เมื่อได้เข้ามาภายในเมืองปรากาซก็จะพบว่าภายในเมืองนั้นเต็มไปด้วยผู้คนค่อนข้างวุ่นวาย ชาวเมืองต่างสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูแปลกตา
เมื่อขบวนทหารที่นำโดยเลห์แมนเข้ามาด้านใน ชาวเมืองได้หันมาจ้องมองด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น
เลห์แมรขมวดคิ้ว ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คน มันคงจะยากที่จะหาสถานที่ที่เพียงพอสำหรับคนสองพันคน
“ท่านพ่อ ผมว่าเขาควรหาโรงแรมสักแห่งเป็นที่พักชั่วคราวไปก่อน เดี๋ยวผมจะไปหาเคานต์เซลินเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาในเรื่องนี้”
เมอร์ลินมีจดหมายจากเคานต์โฟแมน เขาตั้งใจจะส่งให้เคานต์เซลินให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะให้ตระกูลวิลสันกับตระกูลเพอร์แมนได้เริ่มตั้งถิ่นฐานกันซะที
เลห์แมนพยักหน้าอย่างเข้าใจ ตอนนี้เขาทำได้เพียงเท่านี้เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงสั่งการให้แพรตต์ไปจองโรงแรมสักสองสามแห่งในเมือง
จากนั้นเมอร์ลินก็เดินทางไปยังปราสาทของเคานต์เซลินโดยลำพัง
ตัวปราสาทนั้นหาได้ไม่ยาก เขาได้เดินทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เขาก็ได้พบกับปราสาทสีขาวแห่งหนึ่งที่มีพื้นที่กว้างขวางและล้อมรอบไปด้วยต้นไม้เขียวขจี มีกำแพงสีขาวรอบล้อมปราสาท มีทหารยามหลายสิบคนทำหน้าที่คุ้มกันปราสาท
พวกทหารเหล่านี้ก็เหมือนกับกองกำลังกองป้องกันเมืองของเมืองแบล็กวอเตอร์ตรงที่เป็นกองกำลังส่วนตัวของเจ้าของปราสาทแต่เอาจริง ๆ ดินแดนทั้งหมดของเมืองปรากาซล้วนอยู่ในการครอบครองของเคานต์เซลินแทบทั้งสิ้น
เมอร์ลินได้ศึกษาเมอร์ลินปรากาซอย่างคราว ๆ ในระหว่างที่เขาเดินทาง นอกจากนี้เขายังศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ของอาณาจักรแบล็กมูนอีกด้วย
เขาพบว่าระบบการปกครองของที่นี่มันแตกต่างจากอาณาจักรแห่งแสงโดยสิ้นเชิง
โดยในแต่ละเมืองจะถูกปกครองอย่างอิสระโดยเคานต์ในแต่ละเมือง โดยเมืองปรากาซจะมีเคานต์เซลินเป็นผู้ปกครอง
หากเคานต์เซลินเกิดเสียชีวิตตำแหน่งของเขาจะถูกส่งต่อไปยังทายาทในตระกูลคาโรห์ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ราชาก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อาณาจักรแบล็กมูนจึงประกอบไปด้วยขุนนางน้อยใหญ๋ในแต่ละเมืองรวมเข้าด้วยกัน
โดยตระกูลขุนนางที่ใหญ่ที่สุดจะกลายเป็นราชวงศ์ของอาณาจักรแบล็กมูน
ระบบการปกครองเช่นนี้สามารถดำรงมาได้ถึง 800ปี โดยไม่เกิดปัญหาร่ายแรงใด ๆ เลย เรื่องนี้ทำให้เมอร์ลินรู้สึกงุนงงอย่างมาก
เมอร์ลินได้หยิบจดหมดออกมาจากกระเป๋าและเดินตรงไปที่ประตูทางเข้าของปราสาท
“หยุดอยู่ตรงนั้น!!”
เมื่อทหารยามเห็นเมอร์ลินเดินเข้ามา พวกเขาก็ตื่นตัวทันที
“เออ…ผมมาจากป้อมปราการเรเวน พอดีผมมีจดหมายจากเคานต์โฟแมนให้นำมาให้เคานต์เซลิน”
เมื่อทหารยามได้ยินอย่างนั้น ท่าทีของพวกเขาก็อ่อนลง จากนั้นทหารยามได้กล่าวว่า
“ส่งมันมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันจะเอาไปตรวจสอบก่อน”
เมอร์ลินพยักน้อยเล็กน้อย ในระหว่างที่เขาสงจดหมายไปนั้นเขาได้ใช้พลังจิตแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ เขาพบอัศวินมากมายที่อยู่ด้านหลังของกำแพง
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาอยู่ในช่วงการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
ดูเหมือนว่าปัญหาที่เคานต์เซลินต้องพบเจอมันต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
*กึก กึก*
ในระหว่างนั้นเอง ได้มีรถม้าหยุดตรงที่หน้าปราสาท จากนั้นก็มีเด็กหญิงแสนหวานลงมาจากรถม้า
เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวสูง ผมสีบลอนด์ยาวประบ่าของเธอได้ถูกรวบไว้เป็นหางม้า ทำให้ภาพลักษณ์ขิงเธอดูน่ารกและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
ทันทีที่เธอเห็นเมอร์ลิน เธอได้เปิดปากถามเขาว่า
“คุณมาจากป้อมปราการเรเวนใช่มั้ย?”
เมอร์ลินพยักหน้า เด็กสาวก็ได้ถามต่อว่า “แล้วอาชาร่าเป็นยังไง อาสบายดีมั้ย?”
“ชาร่า?” เมอร์ลินขมวดคิ้ว เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
เด็กสาวเห็นอย่างนั้น เธอเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก เธอได้ตีหน้าผากของเธอและพูดอย่างหงุดหงิดว่า “อาชาร่าที่เป็นภรรยาของเคานต์โฟแมน”
“โอ้ ท่านเคานต์และเคานต์เตสโฟแมน พวกเขาสบายดีครับ”
เด็กสาวพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับทหารยามว่า “ส่งจดหมายมาให้ฉันสิ ฉันกำลังไปหาท่านพ่ออยู่พอดีเลย”
“ได้ครับ คุณหนูเชลลี่” ทหารยามได้ส่งจดหมายให้เธอ
“รอแปปนึงนะ เดี๋ยวจะส่งจดหมายนี่ถึงมือของท่านพ่อเอง แล้วหลังจากนั้นฉันอยากจะถามคุณเกี่ยวกับสถานการณ์ของอาชาร่าที่ป้อมปราการเรเวนด้วย”
หลังจากพูดเสร็จเธอก็เดินเข้าไปในปราสาท
ด้านใน ห้องโถงของปราสาท
“ได้พบตัวบุคคลต้องสงสัยในเมืองบ้างมั้ย” เคานต์เซลินถามสีหน้าของเขาดูมืดมนและเต็มไปด้วยความโกรธ
“ท่านเคานต์ ตอนนี้ในเมืองมีผู้คนมากมาย เราจึงยังทำการตรวจสอบไม่เสร็จสิ้นแต่อย่างไรก็ตามเราไม่พบบุคคลต้องสงสัยครับ”
ชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีเงินตอบอย่างระมัดระวัง เนื่องจากช่วงนี้เคานต์เซลินต้องพบเจอปัญหามากมายทำให้ลูกน้องหลายคนถูกดุอย่างไม่มีเหตุผล
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์! แล้วเรื่องพ่อมดฮิลล์ล่ะ แกหาเขาพบแล้วรึยัง?”
“เราได้พบกับท่านพ่อมดฮลล์แล้วครับ แต่เขามีข้อแม้อยู่ว่าท่านเคานต์ต้องมอบดอกซีเจนให้กับเขา” ชายวันกลางคนตอบอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นเคานต์เซลินก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดว่า “จดหมายน่าจะส่งไปถึงป้อมปราการเรเวนแล้วแต่ทำไมข้ายังไม่ได้รับคำตอบเลย ถ้าหากโฟแมนสามารถส่งนักเวทย์มาให้ฉันได้ โอกาสชนะของเราก็จะยิ่งมากขึ้น…”
“ท่านพ่อเราไม่จำเป็นต้องพึ่งคนพวกนั้นหรอก แค่ผมคนเดียวก็สามารถจัดการได้ปัญหาได้ ทำไมเราต้องพึ่งพวกนักเวทย์ด้วย”
ชายหนุ่มกล้ามโตที่อยู่ในห้องโถงได้กล่าวออกมา เขาสวมชุดเกราะหนักและเปล่งออร่าที่ดุร้ายออกมา เขากล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ
“คูก คู่ต่อสู้ของเราในครั้งนี้เป็นพ่อมดที่ลึกลับและทรงพลัง แม้ว่าลูกจะเป็นนักดาบธาตุระดับห้าแต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะชนะได้ ดังนั้นพวกเราจึงต้องมีนักเวทย์ไว้เพื่อความอุ่นใจ”
“แต่ท่านพ่อกังวลมากเกินไป ก่อนหน้านี้ผมได้ฆ่าหมาป่าน้ำแข็งได้ด้วยมือของผมเอง ไม่มีทางที่ผมจะจัดการเขาไม่ได้!!”
เคานต์เซลินมองไปที่ท่าทางที่มั่นใจของคูก เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา เขารู้ดีว่าลูกชายของเขานั้นเก่งกาจแต่เขาจำเป็นต้องเตรียมการให้พร้อมเพื่อรับมือให้ทุก ๆ สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
*ตึก ตึก*
“หืม? ท่านพี่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”
ในระหว่างนั้นเอง ได้มีเด็กสาวผมหางม้าที่ดูมีชีวิตชีวาปรากกตัวและเดินเข้ามาในห้องโถง