ตอนที่ 30 องค์ที่ 2 ผู้กล้า - เจ้าหญิงแวมไพร์และการบดขยี้

[WN] การกวาดล้างมนุษยชาติของเจ้าหญิงแวมไพร์กับอดีตผู้กล้า

“อา ยินดีต้อนรับครับ คุณหนูลีน”

“ค่ะ ยินดีที่ได้พบนะคะ คุณเซด”

 

วันถัดมา หลังจากการตัดสินใจวางแผนเปลี่ยนพวกเชลยมนุษย์พวกนั้นเป็นค่าประสบการณ์ให้กับฉัน

ฉันมาพบกับคุณเซด ‘แม่ทัพแห่งกำลังพล’ ผู้บริหารลำดับที่ 8 ของกองทัพจอมมาร

คุณเทียน่ากับท่านจอมมารไม่อยู่ที่นี่ ฉันมาคนเดียวเพราะได้ยินว่าจะมีประชุมสำคัญวันนี้

 

‘แม้เราจะไปกับเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าสามารถถามเซดที่เป็นผู้รับผิดชอบได้เลย เขารับหน้าที่ควบคุมเหล่าบรรดานักโทษ และยังมีสังเวียนประลองอยู่ในพื้นที่ที่เขาดูแลอยู่ด้วย ที่สำคัญ ที่นั่นไม่มีเพดาน พรุ่งนี้เป็นคืนเดือนหงาย เงื่อนไขทุกอย่างสมบูรณ์แบบเลย’

 

แวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ได้รับความรักจากดวงจันทร์ ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องลงมา พวกเราไม่ใช่แค่ได้รับสเตตัสสูงขึ้นมาอย่างเดียว แต่ยังได้อัตราการฟื้นฟูที่เพิ่มขึ้นด้วย สายตาที่มองเห็นในความมืดได้ชัดเจนยิ่งกว่าเวลากลางวัน และความสามารถอื่นๆ อีกมาก ที่จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีกถ้าเป็นคืนจันทร์เพ็ญ

 

…วันนั้น วันที่หมู่บ้านแวมไพร์ถูกทำลาย

ถ้านั่นเป็นคืนจันทร์เพ็ญล่ะก็ เจ้าพวกมนุษย์ถูกพวกเราเชือดทิ้งไม่เหลือแน่ ฉันไม่คิดว่าจะนอยน์หรืออีดิธจาก [12 อัครสาวก] นั่นจะชนะพวกเราได้หรอก ต่อให้มันอาจจะเป็นศึกหนักก็ตาม

เพราะแบบนั้นแหละ ฉันเลยคิดว่าพวกมันคงถูกเตือนเรื่องนี้มาแล้ว มันถึงได้เลือกมาสู้กลางแดดจัดแบบนั้น

 

“…เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ คุณหนูลีน? สีหน้าน่าหวาดกลัวเชียวนะครับ”

 

…โอ๊ะ

ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไปเหตุการณ์วันนั้น ความโกรธก็ไหลทะลักออกมาทุกทีเลย

ตั้งแต่วันนั้นมา ฉันจะไม่มีทางลืมความแค้นที่มีต่อพวกมนุษย์ไปแม้แต่วินาทีเดียวแน่

 

“ไม่ค่ะ ไม่มีอะไรหรอก ขอโทษด้วยนะคะ”

“งั้นเหรอครับ กระผมก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น คนของกระผมกำลังเตรียมพวกนักโทษอยู่ ดังนั้นขอให้รอสักครู่หนึ่งนะครับ โอ้ เข้ามาได้เลยนะครับ”

 

สังเวียนที่ฉันเข้ามาตามที่ได้รับอนุญาตแล้วนั้น ดูเหมือนสนามประลองมาตรฐานที่เห็นได้บ่อยๆ ในการ์ตูน

เคยได้ยินว่า ที่โลกเดิมนั่น มีสถานที่ที่ชื่อ ‘โคลอสเซียม’ ที่จะมีการนำทาสกับนักโทษมาฆ่ากันภายในเวทีประลองด้วย แต่ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าข้างในโคลอสเซียมจะมีหน้าตาเป็นยังไง

 

“ถ้าเช่นนั้น… เป็นการรายงานเบื้องต้น วันนี้ จะมีมนุษย์ 15 คนเข้าต่อสู้กับท่านนะครับ”

“โอ๊ะ นี่เราไม่ได้จัดการให้หมดในวันนี้วันเดียวสินะคะ?”

“ใช่ครับ การฝึกนี้เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ภาคสนาม ไม่สำคัญว่าอัศวินพวกนั้นจะมีมากี่คน พวกนั้นก็ไม่สามารถเอาชนะท่านที่ได้รับการอวยพรจากดวงจันทร์ในคืนจันทร์เพ็ญได้หรอกครับ เพราะเหตุนั้น เราจึงกำหนดจำนวนนักโทษที่จะกำจัดในแต่ละวัน และฆ่าพวกมันตามจำนวนนั้นๆ เพื่อให้ท่านได้ทำการฝึกในระยะยาวได้ครับ”

 

ตอนนี้ฉันอยู่ที่เลเวล 10 แล้ว และความสามารถของฉันในคืนจันทร์เพ็ญ จะมีสเตตัสทุกค่าเกิน 4,000 รวมกับผลของ [ผู้ชำระแค้น] จะเพิ่มสเตตัสของฉันขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อต่อสู้กับพวกมนุษย์ ไม่สำคัญหรอกว่าไอ้พวกเหลือบริ้นจะรวมฝูงกันใหญ่แค่ไหน ฉันก็ฆ่าพวกมันทั้งหมดได้พริบตาด้วยซ้ำ

ในชาติก่อนของฉัน มีคนเคยบอกว่าจำนวนกำลังพลคือกุญแจสำคัญของชัยชนะในสงคราม แต่ในโลกนี้ที่มีความต่างชั้นกันของสเตตัสอยู่ด้วย คุณภาพย่อมสำคัญกว่าปริมาณ

ไม่เกี่ยงเลยว่าฝั่งนั้นจะมีคนมากแค่ไหน ขอแค่เราแข็งแกร่งให้เหนือกว่าพวกมันหลายเท่าก็พอ… เหตุผลก็คือ มันไม่เกี่ยวเลยว่าอีกฝั่งมันจะมีคนมามากขนาดไหน ต่อหน้าผู้บริหารของกองทัพจอมมาร หรือ ถึงฉันเกลียดที่ต้องยอมรับก็เถอะ แต่ต่อหน้าของพวก [12 อัครสาวก] ก็เหมือนกัน ต่อหน้าคนที่แข็งแกร่งขนาดนั้น พวกอ่อนแอก็ไม่ต่างอะไรกับกระสอบทราย

และในคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงแบบนี้ ฉันก็เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งเหมือนกัน

 

“เข้าใจแล้วค่ะ พวกเราจะมีพลังลดลงเรื่อยๆ จากคืนจันทร์เพ็ญ และฉันต้องเอาชนะศัตรูให้ได้เรื่อยๆ จนถึงคืนจันทร์ดับสินะคะ”

“นั่นคือสิ่งที่กระผมกำลังจะบอกเลยล่ะครับ”

 

ฉันชอบไอเดียนี่นะ พ่อเคยบอกฉันว่าการฝึกฝนร่างกายสำคัญกับพวกเราแวมไพร์เพราะถ้าเราไม่คุ้นเคยกับการเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาของความสามารถทางร่างกายแล้วล่ะก็ หากตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เราก็จะไม่สามารถฟื้นตัวได้ทัน

 

ผ่านไปซักพัก พวกมนุษย์ก็ออกมายืนในสังเวียนนั่น คุณเซดก็ออกไปรับเจ้าพวกนั้น

น่าสนใจดีนะ เพราะแวมไพร์มีประสาทสัมผัสเป็นเลิศ ฉันก็เลยได้ยินทุกคำที่พวกเขาพูดกัน

ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือสีหน้าของเจ้าพวกมนุษย์นั่น ตอนแรกก็สีหน้าดี๊ด๊าตื่นเต้นดีใจกันว่าพวกมันจะไม่ถูกฆ่า แต่แล้วหน้าพวกมันก็ค่อยๆ ซีดลงเรื่อยๆ พอได้ยินกับเรื่องที่คุณเซดพูดออกมานั่น บางคนก็หน้าซีดจนน้ำตาคลอเบ้า มันทำให้ฉันรู้สึกดีสุดๆ เลยล่ะ

 

คุณเซดพูดต่อมาจนถึงการอธิบายกฎของการต่อสู้นี้

แหม คุณเซดนี่ก็หยาบคายจังนะคะ ไปบอกว่าท่านจอมมารมีเมตตาเนี่ย

ก็ถูกหรอกค่ะ แต่เมตตากับเผ่ามารเรานะ ไม่ใช่กับเจ้าพวกมนุษย์นั่น

 

“งั้นก็ เริ่มกันได้เลย คุณหนูลีนครับ เชิญเข้ามาได้เลยครับ”

 

โอ้ ไปได้แล้วสินะ?

 

“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ คุณเซด”

 

งั้นก็ มาเริ่มเกมล่ากันเลย

 

“…อุ๊บ บะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! โอ่ ไม่เอาน่า นี่พวกเผ่ามารขาดคนขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย! คิดอะไรบ้าๆ อย่างการให้เด็กแบบนี้มาสู้กับพวกเราเนี่ยนะ!”

“ไอ้เราก็นึกว่าจะมีอะไรซักอย่างแปลกๆ แต่เอาเถอะ บางทีนี่พวกเผ่ามารก็ฉลาดดีนะ เอาล่ะ จัดการยัยเด็กนี่ แล้วก็กลับบ้านเกิดของเรากันดีกว่า”

“ปัดโธ่ เอาซะกังวลเก้อเลย เหวอเลยนะเนี่ย… ว่าแต่ยัยเด็กนั่นเป็นใครกันวะ? แต่ช่างเถอะ”

 

ไม่กี่วินาทีที่ฉันเข้ามา ฉันก็ได้ยินเสียงเจ้าพวกนั้นอยากจะอัดฉันให้ตายโดยไม่ได้สนใจกฎซะแล้ว

คุณเซดคะ รีบๆ ให้สัญญาณเริ่มซะทีเถอะ อ๊า~ น่ารำคาญหูจริงๆ เลย เสียงดังๆ พวกนี้เนี่ย จริงๆ เลยนะ รีบๆ เข้ามาแล้วตายไปให้หมดนั่นแหละ ฉันจะฆ่าพวกแกเอง

 

“เช่นนั้น พวกเจ้ามีเวลา 5 นาที ถ้าพร้อมแล้ว…เริ่มได้!”

 

โอ้! ในที่สุด!

ตอนนี้ก็ มาฆ่าพวกมันกัน!

 

“โธ่เอ๊ย นี่มันน่าหงุดหงิดจริงๆ เลย เอาซะกลัวเลยเมื่อกี้… เฮ่ย พวกนาย ไม่ต้องเข้ายุ่งล่ะ เดี๋ยวฉันคนเดียวนี่แหละจะฆ่าแกเอง!”

 

หา?

โง่จริงๆ หมอนี่มันดูความแตกต่างของพลังระหว่างฉันกับมันไม่ได้หรือไง?

แค่ฟังเสียงไอ้หมอนี่ ฉันก็เครียดละ งั้นก็แค่ฆ่ามันเลยก็แล้วกัน

 

“ตายซะ ไอ้เด็กเวร! …เอ๋?”

 

เจ้านั่นพุ่งใส่ฉันแบบพวกไร้สมอง ฉันก็เลยพุ่งใส่หน้ามันแบบไม่มีลังเลเหมือนกัน หัวเจ้านั่นก็ระเบิดคาเท้าฉันเลย แหวะ โสโครกชะมัด

 

“ว้า…! อ- ไอ้เด็กนี่…”

 

ฉันอยากจะฆ่าพวกมันแบบประณีตซะหน่อย คือไม่อยากให้เลือดหรือน้ำไขสันหลังมันสาดมาเลอะเปราะตัวล่ะนะ

มาลองวิธีใหม่ๆ กันดีกว่า คราวนี้ลองตัดหัวมันทิ้งแบบที่ฉันทำที่หมู่บ้านละกัน ถ้าฉันทำเร็วพอ ฉันน่าจะฆ่ามันได้ก่อนที่เลือดจะทันมาเลอะตัวฉันนะ

 

“บ้าเอ้ย! …อั้ก!”

 

มีเสียงกระอักผสมกับการดิ้นรนนิดหน่อย แต่สุดท้าย ผิวหนังมันก็ถูกฉีกออก และหัวเจ้านี่ก็หลุดออกมาได้อย่างไม่มีปัญหา

…อ่า แย่จังเลย เลือดไหลพุ่งออกมาเต็มเลย

 

แต่มันรู้สึกดีจริงๆ เลยน่า~ …ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ใช่น้ำพุเลือดนี่นะ ความรู้สึกที่ได้ฆ่าพวกมนุษย์ต่างหากที่ดีสุดๆ เลย

รู้สึกเหมือนได้มีส่วนช่วยให้กับโลกนี้แฮะ ยังกับว่าได้กำจัดปรสิตทิ้งไปจากโลกทีละน้อย ทีละน้อย

ก็นะ ที่ฉันทำมันก็คือการฆ่าเท่านั้นเอง ไม่แปลกหรอกที่จะดูเป็นพวกผิดบาป แต่ตอนนี้ฉันมีอิสระที่จะปล่อยอารมณ์ไปตามใจนี่นา

 

“จ- เจ้าเด็กนี่… บ้าน่า…”

“ไอ้เด็กเวรนี่มันตัวอะไรวะเนี่ย!?”

 

นี่ฉันยังมีตัวอย่างทดลองอีกตั้งเยอะ มาลองหาวิธีฆ่าพวกมันแบบสะอาดๆ ดูดีกว่า

 

“อั๊กกกก!”

 

พอใช้แรงมากไปหน่อย มือฉันก็จุ่มโดนน้ำไขสันหลังซะชุ่มเลย

งั้นต่อไป ฉันลองหักคอมันดูแล้วกัน

 

“อ็อกกก!”

 

โอ๊ะ แบบนี้ก็ใช้ได้เลยนะเนี่ย ไม่มีเลือดออกมาเลย

งั้น ลองขยี้จุดสำคัญที่ร่างกายส่วนล่างของมันดูดีกว่า

 

“อ้าาาาาาาาาาาาาาากกกกกกกก!!!”

 

อุหวา~ เสียงดังหนวกหูชะมัด แถมมันไม่ได้ตายทันทีอีก ไม่เอาๆ งั้นฉันแค่กระทืบไอ้แท่งเดียวของมันอีกซะ… เยี่ยม ตายแล้วเรียบร้อย

 

เฮ้~ มีคนนึงโยนอาวุธทิ้งแล้วเปิดตูดแน่บไปแล้วนี่ ไม่รู้หรือไงว่ามันไม่มีทางให้หนีอยู่แล้วน่ะ ฉันจะลงโทษด้วยการเตะมันแบบเอาจริงซะเลยแล้วกัน

 

“อว้าาาาาา! หยุด! หยุดนะเว้ย! ช่วยด-”

 

…ว้าว ทามายะ~ ดอกไม้ไฟระเบิดแล้ว

ดูท่าฉันจะใช้แรงที่มีมากไปหน่อย ในคืนจันทร์เพ็ญแบบนี้ แถมความเร็วที่มีด้วยนี่ ฉันก็รู้สึกว่าโมเมนตัมก็มากเกินไปหน่อยด้วย

 

เอาล่ะ เอาล่ะ เหลืออีก 9 คน อยากรู้จังว่าฉันจะฆ่าพวกมันยังไงดี

…อ้อ จริงสิ ดูท่ามันจะเจ็บโคตรๆ เลยสินะเวลาผู้ชายโดนกระทืบเจ้าแท่งเดียวน่ะ เจ้านั่นยังกรีดร้องยังกับถึงวันสิ้นโลกยังไงยังงั้นเลย

ถึงจะดังหนวกหูก็เถอะ แต่มันก็ไม่เลวเลยน้า

ลองอีกซักทีดีกว่า

 

“เอ๋? …อ้าาาาาาาาากกกกก!!!”

 

โห รู้สึกเหมือนมีบางอย่างมันตื่นขึ้นในตัวฉันเลยแฮะ

แต่วิธีนี้ต้องทำตั้ง 2 ครั้งเพื่อฆ่ามันคนเดียวเหรอ? การจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยทำให้พวกมันทรมานด้วยนี่ ดูท่าจะใช้เวลามากไปหน่อย บางทีการทำลายพวกมันด้วยการโจมตีแค่ครั้งเดียวไปเลยน่าจะดีกว่า อืมมม~ หนักใจจังแฮะ

 

“อ้าาาาาาาาาาาา!! อูววววววววว!!”

“โอ้ย บ้าเอ๊ย! มันน่ารำคาญนะ!”

 

คนกำลังใช้ความคิดอยู่นะ! มากวนกันอยู่ได้! ไปตายซะ!

ฉันเลยกระทืบหัวมันให้ตายๆ ไปซะ รองเท้าฉันก็เลยเลอะไปแล้วเรียบร้อยตอนนี้

 

พอกันที มาจัดการให้หมดรวดเดียวเลยดีกว่า เหลืออีก 8 สินะ

 

บดกระดูก

 

คว้านท้อง

 

แยกร่างมันออกจากตรงเอวเป็นท่อนบนท่องล่าง

 

จับขาเหวี่ยงใส่กำแพง

 

โขกหัวลงใส่พื้น

 

ฉีกมันออกในแนวดิ่งเป็นซีกซ้ายซีกขวา

 

ฝังเขี้ยวลงในคอแล้วดูดเลือดจนหมดตัว…น่าจะใช้เวลามากไปหน่อย งั้นฉันแค่ชกเข้าที่ท้อง ขยี้อวัยวะภายในของมันแทน

 

“….อะ………..อา………อาาาาา…………”

“หืมมม~ ฉันยังไม่ชินกับพลังของคืนจันทร์เพ็ญจริงๆ นั่นแหละ นึกว่าจะใช้แค่ 10 วิก็พอ แต่นี่ยังเหลืออีกตั้งคนนึงแน่ะ”

 

พลังจากการอวยพรจากดวงจันทร์ รวมกับพลังของ [ผู้ชำระแค้น] จะแกร่งว่าที่ฉันคิดมาก แถมยังควบคุมได้ยากด้วย

เพราะฉันใช้สมองควบคุมการกระทำมากเกินไป มันเลยใช้เวลาไปตั้ง 15 วินาทีเพื่อคิดหาวิธีจะฆ่าคนที่เหลือนี่ และฉันยังหาข้อสรุปไม่ได้เลยว่าจะจัดการกับคนสุดท้ายยังไงดี

 

“แหม แหม เป็นการแสดงที่น่าชมจริงๆ เลยครับ คุณหนูลีน กระผมเข้าใจได้เลยว่าเจ้าหญิงแห่งเผ่าแวมไพร์นั้นไร้เทียมทานจริงๆ ภายใต้แสงจันทร์เพ็ญยามค่ำคืนเช่นนี้ครับ”

“จริงเหรอคะ? …เดี๋ยวก่อนค่ะ ไม่ ไม่ ไร้เทียมทานเหรอคะ? ฉันยังเอาชนะผู้บริหารอย่างคุณเซดหรือคุณเทียน่าไม่ได้แน่นอนค่ะ ฉันยังตามความเร็วกับพลังนี่ไม่ทันด้วยซ้ำ…”

 

ที่จริง ถ้าฉันไม่มาห่วงเรื่องวิธีฆ่ากับคุ้นเคยกับสเตตัสแบบนี้แล้วล่ะก็ มันน่าจะจบลงในเวลาแค่ 2 วิเท่านั้นแหละ

 

“โอ๊ะ ยังมีคนสุดท้ายเหลืออยู่สินะ เอาล่ะ เริ่มฆ่ากันเถอะ มาฆ่ากันเลย~♪”

“อี๊…!?”

 

อัศวินคนสุดท้ายนั่นขวัญหนีดีฝ่อไปอย่างสมบูรณ์

ตัวสั่นไปหมด หน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ แถมแค่ถือดาบของตัวเองก็ทำไม่ได้แล้ว

หืมมม จะฆ่ามันยังไงดีนะ? จะได้จบการล่านี่ซักที

 

“ด- ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ! ฉันจะบอกทุกอย่างที่รู้ให้ เพราะงั้น ขอร้องล่ะนะ ได้โปรดเถอะ……!”

 

จู่ๆ เจ้านั่นก็เริ่มลงไปคุกเข่า

เอ๋~ …ถึงแกจะทำแบบนั้นไป มันก็ไม่ทำให้ฉันใจอ่อนลงซักมิลเดียวล่ะนะ ฉันอยากฆ่าแกจะแย่อยู่แล้วเนี่ย

 

อ้า! รู้แล้ว บางที แทนที่จะสนใจเรื่องผลลัพธ์จากการฆ่า ฉันน่าจะลองเน้นไปที่ขั้นตอนกระบวนการในการฆ่าแทนดีกว่า พวกมันดูสิ้นหวังไปพอควรเลยตอนที่กำลังจะถูกฆ่า งั้น ลองให้ความหวัง ให้มันคิดว่าตัวเองจะรอดไปได้ ก่อนจะถีบมันลงไปสู่ความสิ้นหวังพร้อมกับความตายซะเลย

มาลองแบบนั้นดูเลยดีกว่า

 

“นี่ ไม่อยากตายงั้นเหรอ?”

“น- แน่นอนสิ! แน่นอนอยู่แล้ว!”

 

โห เยี่ยมเลย

ฉันแค่เว้นช่วงไปแป๊บเดียว ยังไม่ฆ่ามันทันที สายตามันก็ดูซาบซึ้งสุดๆ ไปเลย นี่ดูเหมือนเจ้านี่มันจะลืมเทพธิดามิซารี่ไปเลยนะเนี่ยตอนนี้

 

“เข้าใจแล้ว งั้นก็ ไปตายซะ~♡”

“เอ๋? อะ……”

 

แล้วฉันก็ฆ่ามันด้วยการจ้วงคอเป็นรูทะลุไป

ทีนี้ก็ครบทุกคนแล้ว ใช้เวลาไป 30 วินาที

ก็ ไม่เลวเลยนะ

ทีนี้ มาดูผลที่ได้กันดีกว่าเนอะ

 

“คุณหนูลีนครับ ท่านน่ะ… เออ… โหดเหี้ยมไม่ใช่เล่นเลยนะครับเนี่ย”

“โหดเหี้ยมเหรอคะ? ตั้งแต่วันที่หมู่บ้านของฉันถูกทำลาย ฉันก็โยนการให้อภัยกับพวกมนุษย์นั่นทิ้งลงหน้าผาไปแล้วล่ะค่ะ ทีนี้ ขอฉันดูหน่อยนะคะว่าขึ้นมาแค่ไหนแล้ว”

“…ช่างเป็นเด็กที่น่าพรั่นพรึงจริงๆ”

 

TN: ตอนนี้ค่อนข้างเต็มไปด้วยฉาก gore นะครับ
เอ๊ะ มาเตือนตอนท้ายนี่ก็ไม่ทันแล้วนี่นา ฮ่าฮ่าฮ่า~!