ตอนที่ 16 คนมีใจอย่างไรต้องได้ครองคู่กัน
ที่ตั้งของเมืองหลวงอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ แรกเริ่มวสันต์ฤดูนับเป็นช่วงที่อากาศสบายที่สุด แต่สำหรับเหล่าขุนนางที่ต้องเข้าว่าราชการแต่เช้ายังนับว่าเหน็บหนาวอยู่สักหน่อย เมื่อพวกเขาต้องรีบรุดมายังประตูเฉียนชิงตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ชายเสื้อคลุมกับชายแขนเสื้อต่างชื้นไปด้วยหมอกยามเช้า
อีกครู่หนึ่งก็จะเริ่มว่าราชการเช้าแล้ว
“หากมีเรื่องใดจงรายงาน หากไม่มีก็ยกเลิกว่าราชการเช้าได้”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงทอดสายตาไปยังบรรดาข้าราชบริพารด้วยพระพักตร์ราบเรียบ หากไม่มีใครรายงานกำลังคิดจะกลับไปอ่านบทละครให้จบ ขณะนั้นเองผู้ตรวจการหนิวพลันก้าวออกมาข้างหน้า “กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ขุนนางหนิวมีเรื่องอะไร” ฮ่องเต้จิ่งหมิง พลันหวั่นใจขึ้น
ไม่ทราบขุนนางท่านใดจะโชคร้ายอีก!
“กระหม่อมขอทูลฟ้องอันกั๋วกงปกครองดูแลครอบครัวไม่เข้มงวดพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้ตรวจการหนิวเป็นที่แคล่วคล่องชำนาญในเรื่องการตรวจสอบเหล่าขุนนาง เวลายื่นฟ้อง เพียงเอ่ยคำสองคำก็พูดเรื่องราวได้กระจ่างแจ้ง
ฮ่องเต้จิ่งหมิงเริ่มสนใจขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้น จี้ซานจวนอันกั๋วกงกับสตรีผู้นั้นมีใจให้แก่กันจริงงั้นหรือ”
ชายผู้ยินยอมพร้อมใจตายเพื่อพิสูจน์รักแท้กับหญิงสามัญชน เรื่องแบบนี้ยังดูสมจริงยิ่งกว่าเนื้อเรื่องในบทละครเสียอีก
ผู้ตรวจการหนิวสีหน้าคล้ำขึ้น
ฮ่องเต้ได้เข้าใจประเด็นสำคัญของเรื่องนี้หรือไม่ คำถามนี้ใช่เรื่องสำคัญของปัญหานี้หรือ
“แล้วจี้ซานกับหญิงผู้นั้นเป็นอะไรหรือไม่” ฮ่องเต้จิ่งหมิงตรัสถามอีกครั้ง
ราวกับไม่มีสาสน์ระบุว่าอันกั๋วกงเกิดเหตุการณ์คนผมขาวต้องส่งศพคนผมดำ
“ทั้งสองคนถูกช่วยไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ” ผู้ตรวจการหนิวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
“อย่างนั้นหรือ…”
หากได้นำเรื่องการตายเพื่อความรักไปเขียนลงบทละครละนับว่าเป็นบทที่ดีเชียวล่ะ
บรรดาข้าราชบริพาร “…” เหตุใดน้ำเสียงฮ่องเต้เจือด้วยความรู้สึกเสียดายล่ะ คงเข้าใจผิดแน่ๆ!
ผู้ตรวจการหนิวจดจ้องไปยังฮ่องเต้จิ่งหมิง อีกเพียงนิดเดียวแทบก็จะถลกแขนเสื้อถลาเข้าหาฮ่องเต้แล้ว
ฮ่องเต้จิ่งหมิงรีบตรัส “อย่างไรก็เป็นคนหนุ่มสาว นับว่าทั้งสองคนมีความจริงใจต่อกัน แต่จวนอันกั๋วกงได้หมั้นหมายกับจวนตงผิงปั๋วแล้ว ฝ่ายหญิงเองคงเสียหายไม่น้อย ผู้ตรวจการหนิวท่านกลับไปก่อนเถิด หลังว่าราชการกิจเสร็จข้าจะเรียกตัวอันกั๋วกงเข้าวังมาตำหนิให้หนัก!”
ผู้ตรวจการหนิวยืนนิ่งไม่ไหวติง “เพียงตำหนิเท่านั้นไม่พอให้เป็นบทเรียนแก่คนทั่วไปหลาบจำพ่ะย่ะค่ะ! พระองค์เคยไตร่ตรองดูหรือไม่ หากประชาราษฎร์ต่างเอาอย่างคุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกงแล้ว จะไม่ปั่นป่วนวุ่นวายไปหมดหรือ ต้าโจว[1] ยังมีกฎเกณฑ์อันใดเหลือให้ยึดถืออยู่อีก…”
ผู้ตรวจการหนิวถกแถลงแจ้งบทใหญ่ ฮ่องเต้จิ่งหมิงฟังจนปวดพระเศียรเวียนเกล้า รีบเอ่ยเอาใจ “ผู้ตรวจการหนิวเอ่ยล้วนแต่เป็นเหตุเป็นผล อันกั๋วกงปกครองบ้านเรือนไม่เข้มงวดแค่ตำหนิเท่านั้นคงไม่พอ เรื่องที่ควรลงโทษ อย่างไรก็ต้องลงโทษ!”
ผู้ตรวจการหนิวจึงพอฝืนรับได้
เหล่าบรรดาบุตรหลานขุนนางชั้นสูงที่วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นเหลวไหล ก่อเรื่องระราน ทำให้เสียภาพลักษณ์บุรุษสตรีแห่งเมืองหลวง ควรจะต้องอบรมให้เข้าร่องเข้ารอยเสียบ้าง
ผู้ตรวจการหนิวยื่นฟ้องในครั้งนี้ ไม่ได้คาดหวังให้ฮ่องเต้ลงโทษอันกั๋วกงอะไรนัก ส่วนเหล่าข้าราชการระดับสูงที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรับรู้ ทันทีที่กลับไปยังจวนตนต่างต้องเรียกฮูหยินมากำชับ “เรื่องคู่หมั้นของบุตรสาว (หลานสาว) ค่อยๆ เลือก จะอย่างไรอย่าได้พิจารณาคุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกงเด็ดขาด”
อะไรนะ จวนอันกั๋วกงสูงศักดิ์เกินไปอย่างนั้นหรือ
“ครอบครัวจะสูงศักดิ์ขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์ เรื่องที่คุณชายสามจี้ซานรักกับหญิงสามัญชน ฮ่องเต้ทรงรับรองให้แล้ว หากให้บุตรสาว (หลานสาว) เราแต่งเข้าไป ไม่เพียงทำให้ลูกเราลำบาก ยังจะมีแต่ผลเสียต่อตระกูลเรา!”
อันกั๋วกงถูกเรียกตัวเข้าวังไปตำหนิยกใหญ่ แล้วจึงหน้าดำคล้ำเครียดกลับมายังจวนอันกั๋วกง กลับมาถึงก็มุ่งตรงไปยังเรือนเว่ยซื่อทันที
คืนวานสองสามีภรรยามีเรื่องกระทบกระทั่งกันพอควร เว่ยซื่อทึกทักว่าอันกั๋วกงจะมาง้องอนตน กำลังวางท่าเชิดหน้าอยู่นั่นเอง พลันเห็นท่าทีอันกั๋วกงไม่สู้ดีนัก จึงรีบสลัดความคิดทิ้ง
“นายท่านมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“เตรียมตัวๆ ได้แล้ว ให้ซานหลางและเฉี่ยวเหนียงรีบแต่งกันเสีย”
“นายท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” สีหน้าเว่ยซื่อแปรเปลี่ยนกระทันหัน
“ข้าบอกว่า ให้ซานหลางและเฉี่ยวเหนียงรีบแต่งงาน!”
“นายท่าน นี่ข้าฟังผิดไปหรือไม่”
อันกั๋วกงใบหน้าซีดเซียว “เจ้าฟังไม่ผิด ข้าบอกให้ซานหลางและเฉี่ยวเหนียงแต่งงานกัน!”
“นายท่าน ท่านคงเป็นบ้าไปแล้ว…”
“ข้าบ้าไปแล้วหรือ ฮูหยินรู้หรือไม่ วันนี้ข้าออกไปไหนแต่เช้า” เรื่องน่าละอายเช่นนี้อันกั๋วกงไม่อยากพูดก็จำต้องพูด จนถึงตอนนี้ไม่รู้ว่ามีคนหัวเราะเยาะไปแล้วเท่าไหร่
“ผู้ตรวจการหนิวยื่นฟ้องว่าข้าปกครองบ้านเรือนไม่เข้มงวด ฝ่าบาททรงเรียกข้าเข้าวังไปต่อว่าแต่เช้า!”
เว่ยซื่อได้ฟังดังนั้น ก็โกรธจนตัวสั่น “เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้อย่างไร เรื่องของพวกเรานับว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ผู้ตรวจการเล็กๆ ไม่เอาใจใส่กิจการบ้านเมือง แต่มาสนใจเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ด้วยเหตุใดกัน ช่างแส่หาเรื่องจริงๆ”
“หุบปาก!” อันกั๋วกงพลุ่งพล่านกว่าเดิม “ผู้ตรวจการรับเรื่องและรายงานกราบบังคมทูล นั่นเป็นอำนาจที่เขาได้รับพระราชทานจากฝ่าบาทโดยเฉพาะ เมื่อผู้ตรวจการถวายรายงานแม้ฮ่องเต้ก็ยังต้องตั้งใจสดับฟัง คำพูดของเจ้านี้หากแพร่งพรายออกไป จวนกั๋วกงได้พินาศสิ้นเป็นแน่!”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ให้ซานหลางแต่งงานกับเฉี่ยวเหนียงไม่ได้ หญิงชาวบ้านสามัญ ยังจะฆ่าตัวตายถวายความรัก คนเป็นมารดาเช่นข้า ทำไปเพราะห่วงใยความรู้สึกซานหลาง——”
“เป็นห่วงความรู้สึกซานหลาง เป็นเพราะเจ้าตามใจซานหลางแต่เล็ก เขาจึงกล้าทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้ได้ต่างหาก! เจ้าคิดว่าข้ายินดีรับหญิงที่คิดฆ่าตัวตายถวายความรักมาเป็นลูกสะใภ้อย่างนั้นหรือ” อันกั๋วกงปรับอารมณ์ลง รู้ว่าแม้จะปะทุอารมณ์โกรธไปก็เปล่าประโยชน์ พยายามอดทนอธิบาย “เจ้ารู้หรือไม่ ฮ่องเต้ทรงวิจารณ์ซานหลางว่าอย่างไร”
“ฝ่าบาททรงวิจารณ์ซานหลางรึ” เว่ยซื่อรู้ดี ในเวลาเช่นนี้ สิ่งที่ถูกฮ่องเต้ทรงวิจารณ์หาใช่เรื่องที่ดี
“ฮ่องเต้ทรงตรัสว่า นับว่าซานหลางเป็นคนที่ทุ่มเทกับรักแท้…” อันกั๋วกงถอนใจเฮือกใหญ่ “เหล่าขุนนางที่เข้าเฝ้าเช้านี้ต่างได้ยินกันหมด ดำรัสนี้เมื่อตรัสออกมาแล้ว จะมีตระกูลไหนยอมให้บุตรสาวแต่งกับซานหลางอีก”
เว่ยซื่อถึงกับแน่นิ่งไป ต้องหยิกตัวเองแรงๆ จึงจะเรียกสติกลับมาได้ พลางคว้าที่ชายเสื้ออันกงกั๋วแล้วเริ่มร้องไห้ฟูมฟาย “ท่านพี่ อย่างไรก็ต้องแต่งกับเฉี่ยวเหนียงอย่างนั้นหรือเจ้าคะ รออีกหน่อย รออีกสักหน่อยได้หรือไม่ หากหนึ่งปีไม่ได้ก็สองปี หรือจะมากกว่านั้นเป็นสามหรือห้าปีก็ยังได้ ถึงตอนนั้นซานหลางก็ยังอายุแค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้น จะแต่งงานในตอนนั้นก็ไม่นับว่าสายไป!”
“ฮูหยิน เจ้าอย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย ในเวลานี้พวกเราควรตบแต่งเฉี่ยวเหนียงเข้ามาอย่างเป็นทางการ เพื่อสนองดำริของฮ่องเต้ เรื่องนี้จึงจะผ่านพ้นไปได้ มิเช่นนั้นแล้ว ในหลายปีจากนี้ จวนกั๋วกงแห่งนี้ก็จะถูกคนจ้องติฉินนินทา หรือเจ้าจะทนได้ที่ก้าวออกจากจวนทุกครั้งมีแต่สายตาผู้คนจดจ้อง”
เว่ยซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากพลางสะอื้นไห้ “แม้จะถูกคนชี้นิ้วนินทาข้าก็ยอม เพียงรออีกสองปี จะไปขอบุตรสาวตระกูลใหญ่จากต่างถิ่นมาแต่งก็ยังได้เจ้าค่ะ”
อันกั๋วกงยิ้มเหยาะ “ตระกูลใหญ่ต่างถิ่นไม่ได้เป็นคนหูหนวกเสียหน่อย!”
“แต่ข้าไม่มีทางรับเฉี่ยวเหนียงมาเป็นลูกสะได้เจ้าค่ะ!”
“ไม่รับก็ต้องรับ ใครให้ซานหลางของเจ้าโง่เง่าเอง! ความจริงตำแหน่งของตระกูลเรา ไม่จำต้องใช้ฐานะของลูกสะใภ้มาเติมเต็มอีกแล้ว อย่างน้อยฮ่องเต้ก็ทรงไตร่ตรองงานแต่งระหว่างซานหลางและเฉี่ยวเหนียงในแง่ดี” อันกั๋วกงมองเว่ยซื่อเนิ่นนาน กล่าวเน้นคำ “นี่คือคำบัญชา!”
เว่ยซื่อแม้จิตใจจะแหลกสลายแต่จำต้องพยักหน้า
ข่าวเรื่องอันกั๋วกงถูกผู้ตรวจการยื่นทูลฟ้องถูกแพร่สะพัดไปตามจวนต่างๆ อย่างรวดเร็ว บรรดาผู้ชอบดูความคึกคักก็เตรียมชมฉากจบของละครเรื่องนี้
ใครจะรู้เพียงไม่นาน ก็มีข่าวคราวชวนให้ประหลาดใจเกิดขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ คุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกงกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับหญิงสามัญผู้จะฆ่าตัวตายเพื่อรัก!
เจียงจั้นตื่นเต้นจนแทบจะบินไปยังเรือนไห่ถัง เอ่ยกับเจียงซื่อด้วยแววตาสุกใส “น้องสี่ จี้ซานจะแต่งงานกับแม่นางที่กระโดดน้ำไปด้วยกันแล้ว! ฮ่าๆๆ ข้าขำนัก เจ้าพวกขี้ประจบพวกนั้นยังพูดอยู่เลยว่าจี้ซานจะแต่งกับหญิงชนชั้นสูง”
เจียงซื่อรอให้เจียงจั้นหัวเราะให้พอ แล้วจึงหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “เรียกได้ว่าคนมีใจอย่างไรต้องได้ครองคู่กันจริงๆ”
[1] ต้าโจว หมายถึง ราชวงศ์โจว