“…ที่นี่ที่ไหนเนี่ย?”

 

ฉันถูกพามาซักที่นึง ดูคล้ายกับสังเวียนการต่อสู้เลย

รายล้อมไปด้วยอัฒจันทร์นั่งชม เพดานเปิดโล่ง แสงจันทร์สาดลงมาภายใน

มีคนอยู่รอบๆ ฉันอีก 14 คน มองไปรอบข้าง ดูเหมือนจะไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกัน พูดอีกอย่างก็คือ มีอัศวิน 15 คนอยู่ที่นี่ รวมฉันด้วย

 

ใช่ พวกเราเป็นอัศวิน เราถูกจับมาในสงครามกับพวกเผ่ามารนั่น และกลายเป็นเชลยศึก

มันน่าอัปยศที่ต้องมาถูกจับตัวด้วยฝีมือของพวกเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่ไม่ได้รับความรักจากท่านมิซารี่ น่ารังเกียจจริงๆ ที่ต้องถูกเจ้าพวกนี้มาสั่งให้ทำนู่นทำนี่

โชคยังดีที่การแลกเปลี่ยนตัวเชลยสงครามกับเจ้าพวกเผ่ามารที่ถูกจับไว้ที่ดินแดนบ้านเกิดของเรากำลังจะเกิดขึ้น

ถ้าเรากลับไปถึงดินแดนบ้านเกิดของเราเมื่อไหร่ เราจะฆ่าไอ้พวกเชลยเผ่ามารพวกนั้นให้หมด แล้วให้พวกมันได้สำราญกับความทรมานซะเลย

มันไม่จำเป็นซักนิดที่พวกเราจะต้องมาเกลือกกลั้วกับเจ้าพวกนี้หรอก

 

“เฮ่ย! เจ้าพวกมาร! ออกมาดิโว่ย! เอาพวกเรามาที่นี่ คิดจะทำอะไรของพวกแกกัน ไอ้พวกเวรนี่!”

 

ผู้ชายคนนึงที่ยืนอยู่ข้างฉันตะโกนออกมา

ฉันก็เห็นด้วยกับเขานะ แต่เอาจริงๆ มันไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ได้ด้วยการตะโกนซะหน่อย

 

ฉันถูกพามาที่ที่ดูเหมือนสังเวียนการต่อสู้ ไม่รู้จุดมุ่งหมายของพวกมัน แต่พวกเราเป็นเชลยศึก เพราะงั้นพวกเราไม่มีทางมาถูกฆ่าอยู่แล้ว

ดูเหมือนจะเข้าใจได้ง่ายกว่าถ้าคิดว่าเรากำลังจะถูกปล่อยตัว

นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด

 

“…เสียงดังหนวกหูจริงๆ เลยนะครับ ขอให้อย่าส่งเสียงจ๊อกแจ๊กกันจะได้หรือเปล่า?”

 

ฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากอ้าปากค้างพลางจ้องไปที่บุคคลที่พูดออกมาเมื่อกี้นี้

 

ชายคนนั้น… ไม่สิ เจ้านี่เพศชายใช่มั้ย? อย่างน้อยเสียงก็เป็นเพศชายล่ะนะ แต่มันยากที่จะดูเอาจากลักษณะภายนอกของเจ้านี่

จากการที่เจ้านี่เป็นแค่โครงกระดูกขยับได้

มันสวมผ้าคลุมหนา ในมือถือไม้เท้ายาวอยู่ ที่สำคัญ กระดูกนั่น แทนที่จะเป็นสีขาวตามปกติ มันกลับเป็นสีดำอย่างน่าประหลาด

 

“ป- เป็นตัวตนที่ดูชั่วร้ายจริงๆ”

“เจ้าพวกนอกรีตนี่ แค่เห็นพวกแก ฉันก็รู้สึกคลื่นไส้แล้วหว่ะ”

 

คำพูดเหล่านั้นออกมาจากปากของทุกคน

แต่เจ้ากระดูกดำนั่นดูจะไม่สนใจพวกเรา ก่อนจะเดินตรงเข้ามา

มันหยุดประมาณสองสามเมตรจากพวกเรา ก่อนจะพูดชื่อของมันเอง

 

“ก่อนอื่น เป็นการดีที่ได้พบกับทุกท่านนะครับ นามของกระผมคือเซด”

“พวกฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องของแกหรอกเฟ่ย! ตอนนี้ แกหยุดเสนอหน้าเอารูปร่างน่าเกลียดของแกออกมาโชว์ให้พวกฉันต้องมามอง แล้วปล่อยพวกฉันไปซะทีสิวะ! ไอ้พวกเผ่ามารชั้นต่ำนี่!”

 

คนที่พูดออกไปนั่น ดูจะอาวุโสที่สุดในกลุ่ม และเป็นหัวหน้ากองมาก่อนด้วย

เขาต้องกลัวอยู่แน่ แต่เขากลับมั่นใจในความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะไม่ถูกฆ่ามากเลยทีเดียว

――― แต่ทันทีที่เจ้าโครงกระดูกนั่นพูดออกมา ทุกคนในห้องนั้นก็อึ้งกันไปหมด

 

“…กระผมบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ฟังที่กระผมพูดน่ะ ช่วยเงียบปากซักครู่ด้วย… กระผมคือเซด เซด เดอะ ลีช ผู้บริหารลำดับที่ 8 ของกองทัพจอมมาร และ ‘แม่ทัพแห่งกำลังพล’ ครับ”

 

ว่าไงนะ?

ผู้บริหารของกองทัพจอมมารงั้นเหรอ?

บุคลากรระดับสูงสุด 10 คนของกองทัพจอมมาร คือเจ้าพวกโง่ 10 คนที่อยู่เหนือพวกโง่เผ่ามารที่เหลือ ที่มาโจมตีพวกมนุษย์อย่างเราสินะ

น่าเจ็บใจจริงๆ ที่ต้องยอมรับ แต่ความแข็งแกร่งของเจ้าพวกนี้มันเป็นของจริง แถมพวกเราก็เทียบมันไม่ติดด้วยซ้ำ

 

“ก่อนอื่น มา 2 เรื่องที่กระผมจะนำมาแจ้งให้ มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย กระผมจะแจ้งข่าวดีให้ก่อนแล้วกัน นั่นคือไพ่ใบสำคัญของพวกเจ้า จิตใจของ [ผู้กล้า] นั้นได้พังทลายลงแล้ว พวกเจ้าเข้าใกล้การได้รับอาวุธเพื่อกวาดล้างเผ่ามารเช่นกระผมไปแล้วอีกก้าวหนึ่ง”

 

พอได้ยินแบบนั้น ฉันรู้สึกอัศจรรย์มากกว่ายินดีซะอีก

ผู้กล้านั้นคือไพ่ตายของพวกเรา เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอันสมบูรณ์

ผู้กล้ารุ่นปัจจุบันนี้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น แต่เพื่อให้การทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุดแล้ว การทำลายจิตใจก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสามารถทำหน้าที่เป็นอาวุธมีชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เรื่องนี้เป็นหัวข้อที่รู้กันแค่ระดับสูงในกองทัพและอัศวินเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หรือพูดอีกอย่างก็คือ ไม่มีทางที่เรื่องนี้จะมาถึงหูของพวกเผ่ามารได้

 

แล้ว… พวกมันรู้เรื่องผู้กล้าได้ยังไงกัน?

ฉันคิดอะไรไปเรื่องเปื่อย จนกระทั่งเจ้านั่นพูดเรื่องต่อไปออกมา

 

“และสำหรับข่าวร้าย ดูเหมือนพวกระดับสูงในหมู่มนุษย์จะตัดหางปล่อยวัดพวกเจ้าแล้ว บรรดาพี่น้องของเราที่ถูกจับเป็นเชลยศึกไปโดยพวกมนุษย์ถูกสังหารไม่เหลือ แม้แต่คนเดียว ดังนั้น การเจรจาจึงเป็นอันยกเลิก ไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องไว้ชีวิตพวกเจ้าไว้อีกต่อไป”

“……ฮะ?”

 

ทุกอย่างที่ฉันคิดอยู่ในหัวถูกเป่ากระจายหายไปหมด

การเจรจาถูกยกเลิก ไม่มีเหตุผลที่ต้องไว้ชีวิต ดินแดนบ้านเกิดหักหลังพวกเรางั้นเหรอ?

พวกเราเป็นพวกพ้องที่เสี่ยงชีวิตต่อสู้ร่วมกันเพื่อประโยชน์แด่ท่านมิซารี่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?

 

“แกไม่มีสิทธิ์มาพูดแบบนั้นนะเว้ย! บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเราจะทอดทิ้งพวกเราได้ยังไง…”

“น่าเสียดายที่นี่คือความจริง หรือมันจะง่ายขึ้นหากกระผมพูดแบบนี้ พวกเจ้าและมนุษย์อีกนับพันคน กับผู้กล้าที่ฆ่าพวกเรานับร้อยแล้วเพิ่มเลเวลขึ้นมา พวกเขาได้ชั่งน้ำหนักเรียบร้อยแล้วยังไงล่ะครับว่าฝั่งใดมีประโยชน์สูงสุดในสงครามมากกว่ากัน”

“““!?”””

 

อย่ามาตลกน่า

ไม่มีทางหรอก จริงมั้ย…?

 

“กระผมจะบอกอะไรให้นะ เหล่าสุภาพบุรุษทั้งหลาย พวกเจ้าจะได้ตายและร่วมเข้ากับกองทัพอันเดดของกระผมยังไงล่ะ”

“หา!”

 

เป็นอันเดดงั้นเหรอ?

แค่คิดเรื่องนั้นก็น่ากลัวแล้ว ถึงฉันจะเป็นศพไปแล้ว ฉันก็รับไม่ได้ที่จะต้องมีความคิดท้าทายท่านมิซารี่นะเว่ย…

 

“….กระผมก็อยากพูดอะไรแบบนั้นอยู่นะ”

“…เอ๋?”

“ท่านจอมมาร นายเหนือหัวแห่งเรานั้น ท่านมีเมตตาไม่เหมือนกับผู้นำของพวกเจ้า ท่านให้โอกาสพวกเจ้าที่จะยังรอดชีวิตได้อยู่”

 

การแสดงสีหน้าของเจ้าเซดนี่มันมีแต่กระดูกทั้งนั้น ดูไม่ออกซักนิดว่ากำลังพูดออกมาด้วยอารมณ์ไหน แต่ไม่รู้ทำไม ฉันถึงคิดว่าเจ้านี้กำลังยิ้มเยาะอยู่

 

“พวกเจ้าทุกคนได้อาวุธของพวกเจ้าแล้วใช่มั้ย? มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย ถ้าเช่นนั้นก็มาอธิบายกฎกันเลย”

 

บรรยากาศทั้งหมดตึงเครียดในทันที

แม้ตอนนี้ ด้วยอาวุธและเกราะที่ได้คืนมาจนครบถ้วนแล้ว ฉันก็ยังสลัดความไม่สบายใจนี้ออกไปจากหัวไม่ได้เลย

ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกันแน่

 

“จากนี้ไป จะมีทหารใหม่ 1 นายจากกองทัพของเราเข้ามาที่สังเวียนนี้ ใช่ แค่ 1 นายเท่านั้น หากสามารถทำให้นางไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก หรือหนีรอดได้ครบ 5 นาที พวกเจ้าจะเป็นฝ่ายชนะ กระผมจะรวบรวมผู้รอดชีวิตทุกคนและส่งคืนสู่มาตุภูมิของพวกเจ้า อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เมอร์คิวเรียสโดยสวัสดิภาพด้วยเวทเคลื่อนย้ายอย่างแน่นอนครับ”

 

เงื่อนไขง่ายเป็นบ้า

ถึงค่าสถานะของพวกเผ่ามารจะสูงกว่าพวกเราก็จริง แต่ทหารหน้าใหม่แค่คนเดียว เจอกับพวกเรา 15 คนเนี่ยนะ? มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ

 

“หรือก็คือ หากพวกเจ้าถูกฆ่า เจ้าก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จริงๆ ต่อให้ไม่ตาย แต่แค่แพ้ในการต่อสู้ เจ้าก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เช่นกัน เพียงแต่ว่า… นางน่ะเกลียดมนุษย์เป็นอย่างมาก ดังนั้น นางคงไม่ปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ขอให้โชคดีก็แล้วกันนะ เจ้าพวกมนุษย์”

 

ฉันก็ไม่ได้อยากให้พวกเผ่ามารมาชอบอยู่แล้วล่ะ ต่อพอได้ยินว่ามันเกลียดเราก็ไม่ได้รู้สึกดีล่ะนะ

เราฆ่าพวกมัน ก็เพื่อให้โอกาสพวกมันได้ไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ต่างหาก

 

“งั้นก็ เริ่มกันได้เลย คุณหนูลีนครับ เชิญเข้ามาได้เลยครับ”

“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ คุณเซด”

 

แล้วก็มีบางอย่างโดดลงมาจากข้างบน

……เด็กผู้หญิง?

 

“…อุ๊บ- บะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! โอ่ ไม่เอาน่า นี่พวกเผ่ามารขาดคนขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย! คิดอะไรบ้าๆ อย่างการให้เด็กแบบนี้มาสู้กับพวกเราเนี่ยนะ!”

“ไอ้เราก็นึกว่าจะมีอะไรซักอย่างแปลกๆ แต่เอาเถอะ บางทีนี่พวกเผ่ามารก็ฉลาดดีนะ เอาล่ะ จัดการยัยเด็กนี่ แล้วก็กลับบ้านเกิดของเรากันดีกว่า”

“ปัดโธ่ เอาซะกังวลเก้อเลย เหวอเลยนะเนี่ย… ว่าแต่ยัยเด็กนั่นเป็นใครกันวะ? แต่ช่างเถอะ”

 

…อะไรของมันวะ?

ดูยังไงนั่นก็แค่เด็กตัวเล็กๆ ไม่ใช่หรือไง

เธอคนนั้นไม่ถืออาวุธซักชิ้น เกราะซักนิดก็ไม่มี สวมแค่กระโปรงวันพีชสีดำตัวเดียว ถ้าไม่นับตาสีแดงนั่น ดูยังไงก็เป็นแค่เด็กเผ่ามนุษย์ธรรมดาคนนึงแน่ๆ

แต่ ไม่ว่าเผ่ามารจะไร้สมองขนาดไหนก็ตาม การส่งเด็กตัวเล็กๆ คนเดียวมาสู้กับอัศวินตั้ง 15 คนก็ดูโง่เกินกว่าจะเป็นไปได้

รู้สึกไม่ดีเลย มันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง นี่ฉันพลาดอะไรที่สำคัญมากไปเหรอ…?

 

“เช่นนั้น พวกเจ้ามีเวลา 5 นาที ถ้าพร้อมแล้ว…เริ่มได้!”

 

แต่ถึงฉันจะยังรู้สึกกระวนกระวาย การต่อสู้ก็เริ่มขึ้นแล้ว

 

――― และในเวลาเดียวกันนั่น การบดขยี้ก็ได้เริ่มขึ้น

 

“….อะ……….. อา……… อาาาาา…………”

“หืมมม~ ฉันยังไม่ชินกับพลังของคืนจันทร์เพ็ญจริงๆ นั่นแหละ นึกว่าจะใช้แค่ 10 วิก็พอ แต่นี่ยังเหลืออีกตั้งคนนึงแน่ะ”

 

เวลาผ่านไปประมาณ 10.5 วินาทีนับจากการเริ่มต้นการต่อสู้

ตอนนี้ ฉันนอนอยู่ท่ามกลางทะเลเลือด

ตรงหน้าฉัน… ทุกคนตรงนั้นถูกฆ่าจากน้ำมือของสัตว์ประหลาดที่สวมคราบของเด็กสาวตัวเล็กนั่น

แค่หาศพที่สมบูรณ์อยู่ก็ยากแล้ว บางคนก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ หรือโดนเป่าหายไปจนไม่เหลือร่องรอย

 

วินาทีแรกของการต่อสู้ อัศวินคนที่พุ่งเข้าหาสัตว์ประหลาดนั่นก่อนใครถูกซัด ร่างกายตั้งแต่คอขึ้นไปของเขาหายไป และตายในทันที

แล้วอัศวินคนที่อยู่ใกล้ๆ กันนั่นโดนพุ่งเข้าใส่ และถูกบิดคอก่อนจะทันได้เหวี่ยงแขนด้วยซ้ำ นั่นแหละที่ทำให้เราเข้าใจถึงความต่างของพลังได้ในที่สุด

แต่มันก็สายไปแล้ว หัวหน้าหน่วยที่คิดจะวิ่งหนีไปคนแรกก็ถูกเตะเข้าที่สีข้าง ก่อนที่แรงของเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นจะทำให้เขาระเบิดร่างเขาออกเป็นเสี่ยงๆ

จากนั้น พวกเราทีละคน ทีละคน ต่างก็ทยอยถูกฆ่าไปในเวลาไม่ถึง 1 วินาที จนตอนนี้เหลือแค่ฉันเป็นคนสุดท้าย

คนที่พยายามจะหนี คนที่พยายามจะสู้ ทุกคนทั้งหมดล้วนถูกฆ่าตายอย่างเท่าเทียมกัน ราวกับว่าเรื่องทุกอย่างนั้นมันไม่ได้มีค่าอะไรเลย

 

“แหม แหม เป็นการแสดงที่น่าชมจริงๆ เลยครับ คุณหนูลีน กระผมเข้าใจได้เลยว่าเจ้าหญิงแห่งเผ่าแวมไพร์ภายใต้แสงจันทร์เพ็ญยามค่ำคืนเช่นนี้ไร้เทียมทานจริงๆ ครับ”

“จริงเหรอคะ? …เดี๋ยวก่อนค่ะ ไม่ ไม่ ไร้เทียมทานเหรอคะ? ฉันยังเอาชนะผู้บริหารอย่างคุณเซดหรือคุณเทียน่าไม่ได้แน่นอนค่ะ ฉันยังตามความเร็วกับพลังนี่ไม่ทันด้วยซ้ำ… โอ๊ะ ยังมีคนสุดท้ายเหลืออยู่สินะ เอาล่ะ เริ่มฆ่ากันเถอะ มาฆ่ากันเลย~♪”

“อี๊…!?”

 

ไม่เอานะ ฉันกลัวแล้ว

รู้สึกแย่ไปหมด ไม่สบายตัวเลย

ฉันมองโลกในแง่ดีเกินไป ฉันคิดว่ามันไม่มีปัญหาหรอกเพราะพวกเรามีกันเยอะขนาดนี้

แต่… ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ายัยนี่มันจะเก่งขนาดนี้!

บางส่วนในจิตใต้สำนึกของฉัน รับรู้ได้ว่าฉันไม่มีทางทำอะไรยัยนี่ได้ ยัยนี่น่ากลัวกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่เลย

 

“ด- ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ! ฉันจะบอกทุกอย่างที่รู้ให้ เพราะงั้น ขอร้องล่ะนะ ได้โปรดเถอะ……!”

 

ณ เวลานั้น ฉันลืมแม้กระทั่งจิตศรัทธาต่อท่านมิซารี่ ฉันสวดอ้อนวอนต่อฝันร้ายตรงหน้านี่

จากนั้นสองสามวินาที ฉันเห็นว่าฉันยังไม่ตาย และเห็นประกายความหวังเล็กๆ แล้ว

จากนั้น พอฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา เพราะอะไรไม่รู้ สายตาฉันก็ปะทะกับฝันร้ายนั่น ที่มีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ก่อนจะพูดออกมาว่า

 

“นี่ ไม่อยากตายงั้นเหรอ?”

“น- แน่นอนสิ! แน่นอนอยู่แล้ว!”

“เข้าใจแล้ว งั้นก็ ไปตายซะ~♡”

“เอ๋? อะ-……”

 

สิ่งสุดท้ายที่ฉันรู้สึกถึงคือ ขาของเด็กนั่นที่แทงเข้าที่คอของฉัน ก่อนทุกอย่างจะมืดดับไป