“นั่งสิ” เซี่ยเจิงชี้ไปที่เตียง พลางเรียกชวีเสี่ยวปอ “อยากดื่มอะไรไหม? ”

 

        “น้ำเปล่าก็พอ” ชวีเสี่ยวปอตอบกลับไป แล้วนั่งลงไปบนเตียงอย่างไม่ค่อยสบายใจ

 

        “ในตู้เย็นมีโซดาอยู่พอดี” ไม่นานเซี่ยเจิงก็กลับเข้ามา นอกจากน้ำแล้วในมือเขายังถือองุ่นที่ล้างเรียบร้อยแล้วมาจานหนึ่งด้วย

 

        “ขอบคุณ” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอรับมาและหมุนฝาออกแล้วเขาจึงเงยหน้าขึ้นกระดกน้ำเข้าไปครึ่งขวด “ขอบคุณลูกพี่มากที่รับผมมาอยู่ด้วย”

 

        เซี่ยเจิงยิ้มๆ แล้วคายเปลือกองุ่นออกมาจากปาก “ถ้าฉันไม่โทรไปหานาย วันนี้นายกะว่าจะไปนอนที่ไหนเหรอ”

 

        “ถ้าหมดหนทางจริงๆ ก็คงจะไปนั่งอยู่ KFC แหละมั้ง” ชวีเสี่ยวปอบิดขี้เกียจ เขารู้สึกว่าเตียงของเซี่ยเจิงนุ่มมาก พอนั่งลงไปแล้วก็ไม่อยากลุกขึ้นอีกเลย ชวีเสี่ยวปอคิดว่าตัวเองน่าจะเหนื่อยมากจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่อยากจะเอนตัวนอนลงไป

 

        “ง่วงก็นอนเถอะ” เซี่ยเจิงดูออกแล้ว

 

        “อืมงั้นก็ได้” ชวีเสี่ยวปอยืดหลังตรงขึ้นมาทันที แต่กลับหาวออกมาตามความรู้สึกจริงๆ ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า : “แล้วฉันนอนตรงไหนอ่ะ? ”

 

        “ก็ตรงนั้นแหละ” เซี่ยเจิงพูด “เดี๋ยวไปหาผ้าห่มมาให้นายใหม่อีกผืน”

 

        “แล้วนายล่ะ? ”

 

        เซี่ยเจิงชี้ไปยังด้านนอกห้อง “ฉันนอนที่โซฟา”

 

        “ไม่ได้ ไม่ได้ๆ” ชวีเสี่ยวปอยืนขึ้นกำลังจะเดินออกไปข้างนอกห้อง “ให้ฉันนอนที่โซฟาแก้ขัดไปคืนหนึ่งก็พอแล้ว”

 

        “นายนอนไม่ได้” เซี่ยเจิงยื่นแขนออกไปขวางเขาเอาไว้ “สภาพจิตใจแม่ฉันไม่ค่อยดี กลัวคนแปลกหน้า ถ้านายนอนที่โซฟาแล้วตอนเช้าแม่ฉันตื่นมาเห็นก็จะรู้สึกกลัว”

 

        “อ๋า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าข้อมูลนี้ค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องใหญ่ อะไรคือ “สภาพจิตใจไม่ดี” ? คือมีปัญหาทางด้านสภาพจิตใจอย่างนั้นเหรอ? แต่ว่าคำถามนี้ถ้าถามออกไปตรงๆ ก็คงจะอึดอัดน่าดู ชวีเสี่ยวปอจึงเลือกที่จะเงียบ

 

        “ตอนที่หย่ากับพ่อฉันแม่ถูกกระทบกระเทือนจิตใจเข้าน่ะ” เซี่ยเจิงกลับอธิบายออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงตอนที่พูดประโยคนี้ดูปกติธรรมดาราวกับพูดประโยคที่ว่า “วันนี้ฉันกินปิ้งย่างมา” อย่างไรอย่างนั้นเลย

 

          ทว่าชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม ก็ล้วนแต่จะต้องมีความเจ็บปวดเสียใจร่วมด้วยอย่างไม่มีข้อยกเว้น แต่เมื่อดูท่าทีของเซี่ยเจิงแล้ว เขาทำราวกับว่าเรื่องทุกอย่างมันเรียบร้อยดี

 

        ความจริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้จะแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมาอย่างไร แต่เขากลับรู้สึกว่าเซี่ยเจิงนั้นเก่งสุดๆ ไปเลย

 

        ถ้าให้พูดมากไปกว่านี้ก็เห็นจะเกินความจำเป็นไปสักหน่อย ดังนั้นชวีเสี่ยวปอจึงเดินไปนั่งกินองุ่นกับเซี่ยเจิง

 

        ทั้งสองคนกินองุ่นพวงใหญ่อย่างเงียบๆ จนหมด ชวีเสี่ยวปอเป็นคนที่ไม่ชอบกินผลไม้ ในตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่าในปากของเขานั้นเต็มไปด้วยรสเปรี้ยว และรู้สึกเข็ดฟันไปหมดทั้งปาก หลังจากนั้นเขาก็แลบลิ้นออกมาเลียไปที่ฟันเขี้ยวของเขา ราวกับพยายามจะพิสูจน์ว่าฟันของเขายังอยู่หรือเปล่า

 

        เซี่ยเจิงหันไปมองเขาทีหนึ่ง แล้วก็กลืนน้ำลายลงไปจนคอขยับขึ้นลง จนทำให้ต้องรีบหันไปทางอื่นทันที หลังจากนั้นเขาก็ดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดมือ พลางพูดว่า “ฉันไปหาผ้าห่มให้นายก่อนนะ” แล้วจึงเดินออกไป

 

        หลังจากนั้นไม่นานเซี่ยเจิงก็เดินหอบผ้าห่มกลับมา ชวีเสี่ยวปอมองมันไปทีหนึ่ง ปลอกผ้านวมมีลายดอกไม้สีชมพูเล็กๆ อยู่ เซี่ยเจิงนำผ้าห่มไปปูไว้บนเตียงให้จนเสร็จเรียบร้อย แล้วจึงอธิบายขึ้นว่า “มีเหลือแค่อันนี้แหละห่มแก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน ผืนอื่นมันหนาเกินไป เอ่อใช่ นายจะอาบน้ำไหม?”

 

        “แขนข้างนี้โดนน้ำไม่ได้” ชวีเสี่ยวปอเอียงคอชี้ไป “มีพลาสติกแรปอะไรแบบนี้ไหม? พันให้ฉันสักสองรอบ? ”

 

        “ได้ๆ ” เซี่ยเจิงหัวเราะออกมา “นายนี่ช่างคิดวิธีแก้ปัญหาซะจริงๆ ”

 

         “ตราบใดที่ความคิดไม่ดิ่งต่ำลง มันก็มักจะมีทางแก้ไขมากกว่าความยากลำบากเสมอ” ชวีเสี่ยวปอพูดอย่างมีความสุข “เมื่อก่อนเหลาหม่ามักจะพูดประโยคนี้อยู่ตลอด”

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอไปอาบน้ำแล้ว เซี่ยเจิงที่นั่งอยู่บนเตียงจึงถอนหายใจยาวออกมา

 

        เขาไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่นี้ชวีเสี่ยวปอสังเกตเห็นอะไรหรือเปล่า แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกไม่วางใจขึ้นมาแล้ว

 

        ถ้าหากชวีเสี่ยวปอรู้ว่า ตัวเขามองชวีเสี่ยวปอเลียฟันเขี้ยวจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ชวีเสี่ยวปอจะคิดยังไง?

 

        ฤดูใบไม้ร่วงมันไม่ได้เป็นฤดูที่จะทำให้คนรู้สึกปั่นป่วนได้ง่ายเช่นนี้ ดังนั้นเหตุการณ์แปลกประหลาดแบบนี้ที่เกือบจะถูกเห็นเข้า เซี่ยเจิงก็ไม่คาดคิดมาก่อนเช่นกัน

 

        หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อตอนเย็นกินหอยนางรมที่ย่างไม่สุกไปสองตัว? เฮ้ย ถ้ามันจะมีประสิทธิภาพขนาดนั้น ยาเม็ดเล็กๆ สีฟ้าตามร้านขายยาก็คงจะขายไม่ได้แล้วล่ะ

 

        เซี่ยเจิงถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง ราวกับว่ากำลังระงับความรู้สึกแปลกประหลาดที่สั่งสมอยู่ตรงช่องท้องส่วนล่างจนรู้สึกหน่วงนั้นให้ลดลงไป เขาพยายามลองทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ผลปรากฏว่าความรู้สึกนั้นก็ค่อยๆ สงบลงเรื่อยๆ

 

        ทว่านี่กลับไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

 

        เซี่ยเจิงขมวดคิ้ว ท่ามกลางความคิดอันยุ่งเหยิงมากมายเหล่านี้ กลับมีความคิดหนึ่งที่เด่นชัดออกมา ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

 

        คนที่เขากำลังมองอยู่ คือชวีเสี่ยวปอ

 

        หลังจากผ่านไปสิบนาที ชวีเสี่ยวปอก็เปลือยท่อนบนเดินกลับมาพร้อมกับกลิ่นหอมของสบู่และหยดน้ำตามตัวที่ไม่ได้เช็ดให้แห้ง

 

        “ผ้าขนหนูที่อยู่บนชั้น ฉันยืมใช้ไปนะ” ชวีเสี่ยวปอเกาหูไปสองสามที “ผืนที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม อันนั้นใช่ของนายไหม”

 

        “ใช่” เซี่ยเจิงยักคิ้ว

 

        ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าท่าทางยักคิ้วของเซี่ยเจิงต้องมีอะไรแฝงไว้แน่ๆ จึงถามออกไปว่า : “ที่เอาไว้เช็ดหน้า? ”

 

        “เอาไว้เช็ดเท้า” เซี่ยเจิงกลั้นขำเอาไว้จนหน้าแดงก่ำ

 

        “ไอ้บ้าเอ๊ย” ชวีเสี่ยวปอตรงเข้าไปใช้แขนข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บบีบเข้าไปที่คอของเซี่ยเจิง “นายแต่งเรื่องมาแกล้งฉันหรอกหน่า !”

 

         เซี่ยเจิงไม่ได้ขัดขืนอะไร อาจจะเป็นเพราะเขากลัวว่าถ้าดิ้นขัดขืนอาจจะไปโดนเข้ากับแผลของชวีเสี่ยวปอได้ง่าย จึงปล่อยให้เขาบีบคอตัวเองไปแบบนี้ ทั้งยังพูดด้วยรอยยิ้มออกไปว่า : “นายคิดว่าไงล่ะ”

 

        “ฉันคิดว่าใช่” ชวีเสี่ยวปอคิดว่าตัวเองเดาถูกแล้ว จึงปล่อยมือออกมา

 

        “ฉันไม่ได้โกหก” เซี่ยเจิงกระแอมไอออกมา “มันคือผืนที่ไว้เช็ดเท้าจริงๆ ”

 

        ชวีเสี่ยวปอ : “เซี่ยเจิงนายมันไม่ใช่คน !”

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอต่อยเซี่ยเจิงไปสองหมัดจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมา และแน่นอนสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาง่วงนอนแล้ว เขามองไปยังนาฬิกาหนึ่งครั้ง นึกไม่ถึงว่ารู้ตัวอีกทีตอนนี้ก็เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว ชวีเสี่ยวปอคิดว่าทันทีที่ตัวเองหลับตาลงก็อาจจะหมดสติละทางโลกไปเลยก็เป็นได้

 

        “นอนเถอะ” เซี่ยเจิงหอบผ้าห่มตัวเองขึ้นมา แล้วเดินไปยังหน้าประตู “เดี๋ยวปิดไฟให้? ”

 

        “ฝันดี” ชวีเสี่ยวปอล้มตัวลงนอนและหลับตาลง แล้วดึงผ้าห่มลายดอกไม้ขึ้นมาปิดท้องเอาไว้

 

        “ฝันดี” เซี่ยเจิงกดสวิตช์ไฟลง ปิดประตูแล้วจึงเดินจากไป

 

        ในขณะที่ห้องมืดลง ชวีเสี่ยวปอก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้สึกว่าการที่ตัวเองสามารถนอนหลับได้ และการที่เซี่ยเจิงจะนอนหลับไหมเป็นคนละเรื่องกัน เขานอนพลิกตัวไปมาอย่างไม่ค่อยสบายใจ จนทำให้เตียงเล็กๆ นั้นเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

 

        ในห้องนั้นมีกลิ่นอับจางๆ อยู่ คิดว่าน่าจะเป็นธรรมดาของบ้านที่เก่าเช่นนี้ ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจออกมา เขาไม่ได้คิดถึงเตียงใหญ่ในห้องนอนของเขา แต่กลับคิดว่าเซี่ยเจิงที่นอนอยู่บนโซฟาน่าจะรู้สึกไม่สบายตัวกว่าตัวเองซะอีก

 

        ในตอนที่เดินเข้าห้องมาชวีเสี่ยวปอกวาดสายตาดูไปหนึ่งครั้ง ดังนั้นเขาเลยมีภาพในหัวอยู่บ้าง มันเป็นโซฟาที่ตัวไม่ใหญ่มาก ถ้าดูจากความสูงขนาดนั้นของเซี่ยเจิงแล้ว ขาเขาน่าจะต้องยืดได้ไม่สุดจนทำให้ต้องหดคอเอาไว้แน่ๆ

 

        ชวีเสี่ยวปอนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงราวกันแผ่นแป้งนาน และในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นมานั่ง

 

         เซี่ยเจิงก็ยังไม่หลับเหมือนกัน เมื่อชวีเสี่ยวปอเปิดประตูออกไปก็เห็นเข้ากับเซี่ยเจิงที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนโซฟา จึงทำให้ใบหน้าของเขาทั้งใบถูกแสงสว่างจากจอโทรศัพท์ส่องลงมาจนหน้าดูซีดเผือด

 

        “เข้าห้องน้ำ? ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นมานั่ง

 

        “ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วจึงหยุดยืนอยู่ตรงด้านข้างของเซี่ยเจิง และก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ ผ้าห่มบนตัวของเซี่ยเจิงกว่าครึ่งตกลงไปกองอยู่กับพื้น “ฉันนอนไม่หลับอ่ะ”

 

        “ติดเตียงตัวเองเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอตบไปที่โซฟา ส่งสัญญาณให้เขานั่งลง

 

        “ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอจึงจำเป็นต้องพูดออกไปว่า : “นายกลับมานอนในห้องเถอะ? ”

 

        เซี่ยเจิงเปิดไฟฉายจากมือถือ แล้วส่องส่ายไปส่ายมาไปที่ชวีเสี่ยวปอ หลังจากนั้นจึงยิ้มพลางพูดออกไปว่า :

 

        “ทำไม นายกลัวผีเหรอ”