“ฉันไม่ได้กลัวผี” แสงที่ส่องออกมานั้นจ้าจนแยงตา ชวีเสี่ยวปอจึงยืนมือไปปิดมือถือไว้ “แต่ถ้านายยังส่องอันนี้ใส่ฉันไม่เลิก ฉันจะให้นายได้สัมผัสว่าถูกต่อยจนร้องโหยหวนเหมือนผีมันเป็นยังไง”

 

        “ยอมอ่อนให้มือหนึ่งเลย” ทันทีที่เซี่ยเจิงปิดไฟฉายลงในห้องก็ตกอยู่ในความมืด

 

        “จริงๆ นะ ฉันรู้สึกผิดมากๆ เลยที่นอนบนเตียงของนาย” ชวีเสี่ยวปอดึงมุมผ้าห่มของเซี่ยเจิง “พอหลับตาลงก็เห็นภาพนายนอนขดตัวหนาวสั่นอยู่บนโซฟาราวกับเด็กน้อย น่าสงสารสุดๆ เลยล่ะ”

 

        “จะดีกว่านี้เยอะเลยถ้านายตั้งใจเรียนวิชาภาษาและวรรณกรรม แล้วทำละครเรื่องนางเอกผู้น่าสงสารอะไรทำนองนั้นให้ฉัน” เซี่ยเจิงหัวเราะออกมาจนน้ำตาไหลแล้วลุกขึ้นยืน หลังจากนั้นเขาและชวีเสี่ยวปอก็ช่วยกันม้วนผ้าห่มเก็บเข้ามา “แล้ววินาทีถัดมาก็จะมีประธานจอมเผด็จการออกมาพูดกับฉันว่า เตียงของนายเป็นของฉันแล้ว”

 

        “ให้ตายสิ นายหยุดพูดเถอะ” ชวีเสี่ยวปอง้างมือออกไปตีเข้าที่หลังของเซี่ยเจิงเบาๆ แล้วทั้งสองคนจึงเดินเข้าห้องไป

 

        “ถ้าเรานอนด้วยกันมันจะเบียดไปหน่อย” เซี่ยเจิงวางผ้าห่มของตัวเองไว้ข้างๆ ผ้าห่มลายดอกไม้ของชวีเสี่ยวปอ “ฉันนอนดิ้น”

 

        “นอนดิ้นกว่าฉันอีกเหรอ” ชวีเสี่ยวปอโยนผ้าห่มลายดอกไม้ออกไปไว้ด้านข้าง “อย่างมากก็แค่นอนละเมอแล้วทะเลาะกันนั่นแหละ”

 

        เซี่ยเจิงนอนชิดกำแพงลงไป ชวีเสี่ยวปอปิดไฟลง หลังจากนั้นจึงดึงผ้าห่มออกแล้วขึ้นเตียงไป

 

        ที่จริงแล้วเมื่อก่อนตอนที่ซือจวิ้นมาเล่นที่บ้านก็เคยนอนค้างกับชวีเสี่ยวปอ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพียงแต่วันนี้ชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกแปลกไป เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะตัวเขาเองไม่ได้สนิทคุ้นเคยกับเซี่ยเจิงเท่าซือจวิ้น ดังนั้นแม้แต่จะพลิกตัวก็ต้องค่อยๆ ขยับทีละนิด กลัวว่าจะเสียงดังจนทำให้เซี่ยเจิงตื่น

 

        ทันทีที่เซี่ยเจิงนอนลงก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาอีกเลย คงน่าจะหลับไปแล้ว

 

        “นายค่อยๆ ขยับแบบนี้ กว่าจะพลิกตัวได้ฟ้าก็คงสว่างแล้วล่ะ” แล้วจู่ๆ เซี่ยเจิงที่หลับไปแล้วก็พูดขึ้นมา

 

        “ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอตกใจจนสะดุ้ง จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา แล้วพลิกตัวหันหน้าไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว “นายยังไม่หลับอีกเหรอ”

 

        “พยายามแล้ว” เซี่ยเจิงตะแคงข้างหันมา จึงเห็นเข้าที่ด้านหลังศีรษะ และไหล่ของชวีเสี่ยวปอที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มพอดี

 

        “เฮ้อ” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ “พรุ่งนี้นายจะทำอะไรเหรอ? ” ที่จริงแล้วเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรจะพูดแต่ก็ยังหาเรื่องพูด ถึงยังไงก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว คุยกันสักพักก็ดีกว่าจะนอนเฉยๆ เป็นไหนไหน

 

        “ตอนสายไม่ได้ทำอะไร” เซี่ยเจิงยกแขนข้างหนึ่งมารองศีรษะไว้ “ตอนบ่ายไปสอนพิเศษ”

 

        “วันเสาร์อาทิตย์นายยังต้องไปสอนด้วยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอยกตัวขึ้นมาแล้วหันหลังกลับไปมองเซี่ยเจิง

 

        “ครั้งนี้เป็นคาบทดลองสอน” เซี่ยเจิงลืมตาขึ้นมา มองไปยังสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจของชวีเสี่ยวปอ แล้วจึงอธิบายต่อว่า “ผู้ปกครองคนก่อนแนะนำมา บ้านนี้ให้เงินเยอะหนึ่งคาบให้ตั้งสองร้อยหยวน ไม่งั้นฉันก็ไม่ไปหรอก”

 

        “สองร้อยก็ไม่ถือว่าเยอะสักเท่าไหร่นะ” ชวีเสี่ยวปอนอนลงไปพลางพึมพำออกมา เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่เวินลี่หาครูสอนพิเศษมาสอนเขาที่บ้าน จ่ายเงินไปมากกว่าจำนวนนี้เยอะมาก ทว่าเวินลี่อาจจะถูกหลอกให้เสียเงินไปเปล่าๆ ก็เป็นได้ “แต่ว่า…นายรีบร้อนหาเงินไปทำไมกัน”

 

        เซี่ยเจิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงให้คำตอบที่เขาคิดว่าดูเป็นหลักปรัชญามาก

 

        “ใช้ชีวิต”

 

        ถ้าหากคำถามนี้ไม่ได้ออกมาจากปากของชวีเสี่ยวปอ เซี่ยเจิงก็คงจะตอบกลับไปว่า “ฉันคิดว่าสมองนายน่าจะมีปัญหา” ทว่าเมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ครูหัวหน้าระดับพูดกับเขาถึงเรื่องสภาพทางบ้านของชวีเสี่ยวปอ เซี่ยเจิงจึงรู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินเลยตั้งแต่เกิด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะถามคำถามนี้ออกมา

 

        “แม่ฉันต้องไปหาหมอต้องใช้เงิน กินยาก็ต้องใช้เงิน” เซี่ยเจิงอธิบายออกไปเสียงเรียบ “ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟ หน้าหนาวก็ต้องมีค่าฮีตเตอร์อีก แม่ฉันทำงานไม่ได้แล้ว ฉันเลยต้องทำเยอะหน่อย”

 

        “ขอโทษนะ” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นมานั่งด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ แม้ว่าเซี่ยเจิงจะดูนิ่งๆ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนว่าเซี่ยเจิงกำลังเปิดเผยบาดแผลให้ตัวเองดูอยู่อย่างไรอย่างนั้นเลย

 

        “นอนลงเถอะ” เซี่ยเจิงยิ้ม ไม่ได้รับคำขอโทษของเขา “แล้วนายล่ะ พรุ่งนี้จะทำอะไร? ”

 

        “ฉันก็ยังไม่รู้เลย” ชวีเสี่ยวปอพูดเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ “แต่ยังไงก็ไม่กลับบ้าน”

 

        “อยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้” เซี่ยเจิงทำเสียงจิ๊ปาก “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะแสดงฝีมืออะไรให้ดู”

 

        “อะไร? ”

 

        “นอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เอง” เซี่ยเจิงตั้งใจไม่ตอบออกไป ทั้งยังพลิกตัวหันหน้าหนีไปอีกทาง

 

        “อะไรเนี่ย !” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกถูกกระตุ้นความสงสัยขึ้นมา จึงใช้แรงตีไปที่ไหล่ของเซี่ยเจิงหนึ่งที แต่เซี่ยเจิงกลับไม่ได้สนใจทั้งยังไม่ได้พูดอะไรต่อออกมา

 

        “นี่นาย เซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปอนอนลงด้วยความโมโห “ฉันอยากจะเห็นจริงๆ เลยว่าพรุ่งนี้นายจะแสดงฝีมืออะไร”

 

 

        คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นค่ำคืนที่ชวีเสี่ยวปอนอนหลับได้อย่างสบายใจถึงเพียงนี้

 

        เพียงแต่ในกลางดึกนั้นค่อนข้างหนาว และเขาก็ฝันว่าตัวเองกำลังกอดหมีตัวใหญ่อยู่ และเขายังใช้แรงเพื่อที่จะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของมัน ในตอนแรกหมีตัวใหญ่ตัวนั้นก็ไม่ค่อยจะยอมเท่าไหร่ จึงทำให้เขาโมโหจนเตะมันไปหลายครั้ง มันถึงจะยอมเชื่อฟัง

 

        ความฝันอะไรก็ไม่รู้ไร้สาระ

 

        ชวีเสี่ยวปอมองไปที่ด้านข้างของตัวเองแล้วก็พบว่าเซี่ยเจิงลุกขึ้นไปนานแล้ว เหลือเพียงแค่ผ้าห่มที่ถูกม้วนและวางอยู่ตรงปลายเตียง ในตอนนั้นเขายังรู้สึกรางๆ ด้วยว่าเซี่ยเจิงเดินข้ามตัวเขาไป ทั้งยังเกือบจะเหยียบมือของเขาด้วย

 

        ชวีเสี่ยวปอหาวออกมา จากนั้นจึงยื่นมือไปล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากใต้หมอน

 

        สิบเอ็ดโมงแล้ว

 

        เมื่อคืนเขาตั้งค่าโทรศัพท์ให้อยู่ในโหมดปิดเสียง เวินลี่โทรมาหลายสายเขาก็ไม่ได้รับเลยสักสาย แล้วก็ยังมีข้อความอีกหลายข้อความที่ส่งมาจากซือจวิ้น ซึ่งทุกข้อความก็ล้วนแต่ถามเขาว่าทำไมถึงได้หนีออกจากบ้านไป

 

        ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะตอบกลับไปหาซือจวิ้น ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาซะก่อน

 

        “ตื่นแล้วเหรอ? ” เซี่ยเจิงเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างนั้นสวมกางเกงยีนส์ เขากำลังเดินเข้ามาพร้อมกับคาบบุหรี่ไว้ในปาก

 

        “นายสูบบุหรี่ในบ้านเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นมานั่ง

 

         “แม่ฉันออกไปแล้ว” เซี่ยเจิงเดินไปเปิดผ้าม่าน หลังจากนั้นห้องก็สว่างขึ้นมาทันที ทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย

 

        “นายทำอะไรน่ะ? ” ในตอนที่เปิดประตูเข้ามา ชวีเสี่ยวปอก็ได้กลิ่นที่ทั้งหอมทั้งหวาน เขาจึงสูดดมกลิ่นนั้นอีกสองครั้ง “เค้กเหรอ? ”

 

        “นายก็ลุกขึ้นมาดูเองสิ” เซี่ยเจิงเปิดหน้าต่างออก เพื่อระบายกลิ่นบุหรี่ที่อยู่ในห้อง แล้วหันไปยิ้มให้ชวีเสี่ยวปอก่อนจะไปยืนพิงที่โต๊ะ “เมื่อวานบอกแล้วไง ว่าจะแสดงฝีมือให้นายดู”

 

        “อุบไว้เก่งซะจริง !” ชวีเสี่ยวปอทำเสียงฮึดฮัด ถึงแม้ว่าปากจะพูดออกไปอย่างไม่ชอบใจ แต่ว่าการกระทำกลับซื่อสัตย์ยิ่งกว่า เขาสวมรองเท้าเตะแล้วจึงรีบวิ่งออกไปจากห้อง

 

        เซี่ยเจิงก็ยังคงยืนพิงที่โต๊ะและสูบบุหรี่ไปอย่างเงียบๆ ต่อมาไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงพูดว่า “สุดยอด” ดังขึ้นมาจากด้านนอก จากนั้นก็ตามมาด้วยคำว่า “นายทำเองหมดเลยเหรอ” แล้วชวีเสี่ยวปอก็ทั้งวิ่งทั้งกระโดดกลับมาตลอดทางเดิน เขาถือขนมปังที่ถูกกัดไปแล้วคำใหญ่ไว้ในมือ ปากก็พูดออกมาอย่างไม่ค่อยจริงจังว่า  “เซี่ยเจิงนายนี่ใช้ได้เลยนะเนี่ย !”

 

        แต่เซี่ยเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำชมของชวีเสี่ยวปอสักเท่าไหร่ เขากลับมองไปยังชวีเสี่ยวปอที่ใส่เพียงแค่กางเกงในตัวเดียว ขายาวๆ ทั้งสองข้างกำลังขยับเดินเข้ามา ทำให้ในใจของเขากำลังสูดหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง

 

        เมื่อวานตัวเขาเองกำลังนอนอยู่ดีๆ พอตกกลางคืนชวีเสี่ยวปอก็พึมพำออกมาว่าหนาว แล้วจากนั้นก็ขยับตัวเข้ามาแนบชิดเขาเอาไว้ ขาข้างหนึ่งของชวีเสี่ยวปอพาดลงมาตรงที่เอวของเขา ทำให้ขาของเซี่ยเจิงถูกทับจนรู้สึกชา เขาจึงอยากที่จะขยับมันสักหน่อย แต่อีกคนกลับขยับตัวเขามาแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม

 

        หรือที่เขาบอกว่านอนดิ้นจะหมายความว่าแบบนี้?

 

        แต่หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ไอ้คนไม่เต็มบาทคนนี้ดูเหมือนจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

        “นายอบขนมปังเป็นด้วยเหรอเนี่ย? ” ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอไม่ค่อยชอบกินขนมหวานสักเท่าไหร่ แต่ขนมปังและคุกกี้อันเล็กๆ ที่เซี่ยเจิงทำนั้นมันอร่อยมาก แล้วชวีเสี่ยวปอก็ถูกรสชาติของความหวานกระตุ้นให้หิวแล้วด้วย เพราะในท้องเขาไม่อะไรเลยนอกจากขนมปังที่เขาเพิ่งกินไป