ตอนที่ 17 หญิงหน้าไหว้หลังหลอกขวางทาง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 17 หญิงหน้าไหว้หลังหลอกขวางทาง   

แม้ว่าเกาลัดที่นำมาขายจะถูกกะเทาะเปลือกตั้งแต่ที่บ้าน ช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก แต่เนื่องจากหม้อมีไม่พอ จึงทำให้ล่าช้า

เวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายสามโมงเศษ ก็ขายหมดเกลี้ยง

หลินม่ายตั้งใจเก็บเกาลัดจำนวนครึ่งชั่งให้แม่เฒ่าผาง บอกว่าให้หลานชายของนางได้กิน

เจ้าตัวคอยออกหน้าแทนหล่อน ไม่ว่ายังไงก็ต้องขอบคุณสักหน่อย

แม่เฒ่าผางกล่าวปฏิเสธรอบหนึ่งแต่ก็รับไป

หลินม่ายเก็บเกาลัดสองสามลูกให้โต้วโต้วเช่นกัน

สองแม่ลูกช่วยกันเก็บข้าวของแล้วรีบไปขึ้นรถไฟรอบหกโมงเย็น

หากพลาดขบวนนี้แล้วก็ทำได้แค่รอรถไฟรอบสี่ทุ่ม

วันนี้หลินม่ายต้องคั่วเกาลัดเจ็ดชั่วโมงรวด ส่งผลให้แขนทั้งสองข้างเมื่อยล้าจนเกือบไร้ความรู้สึก ทั้งยังยืนทั้งวันติดต่อกันสองวัน จนขาปวดเมื่อยแทบจะไร้เรี่ยวแรง

ตกดึกเธอก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เนื่องจากแขนและขาที่ปวดร้าว ทำให้เธอต้องร้องโอดโอยอย่างอดไม่ได้

โต้วโต้วที่หลับอยู่ข้างกายได้ยินเสียงจนตกใจตื่น พลางเอ่ยถามเสียงใสแจ๋ว “แม่คะ แม่ไม่สบายตรงไหน?”

“ปวดแขน”

“หนูนวดให้แม่นะคะ” เด็กน้อยออกแรงนวดแขนข้างหนึ่งให้เธออยู่ใต้ผ้าห่ม ซึ่งทำให้เธอรู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อย

เช้าวันที่สองตอนเข้าเมือง หลินม่ายยืมหม้อใหญ่ที่ไม่ใช้แล้วจากบ้านคุณย่าฟาง

มีหม้อใหญ่ใช้คั่วเกาลัดจึงประหยัดเวลาไปไม่น้อย บ่ายสองกว่าก็ขายเกาลัดหมดเกลี้ยงแล้ว

การใช้หม้อใหญ่ยังช่วยประหยัดฟืนได้ แต่หลินม่ายกลับไม่ลดเงินที่ต้องให้แม่เฒ่าผางลงแม้แต่น้อย

แม่เฒ่าผางดีใจมาก ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ก่อนจะเอ่ยกับหลินม่ายว่า “พรุ่งนี้เอาอาหารมาด้วยนะ ฉันจะอุ่นให้ อย่ากินข้าวปั้นเย็นชืดแบบนั้นอีก”

หลินม่ายไม่ได้เกรงใจ กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่วันที่หก ในหกวันนี้ทุกอย่างราบรื่น แขนของหลินม่ายได้ปรับสภาพให้เข้ากับการใช้งานอย่างหนักหน่วงแล้ว

หกวันนี้บวกกับสองวันก่อนหน้านั้น เธอหาเงินได้ถึงสองร้อยหยวน แม้จำนวนจะเทียบเท่ากับเงินเดือนครึ่งปีของคนงานทั่วไป แต่ก็ยังน้อยเกินไป

วันนี้ หลังจากปิดร้านเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายตั้งจะไปตลาดมืดสักรอบ ซื้อคูปองเนื้อ ห้าชั่ง จากนั้นก็ซื้อเนื้อแดงหนึ่งชั่งในตลาดของรัฐ เตรียมกลับไปทอดลูกชิ้นหัวไชเท้าเพื่อทำหม้อไฟกิน

อากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้ ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการกินหม้อไฟอีกแล้ว

เมื่อมาถึงตลาดของรัฐ ก็ได้ยินคนขายเนื้อคนหนึ่งบ่นกับคนขายเนื้ออีกคนหนึ่งว่า “คนรู้จักของฉันก็จริง ๆ เลย ให้ฉันช่วยหาไส้หมูมาให้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มาเอาไปเสียที”

“มีความเป็นได้สูงว่าจะผิดคำพูด ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเบี้ยวนัดไม่มาเอาแบบนี้หรอก”

เพื่อนอาชีพเดียวกันของเขามองเขา ถ้าคนรู้จักไม่เอาแล้ว ไส้หมูชิ้นนั้นคงต้องซื้อเก็บไว้เอง

สีหน้าของคนขายเนื้อคนนั้นยิ่งดูสลดลง “ครั้งต่อไปอย่าหวังให้ฉันช่วยรับของแบบนี้อีกเลย”

ยุคสมัยนี้เครื่องในหมูและปอดหมูมีแค่คนงานในโรงงานเนื้อสัตว์เท่านั้นที่ขายได้ ซึ่งคนทั่วไปหาซื้อไม่ได้

คนขายเนื้อในตลาดของรัฐก็เป็นคนงานในโรงงานเนื้อสัตว์เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงซื้อได้ ไม่เพียงซื้อได้เท่านั้น ยังได้ในราคาที่ต่ำกว่าอีกด้วย

หลินม่ายเกิดความหวั่นไหวในใจ ถามคนขายเนื้อคนนั้นว่า “คุณขายไส้หมูที่คนรู้จักคุณไม่เอาแล้วให้ฉันได้ไหมคะ?”

คนขายหมูคนนั้นพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นทันที “ได้สิ”

หลินม่ายถามไปว่าราคาเท่าไร

เมื่อขายของที่อยู่ในมือออก คนขายเนื้อคนนั้นก็ร้องโห่ด้วยความดีใจ เพราะเหตุนี้จึงไม่ได้ตั้งราคามั่วซั่ว เขาขายไส้หมูแค่สามเหมาต่อชั่ง และยังไม่เอาคูปองเนื้อด้วย

หลินม่ายไม่เพียงแต่จะซื้อไส้หมูเหล่านั้นได้ทั้งหมดแล้ว ยังซื้อกระดูกหมูได้อีกสองสามชิ้น

กระดูกหมูถูกถลกเนื้อจนสะอาด บนนั้นแทบจะไม่มีเศษเนื้อติดอยู่เลย แม้จะขายแค่สองเหมาต่อชั่งและไม่เอาคูปองเนื้อ แต่น้อยมากที่จะมีคนซื้อ

คนในยุคสมัยนี้ชอบกินเนื้อเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ชอบซดน้ำแกง

แต่หลินม่ายชอบซดน้ำแกงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำแกงที่เคี่ยวจากกระดูกหมู มันช่างหอมยวนใจทีเดียว

หลังจากซื้อวัตถุดิบเรียบร้อย สองแม่ลูกก็จากไป

ระหว่างที่นั่งรถไฟ โต้วโต้วได้จ้องเขม็งไปยังกระดูกหมูและไส้หมูที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางกระดิกเท้าดุ๊กดิ๊กไปมาอย่างมีความสุข ก่อนจะเอ่ยถามหลินม่าย “แม่คะ คืนนี้เราจะได้ซดน้ำแกงและกินเนื้อแล้วใช่ไหม?”

หลินม่ายบีบแก้มน้อย ๆ ของหล่อน “ลูกจำได้แต่เรื่องกินจริงเชียว”

โต้วโต้วยิ้มอย่างรู้สึกผิด

หลังจากลงจากรถไฟ ยังไม่ทันถึงบ้านคุณย่าฟาง หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาขวางทางหลินม่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

หลินม่ายมีความทรงจำกับหล่อนเล็กน้อย เมื่อวันก่อนระหว่างทางกลับมากับโต้วโต้ว เห็นหล่อนคว้าตัวคุณย่าฟางออกไปคุยอะไรกันไม่รู้ ซึ่งคุณย่าฟางไม่ค่อยสนใจหล่อนสักเท่าไหร่

หล่อนขวางตนทำไม? ตนก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับหล่อนเสียหน่อย

หญิงวัยกลางคนคนนั้นเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง “กลับมาแล้วเหรอ”

หลินม่ายตอบ ‘อื้อ’ ด้วยน้ำเสียงเอือมระอา จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “มีธุระอะไรคะ?”

หญิงวัยกลางคนคนนั้นชี้ไปข้างหน้า “ฉันสกุลอู๋ เธอเรียกฉันว่าน้าอู๋ก็ได้ ฉันอาศัยอยู่ข้างหน้านี่เอง เป็นมิตรที่ดีกับคุณย่าฟางของเธอด้วย”

คุณย่าฟางไม่เคยเป็นมิตรที่ดีกับหล่อน แต่หล่อนกลับหาว่าดี

หลินม่ายรีบด่วนตัดสินในใจ ว่าสกุลอู๋คนนี้เป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก

น้าอู๋จึงเอ่ยต่อ “ที่ฉันมาหาเธอก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากถามว่าเธอหอบเกาลัดมากมายขนาดนั้นไปทำอะไรในเมืองเหรอจ๊ะ?”

กับพวกหน้าไหว้หลังหลอกไม่ต้องพูดความจริงให้เปลืองน้ำลาย หลินม่ายจึงพูดโกหกไปว่า “เอาไปส่งให้โรงอาหารของรัฐค่ะ”

เธอกุเรื่องโกหกนี้ขึ้นมาเพราะอยากตัดปัญหาไม่ให้ผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนี้แบกเกาลัดไปขายในเมืองเหมือนกัน

เมืองเจียงเฉิงออกจะใหญ่ขนาดนั้น ความจริงแล้วเธอไม่ถือสาหรอกถ้าหล่อนจะแบกเกาลัดไปขายในเมืองบ้าง ต่อให้ขายบนถนนสายเดียวกับเธอก็ไม่เป็นไร

ผู้คนโดยรอบสถานีรถไฟมีมากมาย เธอคนเดียวก็คงจะกินเค้กทั้งก้อนไม่หมด

แต่เธอไม่ชอบคนที่หน้าไหว้หลังหลอก อีกทั้งคนคนนี้ก็ยังมีสกุลอู๋อีกด้วย

ในอดีตเธอถูกผู้ชายเฮงซวยอย่างอู๋เสี่ยวเจี๋ยนหลอกลวงอย่างน่าอนาถ ใช้ประโยชน์จนแทบหมดตัว เมื่อได้ยินสกุลอู๋เธอก็เลยรู้สึกรังเกียจในใจ

น้าอู๋ตะลึงงันไปชั่วขณะ “ไปส่งให้โรงอาหารของรัฐเนี่ยนะ”

จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “แล้วโรงอาหารของรัฐเอาเกาลัดไปทำอะไรล่ะ?”

“ทำอาหารไงคะ เกาลัดผัดเต้าหู้เป็นอาหารที่ราคาไม่แพงแถมอร่อยอย่างหนึ่ง”

ระหว่างที่หลินม่ายกำลังตอบคำถามผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกอยู่นั้น โต้วโต้วได้ปล่อยมือของเธอ แล้ววิ่งพลางตะโกนเรียกเสียงดัง “คุณปู่ คุณย่า คืนนี้มีเนื้อให้กินอีกแล้ว!”

สองปู่ย่ารีบวิ่งออกมาจากในบ้าน

คุณย่าฟางบ่นอุบอิบ “ซื้อเนื้ออะไรมาอีกแล้ว?”

หลินม่ายถือโอกาสนี้ทิ้งหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้น ก่อนจะส่งยิ้มให้หล่อนแล้วเดินจากไป “ไม่ได้ซื้อเนื้อ ซื้อกระดูกหมูและไส้หมูกลับมาต่างหาก ถูกมากเลยค่ะ”

คุณปู่ฟางมองหญิงหน้าไหวหลังหลอกคนนั้นแวบหนึ่ง กระทั่งเห็นหล่อนเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป จึงคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขพลางเอ่ยว่า “น้ำแกงเคี่ยวกระดูกหมูก็สดใหม่ ไส้หมูก็ทำเป็นผัดไส้หมูเหล้าแดง ไม่ได้การละ คืนนี้ฉันต้องดื่มเหล้าสักสองแก้ว เป็นการเฉลิมฉลองที่โต้วโต้วขึ้นทะเบียนบ้านได้แล้ว”

หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ขึ้นทะเบียนบ้านได้แล้วเหรอคะ”

โต้วโต้วไม่ใช่เด็กที่รับมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เป็นเด็กที่เก็บได้ในบริเวณใกล้เคียงกับรถไฟ การจะขึ้นทะเบียนบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้มีลู่ทางก็ต้องมีหลักฐานประกอบมากมายถึงจะทำได้

คุณปู่ฟางเก่งจริง ๆ บอกว่าจะจัดให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์ก็ทำได้จริง ๆ 

ทั้งหมดเดินเข้าบ้าน คุณย่าฟางนำทะเบียนบ้านมาให้กับหลินม่าย

หลินม่ายโอบโต้วโต้วมาไว้ในอ้อมกอด เปิดสมุดทะเบียนบ้าน พลิกหาหน้าเจ้าของ แล้วชี้ชื่อของตัวเองให้หล่อนดู “นี่คือแม่”

โต้วโต้วเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน แล้วมองดูตัวอักษรสองพยางค์อย่างจริงจัง แล้วเรียกด้วยเสียงเนิบช้า “แม่”

หลินม่ายเปิดไปอีกหน้าให้หล่อนดู “นี่คือลูก ชื่อของเราสองคนอยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกันแล้ว ต่อไปเราจะไม่แยกจากกันอีกตลอดชีวิต”

โต้วโต้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่รู้ว่าจะแสดงความดีใจของตัวเองออกมาอย่างไร นอกจากหันกลับไปกอดหลินม่ายและหอมเธอหลายครั้ง

หลินม่ายก็หอมหล่อนหลายครั้งเช่นกัน จากนั้นก็เก็บสมุดทะเบียนบ้าน แล้วไปล้างไส้หมู

แต่กลับถูกคุณย่าฟางผลักไปอีกด้าน “เธอผัดเกาลัดมาทั้งวันแล้ว แขนไม่ล้าหมดแล้วเหรอ ไปนั่งพักเถอะ มีฉันกับปู่ของเธอก็พอแล้ว”

หลินม่ายกลับอยากล้างไส้หมูกับพวกเขา จึงคลี่ยิ้มพลางเอ่ยว่าไม่เป้นไร

คุณย่าฟางได้แต่ล้างไส้หมูพลางเอ่ยถามว่า “สกุลอู๋คนนั้นลากเธอไปคุยอะไรกัน?”

หลินม่ายเล่าให้ฟังอย่างละเอียด

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สกุลอู๋เหมือนกันอีก เป็นญาติกับบ้านสามีเฮงซวยนั่นหรือเปล่าเนี่ย

ยินดีกับโต้วโต้วด้วยนะคะที่เป็นลูกม่ายจื่อแล้ว

ไหหม่า(海馬)