“กินอีกแผ่นด้วยสิ” เซี่ยเจิงเขี่ยบุหรี่ “ยังมีอันที่ใส่วอลนัทด้วยนะ ชิมดูไหม?”

 

        “พักแป๊บนึง” ชวีเสี่ยวปอเลียนิ้วอย่างลวกๆ “ดูไม่ออกเลยจริงๆ แล้วนายเรียนมาจากใครอ่ะ? ”

 

        “ในเน็ตก็มีสูตรสำเร็จบอกอยู่ พวกบล็อกเกอร์อาหารอะไรทำนองนี้ โพสต์ทุกวันเลย” เซี่ยเจิงเห็นที่มุมปากของชวีเสี่ยวปอมีเศษขนมปังติดอยู่ จึงยื่นมืออกมาชี้ไปที่ปากตัวเองในตำแหน่งเดียวกัน เพื่อบอกเขา “ตรงนี้ๆ”

 

        “อ๋อ” ชวีเสี่ยวปอแลบลิ้นออกมาแล้วเลียเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว “งั้นนายก็ต้องเรียนรู้ก่อนที่จะทำเป็นน่ะสิ เก่งสุดๆ เลย เด็กเรียนนี่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ได้แบบนั้นออกมาเป๊ะๆ เลยนะ”

 

        “นายเยอะเย้ยฉันเหรอ? ” เซี่ยเจิงหัวเราะ แล้วก็พ่นควันบุหรี่เฮือกสุดท้ายออกมา จากนั้นจึงดับก้นบุหรี่ลง

 

        “ฉันพูดจริงๆ ” ชวีเสี่ยวปอก็หัวเราะออกมาสองครั้ง “ฉัน…” คำที่อยากจะพูดต่อถูกเสียงจากนอกหน้าต่างแทรกเข้ามาว่า “เสี่ยวเจิง”

 

        เซี่ยเจิงตอบรับกลับไปหนึ่งคำ แล้วก็หันไปพูดกับชวีเสี่ยวปอว่า  : “แม่ฉันกลับมาแล้ว”

 

        “แย่ล่ะ งั้นฉันไปใส่เสื้อก่อนนะ” ตอนนี้ชวีเสี่ยวปอเพิ่งจะรู้สึกอายขึ้นมา เขารีบกระโดดเข้าไปหยิบกางเกงจากข้างเตียงขึ้นมาใส่ พอใส่ไปได้ข้างหนึ่งถึงเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองใส่กลับด้าน จึงสบถคำหยาบออกมาแล้วเริ่มใส่ใหม่

 

        เซี่ยเจิงเห็นท่าทางรีบๆ ร้อนๆ ของเขา จึงรู้สึกว่ามันตลกมาก

 

        “อบขนมปังเหรอลูก? ” แม่ของเซี่ยเจิงผลักประตูและเดินเข้าบ้านมา “เพื่อนของลูกตื่นหรือยัง? ”

 

        “ตื่นแล้วครับ” เซี่ยเจิงมองไปที่ชวีเสี่ยวปอที่หนึ่ง แล้วตัวเขาจึงเดินออกไป “ซื้ออะไรมาบ้างครับแม่? ”

 

        “ซื้อปลามาตัวหนึ่ง” แม่ของเซี่ยเจิงยกถุงพลาสติกสีดำในมือขึ้นมา “ตอนกลางวันให้เพื่อนของลูกอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ เดี๋ยวแม่เข้าครัวเอง”

 

        “สวัสดีครับคุณป้า” แม่ของเซี่ยเจิงเพิ่งจะพูดประโยคนั้นจบ ชวีเสี่ยวปอก็พุ่งออกมาจากห้อง แล้วจากนั้นก็โค้งคำนับ “เมื่อคืนผมมาดึกไปหน่อยครับ คุณป้าหลับไปแล้ว”

 

        เซี่ยเจิงหน้าตาเหมือนแม่ของเขามาก นี่คือความรู้สึกแรกของชวีเสี่ยวปอ

 

        ดวงกับและจมูกแทบจะเหมือนกันเปี๊ยบเลย เพียงแต่ร่างกายของแม่เซี่ยเจิงนั้นดูความอ่อนระโหยโรยแรง ดวงตาไม่สดเหมือนกับเซี่ยเจิงเลยแม้แต่นิดเดียว… “แม่ของฉันสภาพจิตใจไม่ค่อยคงที่” แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็นึกถึงคำพูดที่เซี่ยเจิงพูดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาจึงรีบหันหน้าไปสบตากับเซี่ยเจิงทันที แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

 

        “สวัสดีจ้ะ” แม่ของเซี่ยเจิงต้อนรับเขาด้วยความอบอุ่น “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่แม่ได้เจอกับเพื่อนของเซี่ยเจิง ปกติแล้วเขาไม่พาเพื่อนมาที่บ้านเลย แล้วลูกชื่ออะไรล่ะ? ”

 

        “ผมชื่อชวีเสี่ยวปอครับคุณป้า แซ่ชวีที่เหมือนกับชวีหยวน คำว่าเสี่ยวที่แปลว่ารุ่งอรุณ แล้วก็คำว่าปอที่แปลว่าคลื่นโหมซัดสาด” ชวีเสียวปอพูด แล้วก็หันไปชำเลืองมองเซี่ยเจิงครั้งหนึ่ง คล้ายกับจะบอกเขาเป็นนัยๆ ว่า : “อีกห่างไกลนะเพื่อนคนนี้ คิดไม่ถึงล่ะซิว่าชื่อของฉันจะมีเกียรติสูงส่งเช่นนี้”

 

        “ความหมายดี หน้าตาก็ดี” แม่ของเซี่ยเจิงพยักหน้า “อีกเดี๋ยวก็อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ เดี๋ยวป้าจะตุ๋นปลาให้กิน”

 

        “ขอบคุณครับคุณป้า” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไป เขาคิดว่าตัวเขาน่าจะเข้าใจคำว่า “สภาพจิตใจไม่ค่อยคงที่” ผิดไป ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้คุยกับแม่ของเซี่ยเจิงสองสามประโยคนี้แล้ว เขาก็รู้สีกว่าแม่ของเซี่ยเจิงดูสบายดีมาก ไม่ได้ดูเป็นโรคอะไร

 

        แต่เวลาผ่านไปไม่นานก็ไม่รู้ว่าทำไมแม่ของเซี่ยเจิงถึงได้ออกจากบ้านไปอีก ในห้องจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคนอีกครั้ง

 

        “ปอที่แปลว่าคลื่นโหมซัดสาด” เซี่ยเจิงหยิบคุกกี้ชิ้นหนึ่งโยนเข้าปากแล้วเคี้ยว “นายอยู่ไหนเหรอถึงได้คลื่นแรงมาก”

 

        “นายยุ่งอะไรด้วย !” ชวีเสี่ยวปอยกขาขึ้นมาข้างหนึ่งทำท่าทางเหมือนจะบิน แต่ยกขึ้นมาเพียงแค่ครึ่งเดียว แล้วเดินเข้าไปข้างๆ เซี่ยเจิง จากนั้นจึงหยิบคุกกี้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “เฮ้ ฉันรู้สึกว่าแม่นายก็ดูสบายดีนะ”

 

        “ใช่ไหมล่ะ” เซี่ยเจิงพยักหน้า “ถ้าเขาเป็นแบบนี้ได้ตลอดก็คงดี แต่เมื่อไหร่ที่โรคกำเริบก็จะรุนแรงมากเลยล่ะ”

 

        “แล้วทำไมถึงกำเริบได้? ” ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิง ไม่รู้ว่าทำไม เขาแค่เพียงรู้สึกว่าตอนที่เซี่ยเจิงพูดประโยคนี้ออกมาสีหน้าเขาก็ดูเศร้าลงไปมาก แต่ท่าทีของเขากลับไม่ได้ดูเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย สมองของชวีเสี่ยวปอเลยสั่งการให้เขายื่นมือออกไป แล้วบีบแก้มของอีกฝ่ายไปหนึ่งที

 

        “โอ๊ย” เขาน่าจะมือหนักไปหน่อย เซี่ยเจิงตะโกนร้องออกมา แล้วจึงดันชวีเสี่ยวปอออกไป “นายจะบีบทำไมเนี่ย? ”

 

        “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอรีบดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็ว “น่าจะเป็นเพราะฉันเห็นหน้านายดูนิ่มแหละมั้ง”

 

        “ฉันก็เห็นว่าก้นนายดูนิ่มมากเหมือนกัน” เซี่ยเจิงขยับข้อมือ “ถ้าจะบีบจนม่วงนายก็คงจะไม่ขัดอะไรใช่ไหม”

 

        ชวีเสี่ยวปอหัวเราะเสียงดังและเดินหนีไปไกลแล้ว “ถ้าหากนายยอมรับว่าหน้าของนายนิ่มเหมือนก้นของฉัน ฉันก็ไม่มีอะไรจะขัด !”

 

        ทว่าห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มากเช่นนี้ ช่างไม่มีที่ว่างเหลือพอที่จะให้ชวีเสี่ยวปอได้แสดงลีลาเลย วิ่งรอบห้องไปเพียงรอบเดียวก็ถูกเซี่ยเจิงจับได้แล้ว เซี่ยเจิงคว้าเข้าไปที่แขนของชวีเสี่ยวปอข้างที่มีแผลจากการถูกเย็บอยู่ แต่เขาก็จับอย่างระวังมือเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเจ็บ เซี่ยเจิงไม่ได้ออกแรงเยอะมากและชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้สะบัดตัวออก

 

        “นายไม่ตอบโต้แล้วเหรอ” เซี่ยเจิงจับที่ข้อมือเขาเอาไว้

 

        “จากที่ฉันรู้จักนายนะ นายดูเหมือนจะยังพอมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะแหะๆ

 

        “นายพูดถูก” เซี่ยเจิงปล่อยมือ แต่วินาทีถัดมาเขาก็ถีบเข้าไปที่ก้นของชวีเสี่ยวปอในตอนที่ชวีเสี่ยวปอไม่ทันได้ระวังตัว ทั้งตัวของเขาจึงล้มลงไปบนโซฟา จากนั้นเขาเลยตะโกนออกไปเสียงดังว่า “ไอ้บ้าเซี่ยเจิง !”

 

        “นิ่มมากจริงๆ ด้วย” เซี่ยเจิงถ่ายทอดความรู้สึกที่เท้าของเขาไปสัมผัสโดนเมื่อครู่นี้ “สู้ต่อไปนะ มนุษยธรรมมันกินไม่ได้หรอก”

 

        “เซี่ยเจิงนายนี่มัน…” ยังไม่ทันที่จะได้พูดคำว่า เลวทรามต่ำช้า ออกมา เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องออกมามาจากด้านนอก ชวีเสี่ยวปอที่เมื่อครู่ยังคิดว่าจะถือโอกาสนี้นอนบนโซฟาสักหน่อย แต่ก็กลับถูกเสียงนั้นทำให้ตกใจกลัวจนต้องกระโดดขึ้นมา

 

        “บ้าอะไรเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอยังอยากที่พูดเล่นกับเซี่ยเจิงไปประโยคหนึ่งว่านี่มันเป็นเสียงสูงของนักร้องประสานเสียงชัดๆ ทว่าสีหน้าของเซี่ยเจิงกลับดูเปลี่ยนไป

 

        ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอเดินตามเซี่ยเจิงออกไป หน้าปากซอยก็มีคนมามุงดูไม่น้อยแล้ว

 

        แต่พอเมื่อเห็นเซี่ยเจิงเดินเข้ามา ผู้คนตรงนั้นก็พร้อมใจกันหลีกทางให้เซี่ยเจิง จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอเห็นแม่ของเซี่ยเจิงนั่งยองๆ อยู่ที่พื้น และก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เธอ เขากำลังโบกมือพลางพูดว่า “ถอยไป ถอยไปให้พ้น นี่มันเรื่องของครอบครัว” ชวีเสี่ยวปอแทบจะมองไม่เห็นว่าเซี่ยเจิงเดินเข้าไปได้อย่างไร แต่วินาทีถัดมาชายคนนั้นก็ถูกเซี่ยเจิงชนจนเซออกไปและเกือบที่จะล้มลงกับพื้น

 

        “แม่ครับ พวกเราไปกันเถอะ” เซี่ยเจิงอยากที่จะดึงแม่ให้ลุกขึ้นมา แต่เป็นเพราะว่าแม่ของเขาตัวสั่นอย่างรุนแรงทั้งยังไม่ให้ความร่วมเลยสักนิด แม้เซี่ยเจิงออกแรงอย่างมากก็ไม่สามารถฉุดแม่เขาให้ลุกขึ้นมาได้

 

        “คุณป้าครับ” ชวีเสี่ยวปอเรียกออกไป แล้วเขาก็นั่งยองๆ ลงไปตรงหน้าของเธอ หลังจากนั้นจึงเงยหน้าเพื่อส่งสัญญาณให้กับเซี่ยเจิง “ให้ฉันแบกคุณป้านะ? ”

 

        “ฉันขอดูหน่อยสิว่าคนคนนี้คือใครกัน? ” ชายคนที่เพิ่งจะถูกเซี่ยเจิงชนออกไปด้านข้างเมื่อครู่ ค่อยๆ เดินกับเข้ามาใหม่อีกครั้ง “นี่มันลูกชายฉันไม่ใช่เหรอ? นี่ ทุกคนดูสิ นี่คือลูกชายฉันเอง ลูกชายแท้ๆ ของเซี่ยรุ่ยเซิน ทุกคนว่าพวกเราสองพ่อลูกหน้าตาเหมือนกันไหม? ”

 

        คนนี้คือพ่อของเซี่ยเจิง? !

 

        ชวีเสี่ยวปอเบิกตากว้าง เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในใจของเขาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่สามารถที่จะเอาคนสำมะเลเทเมาที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มาเชื่อมโยงเข้ากับคำว่าพ่อของเซี่ยเจิงสี่คำนี้ได้เลย ทว่าเมื่อมองไปยังสายตาของเซี่ยเจิงก็ยิ่งหลุบต่ำลงเรื่อยๆ เขากำลังบีบมือตัวเองแน่น ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอจึงได้รีบยื่นมือไปกุมมือเขาทันที พลางพูดออกไปเสียงเบาว่า “พวกเราพาคุณป้ากลับบ้านกันก่อนเถอะ”

 

        ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเขากลับไม่ได้สนใจ ทั้งสองคนออกแรงดึงแม่ของเซี่ยเจิงให้ขึ้นมาอยู่บนหลังของชวีเสี่ยวปออย่างสุดกำลัง แม่ของเซี่ยเจิงตัวเบามาก ชวีเสี่ยวปอแทบจะไม่ต้องใช้แรงอะไรมากก็สามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างสบาย

 

        “ทำอะไร? ” ชายคนนั้นน่าจะรู้แล้วว่าการเข้ามาก่อกวนด้วยคำพูดเช่นนี้ไม่เป็นผล เซี่ยรุ่ยเซินจึงได้ออกมาขวางทางเขาทั้งสองเอาไว้ “เซี่ยเจิงเธอยังเป็นลูกของฉันอยู่ไหม! เห็นพ่อแท้ๆ ของตัวเองแต่กลับทำเป็นมองไม่เห็นอย่างนั้นเหรอ! ”