดีจากใจจริง ๆ นะ!

ขณะเดียวกันจี้จือซู่มองมาที่ถ้วยชาตรงหน้าด้วยรูม่านตาที่หรี่ลง

‘การรอคอยอันยาวนาน’ …นี่หมายความว่าชายหนุ่มคนนี้รู้เรื่องของเธอและกำลังรอคอยการมาถึงของเธองั้นเหรอ? หรืออาจจะมีแรงจูงใจอื่นอยู่เบื้องหลัง?

ไม่ว่าจะมองมุมไหน ร้านหนังสือแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด จังหวะที่บังเอิญจนน่าแปลก และสีหน้าไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดของชายหนุ่มเจ้าของร้าน ต่างก็บ่งบอกให้เห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น

เขามาจาก หอพิธีกรรมต้องห้าม? สมาคมแห่งสัจธรรม? หรือว่าหนึ่งในสมาชิกของวัลเพอร์กิส?

จี้จือซู่ตื่นตัวขึ้นมาทันที เธอค่อย ๆ เลื่อนนิ้วไปยังปุ่มที่เปิดใช้งานกลไกของไม้เท้าสีดำ หากชายหนุ่มปริศนาคนนี้เคลื่อนไหวล่ะก็ ไม้เท้าสีดำนี้ก็จะแปรสภาพเป็นใบมีดสังหารแทงทะลุกะโหลกของเขาในทันที

“คุณกำลังรอฉันอยู่งั้นเหรอ?” หญิงสาวนักล่าถาม ซึ่งหลินเจี๋ยก็ตอบกลับคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน

“ใช่ ฉันคิดว่าโชคชะตาทำงานด้วยวิธีที่น่าอัศจรรย์ นำคนแปลกหน้าสองคนมารวมตัวกันได้อย่างคาดไม่ถึง”

หลินเจี๋ยชี้ไปที่เคาน์เตอร์ก่อนจะพูดต่อ “ใช้ผ้าขนหนูผืนนี้เช็ดตัวให้แห้งได้ตามสบาย ไม่ต้องกังวลไป ฉันยังไม่ได้ใช้มัน ว่าแต่คุณอยากจะให้ฉันเปิดเครื่องทำความร้อนให้ไหม?”

จี้จือซู่หยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาอย่างลังเลและส่ายหัว “ไม่เป็นไร”

เมื่อมองไปที่ลูกค้าใหม่ หลินเจี๋ยก็สังเกตเห็นคิ้วที่พันกันจนแน่นของเธอ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาสันนิษฐานว่าหญิงสาวคนนี้คงจะเจอเรื่องแย่ ๆ หรืออุปสรรคในชีวิตมาแน่ ๆ ดังนั้นชายหนุ่มจึงกระแอมในลำคอและถามออกไป

“ดูจากสภาพแล้ว ดูเหมือนว่าคุณน่าจะมีปัญหาบางอย่างรังควานใจอยู่ใช่ไหม?”