ตอนที่ 16 หญิงอ้วนข้างบ้าน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 16 หญิงอ้วนข้างบ้าน

หลี่เถียหนิวมีความรับผิดชอบมาก กระทั่งส่งสองแม่ลูกขึ้นรถไฟเสร็จจึงค่อยกลับ

เมื่อนั่งลง หลินม่ายก็เริ่มสอดส่องมองหาใครสักคนที่พอจะช่วยเธอแบกถุงกระสอบลงจากรถไฟได้

หลังจากมองหาอยู่รอบหนึ่ง ก็ถูกใจเข้ากับชายวัยรุ่นที่ดูซื่อตรงจริงใจ แต่งกายเรียบง่ายแต่ค่อนไปทางยากจนคนหนึ่ง

เธอหันไปเอ่ยกับโต้วโต้ว “แม่จะไปพูดคุยกับคุณอาคนนั้นสักหน่อย ลูกไม่ต้องกลัวนะ”

แม้โต้วโต้วจะพยักหน้าเชื่อฟัง แต่สายตากลับจับจ้องไปที่เธอตลอดเวลา

หลินม่ายเดินมาตรงหน้าของชายหนุ่มคนนั้น แล้วเอ่ยจุดประสงค์ที่เข้าหาอย่างคร่าว ๆ 

ชายคนนั้นมองเธอ แล้วมองถุงเกาลัดสี่ถุงกระสอบที่เธอชี้ สุดท้ายก็ตอบรับอย่างเต็มใจ

แค่ให้ขนถุงกระสอบลงจากรถไฟ จากนั้นก็เดินต่อไปไม่ถึงสองช่วงถนนก็หาเงินได้สามเหมาแล้ว นับว่าคุ้มค่า

เมื่อรถไฟเข้าจอดสถานีปลายทาง ชายคนนั้นก็เดินมาแบกถุงเกาลัดใบหนึ่งตามสองแม่ลูกหลินม่ายออกไป

ตอนลงจากรถไฟ ด้วยความที่โต้วโต้วยังเด็กเกินไป ลงรถไฟคนเดียวค่อนข้างลำบาก ชายคนนั้นจึงเอื้อมมือข้างหนึ่งออกไปอุ้มหล่อนลงมาจากรถไฟ

แล้วเดินไปส่งสองแม่ลูกยังบ้านของแม่เฒ่าผางอย่างที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม

หลินม่ายพูดคำไหนคำนั้น จ่ายเงินค่าแรงให้กับเขาสามเหมา

ชายคนนั้นรับเงินค่าแรงแล้วเดินจากไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

แม่เฒ่าผางเตรียมจะเปิดแผงขายของพอดี ทันทีที่เปิดประตูออกมาก็เจอกับหลินม่าย จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างดีใจสุดขีด “มาช้ามาก  ฉันยังคิดอยู่เลยว่าวันนี้เธอคงไม่มาแล้ว” 

จากนั้นก็เปิดแผงขายให้กับหลินม่ายก่อน โดยไม่ได้สนใจแผงขายของตัวเอง

เมื่อยกเตาและหม้อออกมา พบว่าครั้งนี้หลินม่ายแบกเกาลัดมาสี่ถุง จึงบ่นพึมพำว่า “วันนี้เธอหามเกาลัดมาสองตะกร้าหาบเลยเหรอ?” 

หลินม่ายเข้าใจความหมายในประโยคที่นางถาม จึงตอบ ‘อื้อ’ คำเดียว “เพราะมันเยอะเป็นเท่าตัว เลยตั้งใจจะจ่ายให้คุณย่าวันละสองหยวนน่ะค่ะ ดีไหมคะ”

เนื่องจากเงินเพิ่มขึ้นโดยสมเหตุสมผล แม่เฒ่าผางจึงตอบรับอย่างสุขใจ

การเปิดแผงขายในครั้งที่สองมีประสบการณ์เยอะกว่าครั้งแรก แม่เฒ่าผางได้เตรียมถุงกระดาษใส่เกาลัดให้หลินม่ายไว้เรียบร้อย ส่วนหลินม่ายก็คั่วเกาลัดได้อย่างชำนาญ

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุด คนที่สัญจรไปมาไม่น้อยไปกว่าวันปีใหม่เมื่อวาน กิจการของหลินม่ายนับว่าไม่เลวนัก

คุณย่าผางพลอยได้พึ่งบารมีจากเธอไปด้วย ร้านน้ำชาของนางขายดีเพราะเธอ นางจึงยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว

ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยง เกาลัดของหลินม่ายขายไปแล้วหกส่วน แต่เธอไม่อยากพัก ตั้งใจจะขายรวดเดียวหมดแล้วค่อยกลับบ้านของคุณย่าฟาง

แต่ถึงกระนั้นก็ต้องกินข้าว หลินม่ายจึงให้โต้วโต้วหยิบข้าวปั้นชิ้นหนึ่งออกมาให้เธอ

แม้ว่าโต้วโต้วและเธอจะยืนอยู่ท่ามกลางสายลม  แต่เพราะยืนใกล้เตาไฟจึงไม่รู้สึกหนาวแต่อย่างใด

เด็กน้อยรีบหยิบข้าวปั้นชิ้นหนึ่งจากในไหกระเบื้องแล้วยื่นให้เธอ ส่วนตัวเองก็หยิบอีกชิ้นมากิน

แม่เฒ่าผางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “กินเย็น ๆ ไม่เป็นไรเหรอ?”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ”

คนยุคสมัยนี้ไม่ค่อยจู้จี้กันหรอก กินแบบเย็นก็ไม่มีปัญหา แค่ไม่ได้กินของที่ทิ้งไว้นานเกินไปก็พอ

ตอนนี้เอง หลานชายของแม่เฒ่าผางวิ่งออกมาจากข้างใน ยืนจ้องเกาลัดที่อยู่ในหม้อด้วยความอยากกิน

ในตอนที่คั่วเกาลัดเมื่อวานนั้น เขาวิ่งออกมาหลายครั้ง แต่หลินม่ายแกล้งทำเป็นไม่เห็น วันนี้ก็เหมือนกัน

เธอเช่าหม้อและเตาของย่าเขาทุกวัน ให้เงินไม่เคยขาดสักหยวนเดียว แล้วทำไมต้องให้เขากินเกาลัดด้วย

เกาลัดเหล่านี้เธอมีไว้ขาย แม้แต่โต้วโต้วยังไม่ได้กินสักลูก

เด็กชายวิ่งมาส่งเสียงฟึดฟัดใส่ย่าของเขา บอกว่าเขาอยากกินเกาลัดคั่ว แต่ถูกย่าของเขาดุจนวิ่งกลับห้อง

ผ่านไปไม่นานเขาก็วิ่งออกมาอีก ครั้งนี้ไม่ได้มาส่งเสียงฟึดฟัดใส่ย่าของเขา แต่เอ่ยถามหลินม่ายว่า “คุณน้า ให้ผมกินเกาลัดสักสองสามลูกได้ไหม?”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ถ้ายังไม่ให้อีก เกรงว่าแม่เฒ่าผางคงไม่พอใจแน่ หลินม่ายจึงหยิบเกาลัดห้าลูกให้เด็กผู้ชายไป

เพราะกลัวเขาจะได้ไม่หนำใจแล้วขอเพิ่มอีก หลินม่ายจึงเอ่ยด้วยท่าทางเสียใจว่า “เกาลัดเหล่านี้มีไว้ขายแลกเงิน ฉันให้เธอได้มากแค่นี้ ขอโทษนะ”

เธอพยายามข่มอารมณ์ให้ต่ำถึงขีดสุด กลับกลายเป็นแม่เฒ่าผางที่รู้สึกผิดเสียเอง ดุด่าหลานชายของนางฉากหนึ่ง

บอกว่าถ้าเขายังกล้าออกมาขอเกาลัดกินอีก จะส่งเขากลับไปให้พ่อแม่ของเขา เด็กชายจึงไม่กล้าโผล่หน้ามาอีก

ตอนนี้เองหญิงวัยกลางคนร่างอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่งได้เดินออกมาจากบ้านที่อยู่ถัดไป

หลินม่ายชำเลืองมองหล่อนแวบหนึ่ง ยุคสมัยนี้จะกินให้ตัวเองอ้วนขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

หญิงวัยกลางคนที่กำลังถักเสื้อไหมพรมคนนั้นสอดสายตามองพิจารณาเธอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

ใช้เท้าเตะเกาลัดที่บรรจุอยู่ในถุงกระสอบด้านหลังของหล่อน แล้วจีบปากจีบคอเอ่ยถาม “เธอไปซื้อเกาลัดพวกนี้มาจากไหน?”

แม้หลินม่ายจะไม่ชอบขี้หน้าอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า

ดั่งคำกล่าวที่ว่า ยอมล่วงเกินสุภาพบุรุษ ดีกว่าล่วงเกินคนถ่อย

ผู้หญิงคนนี้ดูภายนอกก็รู้ทันทีว่าเป็นคนถ่อย ล่วงเกินหล่อนไป หล่อนต้องวิ่งแจ้นไปรายงานกรมพาณิชย์เรื่องตนแน่นอน สุดท้ายตัวเองคงเปิดแผงขายของตรงนี้ไม่ได้อีก แล้วจะหาเงินได้ยังไง?

ยุคสมัยนี้ แม้ว่าประเทศจะไม่ได้โจมตีผู้ประกอบอาชีพค้าขายอย่างรุนแรงเหมือนก่อนหน้านั้น แต่นั่นก็สำหรับผู้ประกอบอาชีพค้าขายที่มีใบประกอบอนุญาต เมื่อต้องรับมือกับผู้ค้ารายย่อยที่ไม่มีใบอนุญาต จึงยังมีการขับไล่ ยึดของ กระทั่งปรับอยู่เนือง ๆ 

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันไปรับซื้อจากภูเขาที่อยู่ห่างไกลน่ะค่ะ”

หญิงวัยกลางคนเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ภูเขาไหน เธอบอกแบบเจาะจงหน่อยไม่ได้รึไง?”

หลินม่ายจึงจงใจบอกสถานที่ที่มีทางขึ้นเขาปราบเซียนสิบแปดโค้งออกไป “ภูเขาต้ากัวค่ะ”

ทันทีที่หญิงวัยกลางคนได้ยิน หล่อนก็ผงะ

ไม่ต้องเอ่ยถึงภูเขาต้ากัวที่ห่างไกลจากเมืองเจียงเฉิง ทั้งยังมีเส้นทางคมนาคมที่ไม่สะดวก แม้ว่าหล่อนอยากขายเกาลัดคั่วแค่ไหน แต่การจะรับซื้อมาไม่ใช่เรื่องง่าย

ดูเหมือนหญิงวัยกลางคนคิดว่าหลินม่ายตั้งใจตัดช่องทางทำเงินของหล่อน สีหน้าจึงได้ดูแย่ลงทันตา ขณะที่ถักเสื้อไหมพรมไปได้ครู่หนึ่ง หล่อนก็เอ่ยอย่างโอหังอวดดี “เฮ้ เอาเกาลัดให้ฉันสองร้อยห้าสิบกรัมสิ”

หลินม่ายยังคงยึดหลักเดิมที่ว่ายอมล่วงเกินสุภาพบุรุษดีกว่าล่วงเกินคนถ่อย แม้จะให้หล่อนไปแล้ว แต่หล่อนก็ยังได้คืบจะเอาศอก ดังนั้นก็ไม่ต้องทนกับคนแบบนี้อีกต่อไป 

จึงชั่งเกาลัด 250 กรัม พลางเอ่ยว่า “สองเหมา ขอบคุณค่ะ”

ดวงตาของหญิงวัยกลางคนเบิกกว้างเป็นไข่ห่านทันใด “ฉันมาขอเกาลัดเธอ นั่นนับว่าให้เกียรติแล้ว นี่เธอยังเรียกเงินอีก!”

หลินม่ายยังไม่ทันเอ่ยปาก แม่เฒ่าผางก็เอ่ยขึ้นก่อน “หลานสาวของฉันเปิดแผงขายเกาลัดเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ทำไมถึงจะเรียกเงินไม่ได้? อีกอย่าง ใครบอกเธอว่านั้นคือการให้เกียรติ?!”

หญิงวัยกลางคนมองแม่เฒ่าผางด้วยความสงสัย “หล่อนเป็นหลานสาวของยายเหรอ ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้าเลยล่ะ?”

แม่เฒ่าผางกลอกตามองบน “ญาติของฉันต้องรายงานเธอด้วยรึไง เมื่อก่อนเธอไม่เคยมาบ้านฉัน เธอต้องไม่เคยเห็นสิ!”

หญิงวัยกลางคนคนนั้นหลุดหัวเราะหนึ่งเสียง “ในเมื่อเป็นหลานสาวของยาย ทำไมยายถึงขี้เหนียวแบบนี้ แม้แต่อาหารเที่ยงก็ไม่หาให้หล่อนกิน หล่อนยังนั่งกินข้าวปั้นที่ห่อมาเองอยู่เลย”

หลินม่ายตอกกลับ “แม้ว่าจะเป็นหลานสาว แต่ฉันก็ไม่ได้หน้าหนาเอาเปรียบคนแก่หรอกนะ สมัยนี้ มีครอบครัวในเมืองบ้านไหนบ้างไม่จัดสรรอาหารให้ตามปริมาณ” 

หญิงวัยกลางคนไม่ใช่คนโง่ ไหนเลยจะฟังไม่ออกว่าหลินม่ายกำลังแขวะว่าหล่อนหน้าหนา จึงส่งเสียงฮึดฮัดเย็นชา แล้วเดินกลับเข้าบ้านตัวเองไป

เมื่อครู่หล่อนซ่อนตัวเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในบ้านครึ่งวัน จนมั่นใจว่าหลินม่ายและแม่เฒ่าผางไม่มีความสัมพันธ์กัน จึงได้เดินออกมาถามเธอเพราะอยากเปิดแผงขายเกาลัดด้วย คาดไม่ถึงว่าเกาลัดนั้นจะรับซื้อได้ยากขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้จึงยกเลิกความคิดไป

ต่อจากนั้น หล่อนตั้งใจจะมาเอาเปรียบหลินม่ายสักเล็กน้อย

แต่เมื่อเห็นแม่เฒ่าผางปกป้องเธอ เลยรู้ว่าแม่เฒ่าผางได้ผลประโยชน์จากหลินม่ายไปไม่น้อย ทั้งยังผูกปิ่นโตกันระยะยาว จึงได้ยอมแพ้ไป

ถ้าเป็นคนนอก หล่อนจะรังแกยังไงก็ได้

แต่กับแม่เฒ่าผาง หล่อนกลับไม่อยากล่วงเกิน เพราะต่างก็เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกัน ถึงตัดเส้นทางรวยของหล่อน หล่อนยังให้อภัยนางได้!

อีกอย่างแม่เฒ่าผางก็มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ดังนั้นหล่อนจึงล่วงเกินไม่ได้

หลินม่ายเต็มใจมอบผลประโยชน์ให้กับแม่เฒ่าผาง หากนางไม่ออกหน้าให้เธอ เกรงว่าพรุ่งนี้ตัวเองคงเปิดแผงที่นี่ไม่ได้

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

นี่แหละน้า ขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังเสียข้าวสาร หลินม่ายไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่จะโดนเอาเปรียบหรอกนะ

ไหหม่า(海馬)