บทที่ 2 ถ้อยคำทั้งช่วยรักษาและสั่งสอน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 2 : ถ้อยคำทั้งช่วยรักษาและสั่งสอน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ หลินเจี๋ยได้พูดคุยกับลูกค้ามากมาย จนมีความสามารถในการสังเกตท่าทางของผู้คน และเลือกคำพูดที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ

ประโยคที่ว่า ‘คุณน่าจะมีปัญหาบางอย่างรังควานใจอยู่ใช่ไหม?’ ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งใด ๆ มันเป็นเพียงประโยคเริ่มต้นบทสนทนา คล้ายกับประโยค ‘คุณกำลังมีลางร้ายบางอย่างอยู่รอบ ๆ ตัว’ ของพวกหมอดู ซึ่งเป็นเพียงคำแนะนำทางจิตวิทยา

มันเหมือนกับธงบทสนทนาในเกม เมื่อทุกอย่างดำเนินไปตามเงื่อนไข บทสนทนาส่วนต่อไปก็ดำเนินต่อไปตามทิศทางนั้น

เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนได้ยินคำว่า ‘ปัญหา’ พวกเขาจะเริ่มถามตัวเองว่ากำลังประสบปัญหาอะไรอยู่รึเปล่า ซึ่งโดยปกติแล้ว มันไม่มีทางเลยที่ชีวิตของคนทั่ว ๆ ไปส่วนใหญ่จะราบรื่นไปได้ตลอดทาง

ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหา

และเมื่อลูกค้าเริ่มบ่นถึงปัญหาเหล่านั้น อาจารย์หลินก็จะเริ่มพูดคุยเปิดใจของพวกเขาไปทีละนิดเพื่อลดระยะห่างลง

อย่างไรก็ตามบางโอกาส เทคนิคการพูดคุยนี้ก็ใช้ไม่ได้ผล

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนที่โชคดีมาโดยตลอดตั้งแต่เกิด หรือตั้งกำแพงสูงมาก ๆ ไว้ในจิตใจสำหรับคนแปลกหน้า ก็จะทำให้ยากต่อการสื่อสาร

แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป หลินเจี๋ยค่อนข้างมั่นใจว่าเขาสามารถทำให้หญิงสาวผู้เปียกปอนคนนี้เปิดใจได้ เพราะเธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง

ระหว่างที่จี้จือซู่กำลังเช็ดตัวให้แห้ง เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย จู่ ๆ เธอก็หยุดลง เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่กำลังยิ้มแย้มหลังเคาน์เตอร์พร้อมตอบ “ใช่ ฉันมีปัญหากวนใจอยู่”

เธอไม่สามารถระบุได้ว่าชายคนนี้เป็นมิตรหรือศัตรู และต่อให้เขาเป็นศัตรูจริง ๆ เธอก็ไม่น่าจะสามารถหนีจากตัวตนอันลึกลับตรงหน้า ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอในปัจจุบันได้

อย่างไรก็ตามในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้ซับซ้อนโดยไม่จำเป็น จี้จือซู่จึงเล่นไปตามน้ำ รอยืนยันวัตถุประสงค์ของชายหนุ่มคนนี้ ดูว่าเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่

ถ้าเขาเป็นมิตร นี่ก็คงจะเป็นเรื่องบังเอิญอันน่าประหลาดใจ

แต่ถ้าเขาเป็นศัตรู เธอก็ต้องพยายามถ่วงเวลาเพื่อพักฟื้นร่างกายให้มากกว่านี้

ขณะเดียวกัน หลินเจี๋ยก็สังเกตเห็นว่าดวงตาของแขกผู้มาเยือนนั้นไม่ใช่สีดำ แต่เป็นสีเทาเหมือนกับเหล็ก มีแสงระยิบระยับในนัยน์ตา คล้ายกับอัญมณีที่ถูกขัดมันอย่างสวยงาม ที่ส่วนบนใบหูของเธอมีแผลขนาดสามเซนติเมตรที่ยังคงมีเลือดไหลซิบออกมา

ไม่ว่าจะมองยังไง หญิงสาวคนนี้ก็น่าจะมีเรื่องราวมากมายอยู่เบื้องหลัง

“คุณมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์รึเปล่า?” หลินเจี๋ยถาม

เนื่องจากจนถึงตอนนี้อีกฝ่ายนั้นยังไม่ได้บ่นอะไรออกมา ปัญหาที่หญิงสาวในวัยของเธอมักจะเผชิญก็คือปัญหาด้านความสัมพันธ์

แน่นอนว่าหลินเจี๋ยไม่ได้เจาะจงว่ามันเป็นปัญหาด้านใด ความรัก มิตรภาพ หรือครอบครัว อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้คำว่า ‘ความสัมพันธ์’ เพียงอย่างเดียว

นี่คือเทคนิคการพูดทั่ว ๆ ไปของนักต้มตุ๋น คนทรง และหมอดู คือการพูดสิ่งคลุมเครือออกมา เพื่อจับจุดสำคัญของปัญหาที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญได้

ทว่าทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจของจี้จือซู่ก็หนักอึ้งขึ้นมา

ยี่สิบนาทีก่อนหน้านี้ หญิงสาวเพิ่งถูกกลุ่มนักล่าที่ทำงานด้วยกันหักหลังในรังลับ ซึ่งคนที่ไล่ล่าเธอก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากอดีตสหายร่วมรบในอดีต

ความโลภได้ทำให้ตาของพวกเขามืดบอด

ดังนั้นที่หลินเจี๋ยบอกว่า เธอกำลังประสบปัญหาด้านความสัมพันธ์ก็ไม่ได้ผิดไปซะทีเดียว

จี้จือซู่ได้แต่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น การที่บุคคลภายนอกองค์กรจะสามารถรู้เกี่ยวกับปัญหาภายในกลุ่มนักล่าของเธอได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงยี่สิบนาทีนั้นเป็นอะไรที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่างเท่านั้น

หนึ่ง ชายหนุ่มมีหน่วยข่าวกรองหรือผู้ให้ข้อมูลแฝงตัวอยู่ภายในกลุ่มนักล่า และหน่วยข่าวกรองเหล่านั้นก็ได้มารายงานเขาทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น

สอง เจ้าของร้านหนังสือตรงหน้าเธอนั้นเป็นคนที่มีความสามารถรอบด้าน

จี้จือซู่มองดูผ้าขนหนูที่เปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงเข้มเงียบ ๆ ไม่นานนักรอยเลือดเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ระเหยกลายเป็นควัน หลังจากนั้นเธอก็นั่งลงบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ ใช้นิ้วแตะถ้วยน้ำชาตรงหน้าเบา ๆ พร้อมพูดด้วยเสียงราวกระซิบออกมา

“ฉันถูกหักหลัง”

โอ้? น่าตกใจจริง ๆ

หลินเจี๋ยเลิกคิ้ว

เป็นปัญหาหนักยิ่งกว่าที่เราคาดไว้ซะอีก เธอถูกแฟนสวมเขา หรือถูกเพื่อนสนิทหักหลังกัน?

เรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องซุบซิบนินทาระดับสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลินเจี๋ยนั้นเป็นเจ้าของร้านหนังสือที่รับฟังให้คำปรึกษา ไม่ใช่คุณป้าวัยกลางคนที่ชอบพูดนินทาลับหลังคนอื่น

เรื่องแย่ ๆ เหล่านี้เป็นเพียงแค่ประสบการณ์ชีวิตที่เธอจะต้องผ่านไปให้ได้

“ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีสองด้าน ก็จริงอยู่ที่คุณถูกหักหลัง แต่นี่ก็เป็นโอกาสที่ช่วยให้คุณได้เห็นว่าแท้จริงแล้ว พวกเขาเป็นคนแบบไหน”

หลินเจี๋ยยกกาน้ำชาขึ้น เติมถ้วยชาตรงหน้าหญิงสาวด้วยชาร้อน ๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คนที่มีชะตาจะต้องจากกัน สักวันนึงก็ต้องจากกันอยู่ดี เมื่อพวกเขาตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็พร้อมจะยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้างนั่นแหละ”

จี้จือซู่สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่ตนเผชิญกับคำพูดเหล่านั้นได้อย่างลึกซึ้ง

ครั้งนี้ กระจกมนตราเป็นเพียงชนวนที่จุดประกายความโลภของพวกเขาขึ้นมา ต่อให้ไม่มีมัน สักวันหนึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็คงจะตัดสินใจแบบเดียวกันกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้

ผลลัพธ์ไม่ต่างจากเดิม มีเพียงเหตุผลที่แตกต่างออกไป

จี้จือซู่วางมืออันเย็นเฉียบลงบนถ้วยชา พลางพูดราวกับยังไม่อยากจะยอมรับความจริง

“ที่นายพูดมันก็ถูก แต่การทรยศในครั้งนี้ ฉันสูญเสียอะไรหลาย ๆ อย่างมากเกินไป ได้เห็นธาตุแท้ของพวกเขาตอนนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร?”

สูญเสียอะไรหลาย ๆ อย่างมากเกินไป… เธอคงใจสลายจากคนเลว ๆ มาสินะ ฮือ ช่างน่าสงสารจริง ๆ

หลินเจี๋ยรู้สึกเห็นใจ

แผลตามร่างกายรักษาได้ไม่ยาก แต่แผลใจนั้นต้องใช้เวลาในการรักษานานแสนนาน เวลาแบบนี้แหละที่คำแนะนำของเขาจำเป็นที่สุด!

เจ้าของร้านหนังสือเอามือแตะคางพลางตรวจสอบจี้จือซู่อย่างใกล้ชิด ครู่ต่อมา เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่

“มันจะต้องมีประโยชน์ในอนาคตแน่ ๆ อย่างน้อย ๆ คุณก็น่าจะแยกแยะคนที่มีความสัตย์จริงออกจากคนโป้ปดได้ หลังจากนี้คุณจะมาไม่สงสารคนที่เคยทำร้ายคุณ โดยอ้างความสัมพันธ์ในอดีตอีก ความเจ็บปวดในวันนี้จะทำให้คุณฉลาดขึ้นกว่าเดิม”

มันเป็นคำพูดให้กำลังใจที่แข็งแกร่งชัดเจนจนก้องกังวานซ้ำไปซ้ำมา!

จี้จือซู่จ้องไปนัยน์ตาของหลินเจี๋ย ทันใดนั้นดวงตาที่ว่างเปล่า และจังหวะการหายใจของเธอก็พลันเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว

ภายใต้แสงสลัวอันอบอุ่น ดวงตาของชายหนุ่มดึงดูดสายตาของเธอเข้าไปราวกับมีเวทมนตร์ลึกลับบางอย่าง จี้จือซู่สัมผัสได้ถึงความเมตตาและความเข้าใจจากเขา ราวกับว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นตัวตนระดับสูงกว่า ที่พร้อมจะโอบกอดทุกชีวิต ชี้นำมนุษย์ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง

เวลาครู่ใหญ่ ๆ ผ่านไปกว่านักล่าสาวจะหายจากความงุนงง เธอรีบส่ายหัวอย่างแรง

หญิงสาวรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีเป้าหมายในใจบางอย่าง ตอนนี้ความรู้สึกที่เธอสัมผัสได้ก็คือ อีกฝ่ายนั้นไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นพันธมิตรที่ต้องการช่วยเหลือเธอในการรับมือกับกลุ่มนักล่า…

นักล่าในกลุ่มใช้เลือดอสูรของสัตว์มายาเป็นแหล่งพลังงาน ทำให้พวกเขามักจะถูกเหล่าจอมเวทผู้รักความยุติธรรมมองว่าเป็นคนชั่วร้าย จี้จือซู่จึงอนุมานว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้อยู่ในสังกัดขององค์กรทั้งสามที่เธอคาดเดาก่อนหน้านี้ และน่าจะเป็นจอมเวทระดับสูงที่เกลียดชังนักล่า

จอมเวทผู้มีความเชี่ยวชาญด้านอักขระ ภาษาและคำพูดโดยกำเนิด

“แล้ว…”

จี้จือซู่รวบรวมความตั้งใจพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ

“ฉันควรทำอย่างไรดี?”

“ในเมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายที่ประพฤติตัวไร้มนุษยธรรมก่อน คุณก็ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทกับพวกเขาอีก คุณควรจะจัดการกับพวกเขาในแบบเดียวกันกับที่พวกเขาปฏิบัติต่อคุณ ตาต่อตาฟันต่อฟัน!” หลินเจี๋ยตอบ

ในกรณีนี้เขาไม่คิดที่จะให้คำแนะนำปรึกษาธรรมดา ๆ ปลอบประโลมใจใด ๆ มิฉะนั้นมันอาจทำให้เธอถูกชักจูงจนหลงทาง และยากต่อการรักษาแผลใจให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

เมื่อต้องเผชิญกับคนเลว ๆ ก็ควรตอบโต้กลับไปให้หนัก!

คำพูดนี้อาจจะทำให้ลูกค้าสาวสับสนในตอนแรก แต่ตราบใดที่เขาขีดเส้นทางเอาไว้ให้ เธอก็น่าจะสามารถปลดปล่อยตัวเองออกจากความสับสนนั้นและลงมือเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอด้วยตัวเองได้

ช่างเป็นอุปนิสัยที่สมกับเป็นจอมเวทจริง ๆ!

จี้จือซู่เปิดฝ่ามืออีกข้างที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ มองดูมือที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือด จากนั้นริมฝีปากของเธอก็ขยับเล็กน้อย

…ละทิ้งความเป็นมนุษย์งั้นเหรอ?

เธอยังไม่พร้อม และไม่ได้ตัดสินใจที่จะไปสุดทางขนาดนั้น

“คุณต้องตรวจสอบความคิด ความตั้งใจของตัวเองก่อน ถึงจะสามารถเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสม”

หลินเจี๋ยจ้องมองหญิงสาวผู้หม่นหมองด้วยรอยยิ้ม

“ฉันคิดว่า คุณอาจจะต้องการหนังสือเล่มนี้”

ถึงเวลาแล้วที่หลินเจี๋ยจะใช้ไพ่ตายของเขา นำบทสนทนาไปยังสินค้าอย่างราบรื่น

หากพิจารณาจากบรรยากาศแล้ว มันดูไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ ถ้าหลินเจี๋ยจะหยิบหนังสือออกมาจากชั้นวางด้านหลังเคาเตอร์ เพราะมันจะทำให้ความตั้งใจของเขาเผยออกมาชัดเจนเกินไป

เจ้าของร้านหนุ่มจึงได้ยื่นหนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่ก่อนหน้านี้ให้ไปแทน

จี้จือซู่รับมันด้วยใบหน้าอันว่างเปล่า มีคำสามคำที่เขียนไว้บนหน้าปกหนังสือเล่มนั้น ‘เลือดและสัตว์ร้าย’

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาหญิงสาวเคยอ่านหนังสือมามากมาย แต่เธอกลับไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อน

มันถูกเขียนโดยนักเขียนลึกลับจากที่ไหนกัน? นอกจากนี้ ทำไมถึงต้องเป็นหนังสือเล่มนี้?

จี้จือซู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพลิกหน้าหนังสือด้วยความลังเล ครู่ต่อมา รูม่านตาของหญิงสาวก็หดลง จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป

หน้าหนังสือนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรโบราณอัดแน่น บิดเบี้ยว และผันผวนตลอดเวลา ไม่มีอักขระใด ๆ เลยในระยะสองบรรทัดที่เหมือนกัน พวกมันถูกร้อยเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประโยคที่มีความหมายขึ้นมา ตัวอักษรแต่ละตัวล้วนสามารถสร้างคำขึ้นมาได้หลายพันคำ!

นี่มัน… อักขระต้องห้าม!

ใบหน้าของนักล่าสาวซีดลง ร่างกายเริ่มสั่นเทา ข้อมูลที่อยู่ในนั้นน่ากลัวมากเสียจนทำให้เธอคลื่นไส้

จี้จือซู่รีบปิดหนังสือลงทันที พยายามอย่างหนักที่จะควบคุมลมหายใจให้สงบลงอีกครั้ง

ถ้อยคำภายในหนังสือได้สลักความหวาดกลัวลงในจิตใจของเธอ

“กลายพันธุ์เดรัจฉาน!”