ตอนที่ 22 ข้าไม่มีทางทำร้ายพวกเจ้า

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ตอนที่ท่านป้าหยางและท่านลุงเฉินเดินคุยกันมาจนถึงทางเข้าหมู่บ้าน ก็บังเอิญพบกับสะใภ้ใหญ่ของหัวหน้าหมู่บ้านที่ออกมารับเฉินเย่าจง

“ท่านป้าหยาง ไปที่ใดกันมาหรือเจ้าคะ” หวังกุ้ยฟางถามด้วยรอยยิ้ม

ท่านป้าหยางจึงเอ่ยเรียบ ๆ “ไปบ้านตระกูลเผยมา”

ในหมู่บ้านนี้มีเพียงบ้านเดียวที่แซ่เผย นั่นก็คือบ้านพัง ๆ บนเนินเขานั่น ตอนนั้นพ่อสามีของนางเห็นแก่ที่พวกเขาจ่ายเงินให้ จึงยอมให้พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านได้ ความจริงแล้วในโฉนดที่ผืนนั้นยังมีที่ดินอีกหลายหมู่ แต่ถูกครอบครัวของพวกเขายืดเอาไว้แล้ว ใครใช้ให้สตรีผู้นั้นโง่งมและไม่กล้าถามกันเล่า?

หวังกุ้ยฟางได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้ารังเกียจ “ไปที่นั่นทำไมกัน เดี๋ยวก็พลอยซวยไปด้วยหรอกเจ้าค่ะ”

ท่านป้าหยางถลึงตาใส่หวังกุ้ยฟาง “ข้าไปช่วยพวกเขามา เจ้าพูดจาอะไรหัดมีน้ำใจหน่อยเถอะ”

“ช่วยหรือเจ้าคะ โอ๊ย ไม่เคยพบเคยเห็น อีกนิดพวกเขาก็จะเป็นขอทานแล้วกระมัง ท่านต้องระวังให้ดีนะเจ้าคะ อย่าถูกหลอกแล้วเอาของไปให้เขาอีกล่ะเจ้าคะ” หวังกุ้ยฟางเห็นท่าทางของท่านป้าหยางก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ เมื่อวานนางเห็นกับตาว่าท่านป้าหยางถือขนมมงคลขึ้นเนินเขาไป ดูก็รู้ว่าเอาไปให้บ้านนั้น

หากเป็นเมื่อก่อนท่านลุงเฉินได้ยินเช่นนี้จะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เพราะจี้จือฮวนได้เปลี่ยนไปแล้ว คนเราจะจำแต่สิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นไม่ได้ ท่านลุงเฉินจึงขมวดคิ้วและเอ่ยสวนขึ้นมาทันที “พูดอะไรระวังปากเอาไว้บ้าง คนเขาไม่ได้เอาอะไรจากเรา กลับกันยังแบ่งของให้เราตั้งหลายอย่างอีกด้วย”

หวังกุ้ยฟางไม่เชื่อ “พวกเขาน่ะหรือ พวกเขาจะให้อะไรได้”

ท่านป้าหยางรู้ว่านางต้องไม่เชื่อ จึงเปิดตะกร้าออกแล้วเอ่ยขึ้นมา “เจ้าดูเอาเองสิ เมื่อวานนางยังเอาไก่กับอั่งเปาให้ข้าด้วย วันนี้ก็ยังแบ่งฟักที่นางไปแลกมาจากในตำบลให้อีก แต่พูดกับเจ้าไปก็คงไม่มีประโยชน์อันใด ตาเฒ่าพวกเราไปกันเถอะ”

หวังกุ้ยฟางนิ่งงันไป

จริงหรือนี่ ให้ไก่อย่างนั้นหรือ? นั่นใช่ของที่จะแบ่งให้กันง่าย ๆ หรือ?

เมื่อเห็นท่านป้าหยางเดินไปไกลแล้ว หวังกุ้ยฟางจึงกลอกตามองบน ก่อนจะเอ่ยกับเฉินเย่าจง “อย่าไปฟังที่พวกเขาพูดจาเหลวไหล คงแก่จนเลอะเลือนไปหมดแล้ว”

เฉินเย่าจงมีท่าทางสับสนเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่คำพูดเลอะเลือนนะขอรับ วันนี้สตรีอัปลักษณ์นั่นยังพาเผยถังอินไปที่ร้านหนังสือด้วย แถมยังซื้อพู่กัน, แท่งหมึก, กระดาษ, และที่ฝนหมึกด้วย โดยจ่ายไปหนึ่งตำลึงเต็ม ๆ เลยนะขอรับ”

หวังกุ้ยฟางยืนนิ่ง “เจ้าไม่ได้ดูผิดไปใช่หรือไม่ พวกเขาคงไม่ได้ขโมยของหรอกกระมัง?”

เฉินเย่าจงก็คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเอาเงินมาจากที่ไหนกัน?

หวังกุ้ยฟางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ประเดี๋ยวนางจะต้องให้คนไปถามว่าบ้านใครมีของหายไปหรือไม่ แล้วค่อยไปพังบ้านหลังนั้นซะ!

“วันนี้หลี่เจิ้งมาหรือยังขอรับ?” เฉินเย่าจงรู้นิสัยของแม่ตัวเองดี มั่นใจว่าอีกวันสองวันพวกจี้จือฮวนต้องโดนหาเรื่องแน่ จึงเปลี่ยนเรื่องและถามถึงสำนักศึกษาแทน

“ยังเลย เขาบอกว่าสำนักศึกษาชิงอวิ๋นยังไม่แจ้งมา แต่เจ้าวางใจเถอะ หมู่บ้านของเรานอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครไปเรียนได้อีก เจ้าน่ะ เชิดหน้าชูตาให้แม่ไม่น้อย หากได้เป็นจอหงวนแม่เองก็จะได้สบายไปด้วย”

วันต่อมาจี้จือฮวนตื่นแต่เช้า เดิมคิดว่าเด็กทั้งสามน่าจะยังนอนกันอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าอาชิงจะกำลังต้มน้ำอยู่ในครัว ส่วนอาอินก็กำลังช่วยเก็บของ ทั้งสองคนเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว ใบหน้าที่เดิมดูดีอยู่แล้วก็ยิ่งดูดีมากขึ้นไปอีก

อาชิงยืนอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก เมื่อเห็นจี้จือฮวนออกมาแล้ว ก็วิ่งดุกดิกลงมา “ท่านแม่ ท่านจะล้างหน้าหรือไม่ขอรับ อาชิงต้มน้ำร้อนไว้ให้แล้วขอรับ”

“ทำไมไม่นอนต่ออีกหน่อยล่ะ ฟ้ายังไม่สางเลย” จี้จือฮวนใจอ่อนยวบ แม้จะไม่ได้หวังให้เด็กทั้งสามคนยอมรับนางในทันทีทันใด และอยู่กับนางแบบสันติ แต่ว่าอาชิงน้อยก็มักจะทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้ง

อาชิงเงยหน้าขึ้น พลางก้าวไปยืนอยู่ข้างกายนาง ก่อนจะจับมือนางอย่างระมัดระวัง เมื่อพบว่าจี้จือฮวนไม่ได้โกรธ ก็ยิ้มจนเผยให้เห็นฟันซี่เล็ก ๆ พลางกล่าวออดอ้อนออกมา “อาชิงรู้ว่าวันนี้ท่านแม่กับพี่หญิงต้องไปขายของ อาชิงยังเด็ก แรงก็ไม่เยอะเท่าพี่หญิง ทำได้แค่ต้มน้ำ แต่อาชิงเป็นชายชาตรีน้อยแล้ว ต้องช่วยที่บ้านทำงาน ดังนั้นอาชิงจะรีบโตไว ๆ นะขอรับ!”

จี้จือฮวนฟังแล้วรู้สึกขบขัน จึงลูบผมที่อ่อนนุ่มของเขา “ได้ ๆ ๆ ชายชาตรีน้อย”

จี้จือฮวนล้างหน้าเสร็จก็เข้าไปในครัวเพื่อเตรียมของที่จะทำเจียนปิ่งกั่วจือขาย อาอินให้อาชิงคอยดูไฟให้ จากนั้นก็ไปยืนบนเก้าอี้ที่ข้างเตา แต่ก็ยังถามออกมาด้วยความไม่แน่ใจ “ข้าดูได้หรือไม่?”

“ได้”

อาอินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อวานพวกท่านป้าหยางมาที่บ้าน จึงไม่สามารถทำเกลือได้ แต่วันนี้ได้เรียนรู้อะไรอย่างอื่นบ้างก็ยังดี

การผสมแป้งกับการทอดปาท่องโก๋ล้วนเป็นเรื่องง่าย ที่สำคัญที่สุดก็คือการเตรียมซอส หลังจากจี้จือฮวนชิมแล้วก็ให้อาอินลองปรุงเอง ก่อนจะหมุนกายกลับไปที่ห้องเล็ก พลางหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมา แล้วเข้าไปในห้องใหญ่

น้อง ๆ ต่างก็ตื่นกันหมดแล้ว เผยจี้ฉือเองจึงนอนไม่หลับอีก หลังจากล้างหน้าเสร็จแล้ว เขาก็นั่งพิงอยู่ข้างเตียงและอ่านหนังสือ นานแล้วที่ไม่ได้จับหนังสือ ตอนนี้เขาไม่อยากพลาดอะไรไปอีกแม้เพียงอึดใจเดียว

ตอนที่จี้จือฮวนเดินเข้ามา เผยจี้ฉือรีบปิดหนังสือลงและแอบเอาไว้ทางด้านหลังโดยไม่รู้ตัว ความกลัวในแววตาของเขาไม่เคยจางหายไป

“ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนการอ่านหนังสือของเจ้า แต่ช่วยพับขากางเกงขึ้นหน่อย ข้าจะดูอาการให้ว่าเป็นอย่างไร”

เผยจี้ฉือเลิกผ้าห่มออกอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะพับขากางเกงขึ้น จี้จือฮวนแกะผ้าพันแผลออกพลางเอ่ยถามขึ้นมา “ลองรองเท้าแล้วหรือยัง พอดีหรือไม่ ถ้าไม่พอดีวันนี้ข้าจะเอากลับไปเปลี่ยน”

ขนาดเสื้อผ้ายังเลือกซื้อง่ายกว่า แม้จะใหญ่ไปบ้างแต่ก็ยังใส่ได้อีกพักใหญ่ แต่รองเท้าหากไม่พอดีก็จะลำบาก และเมื่อวานนี้นางก็แค่กะ ๆ เอา

เผยจี้ฉือรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไรนัก แต่จะปล่อยให้ความรู้สึกคลุมเครือเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่สู้พูดกันตรง ๆ ไปเลยยังจะดีเสียกว่า “จี้จือฮวน ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”

จี้จือฮวนเงยหน้าขึ้นมองเขา สายตาเช่นนั้นเผยจี้ฉือไม่เคยเห็นจากใบหน้านี้มาก่อน

สมกับที่เป็นตัวการใหญ่ในภายภาคหน้า จี้จือฮวนก็ไม่คิดที่จะมองเขาแบบเด็ก ๆ อีก ในขณะที่มือยังคงเคลื่อนไหว ทว่าน้ำเสียงกลับเรียบนิ่งอย่างมาก “ไม่ได้อยากทำอะไร นับตั้งแต่ที่ข้าแต่งงานกับพ่อเจ้า พวกเราก็ถูกผูกเอาไว้ด้วยกันแล้ว ดังนั้นเจ้าเชื่อใจข้าได้ คนอื่น ๆ บนโลกนี้อาจจะทำร้ายพวกเจ้า แต่ข้าในตอนนี้ไม่มีทางทำร้ายพวกเจ้าเด็ดขาด”

“ท่านในตอนนี้?” คำพูดของนางแฝงความนัยเอาไว้

จี้จือฮวนตรวจดูแผลของเขาเล็กน้อย ก่อนจะหยิบยาออกมาทาลงไป ยาหลิงเฉวียนก็คือยาหลิงเฉวียน แม้จะเพิ่งดื่มไปแค่หยดเดียว แต่บาดแผลก็เริ่มตกสะเก็ดแล้ว คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะกลับมาเป็นปกติ

“ช่วงนี้เจ้าอาจจะรู้สึกคัน แต่อย่าเกาแล้วก็โดนน้ำเด็ดขาด” จี้จือฮวนกำชับเขาสองประโยค จากนั้นก็หยิบกระดาษวาดภาพออกมา “วันนี้เจิ้งต้าเฉียงจะมาทำเล้าหมูกับเล้าไก่ให้พวกเราที่บ้าน เจ้าเอาสิ่งนี้ให้เขาแล้วถามเขาว่าทำได้หรือไม่ หากทำได้ นี่เป็นเงินค่ามัดจำ”

จี้จือฮวนมอบเงินถุงหนึ่งให้เขา

เผยจี้ฉือมองด้วยความประหลาดใจ ไม่เพียงประหลาดใจที่นางเอาเงินให้เขา แต่ยังต้องประหลาดใจกับกระดาษวาดภาพที่นางนำออกมาด้วย

ไม่ได้ใช้พู่กันวาดแต่เป็นถ่าน ด้านบนมีภาพวาดของบางสิ่งที่มีรูปร่างประหลาด ที่เขาเองก็ดูไม่เข้าใจ “พวกนี้คืออะไร?”

“พวกเครื่องกดบะหมี่น่ะ ข้าต้องไปขายของที่ตำบลแล้ว” จี้จือฮวนลุกขึ้นยืน ก่อนจะเก็บกล่องยาน้อย ๆ นั้นเป็นอย่างดี นางออกไปได้สักพักแล้ว ทว่าเผยจี้ฉือก็ยังคงจ้องมองภาพวาดนั้นอย่างใจลอยอยู่เป็นเวลานาน

ครั้งนี้เมื่อสองแม่ลูกมาถึงตำบล ก็พบว่าตำแหน่งที่ตั้งร้านเมื่อวานถูกคนแย่งไปแล้ว

ที่นี่ล้วนเป็นแผงที่ไม่มีการระบุชื่อ ในเมื่อที่ถูกคนแย่งไปแล้ว เช่นนั้นจึงทำได้เพียงหาที่ใหม่

จี้จือฮวนพาอาอินไปที่มุม ๆ หนึ่ง และเพิ่งจะจอดรถเข็นเสร็จ ก็มีคนเข้ามาหาทันที “ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที เมื่อวานข้ากินไม่ทัน วันนี้ข้าจึงตั้งใจมารอเจ้า เอามาหนึ่งอันเร็วเข้า”