ตอนที่ 20 เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัย

สามีข้า คือพรานป่า

เฉินเถียนเถียนเดินตามพ่อเข้าไปในห้องครัวก่อนจะเอนตัวพิงประตูและกัดต้นหญ้าไว้ในปากก่อนจะกล่าวถาม “เห็นแล้วใช่ไหม? ในที่สุดพ่อก็เชื่อข้าสินะ”

เฉินผิงอันเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลินชวนฮวามักจะซ่อนทุกอย่างไว้ในตู้ของห้องนอนเสมอ ยังไงซะข้าวที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวในฤดูก่อนคงเหลืออยู่อีกมาก

เฉินผิงอันเปิดประตูเข้าไปในห้องก่อนจะเดินไปยังตู้ขนาดใหญ่หลังหนึ่งที่มีแม่กุญแจลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา

“หญิงผู้นี้ช่างขี้เหนียวนัก ขนาดซ่อนไว้ในห้องนอนแล้วยังจะลงกลอนไว้อีก” เฉินผิงอันบ่นอย่างทำอะไรไม่ถูกและงุนงงต่อเรื่องราวทั้งหมด จากนั้นเสียงครวญครางจากท้องของเขาก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เฉินผิงอันจึงตัดสินใจใช้ค้อนทุบแม่กุญแจออกทันที

แต่เมื่อเปิดตู้ออกเฉินผิงอันถึงกับตกตะลึง เพราะในตู้หลังนั้นไม่มีอาหารใดซ่อนอยู่เลย เนื่องจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวเพิ่งผ่านไปไม่นาน ตู้หลังนี้ควรเต็มไปด้วยข้าวสารไม่ใช่หรือ?!

แม้เฉินผิงอันจะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีนัก แต่เขาก็จัดสรรอาหารให้กับครอบครัวอย่างเพียงพออยู่เสมอ แต่ผ่านไปไม่ถึงเดือน อาหารทั้งหมดกลับเหลือเพียงน้อยนิดได้อย่างไร?

‘แม้จะมีหนูอยู่ในบ้าน แต่พวกมันจะสามารถกินอาหารทั้งหมดที่มีได้จริงหรือ? และเนื่องจากวัตถุดิบทั้งหมดถูกซ่อนอยู่ในตู้ แน่นอนว่าเฉินเถียนเถียนไม่มีทางแตะต้องได้… มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?’

เฉินผิงอันตั้งใจจะรอให้หลินชวนฮวากลับมาตอบคำถามของเรื่องทั้งหมดแต่เพราะความหิวจึงทำให้เขาต้องหาอาหารประทังชีวิตก่อน

เฉินผิงอันหยิบธัญพืชและหมูสามชั้นที่หลินชวนฮวาตั้งใจเก็บไว้ให้เฉินเฉิงเยี่ยออกมาก่อนจะส่งให้เฉินเถียนเถียนที่ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกล่าวว่า “ทำอาหารให้ข้ากินหน่อย หากเจ้ากลับกลอกหรือไม่เชื่อฟัง ข้าหักขาเจ้าแน่!”

เฉินเถียนเถียนรับข้อเสนอพร้อมกับคิดในใจ ‘ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของการสะสมอาหารเพราะข้าคงไม่สามารถขึ้นไปบนภูเขาได้ตลอดเวลาและดูเหมือนว่าการล่าสัตว์จะไม่ใช่เรื่องง่าย’

เช่นนี้นางจึงหยิบวัตถุดิบทั้งหมดและเดินเข้าห้องครัวไป โชคดีที่ยังคงหลงเหลือความทรงจำของฉันเทียนเทียนคนเก่า จึงทำให้นางพอจำวิธีการทำอาหารได้ นางเริ่มปรุงอาหารสูตรพิเศษนั้นทันที

เฉินผิงอันที่กำลังโมโหหิวกลับตกตะลึงเมื่อเห็นอาหารอันน่ารับประทานบนโต๊ะ เขามองพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ ‘ข้าเคยได้ยินมาว่าเด็กคนนี้ขี้เกียจและทำอะไรไม่เป็น… วันนี้เกิดอะไรขึ้น?’

เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาพร้อมกับความเคลือบแคลงใจ ‘หลินชวนฮวาบอกว่าเด็กคนนี้ทำอาหารไม่เป็นไม่ใช่หรือ? ทั้งยังขี้เกียจและสกปรก!’ แต่เพียงแค่มองใบหน้าอันสกปรกของเด็กสาว เฉินผิงอันก็เชื่อหลินชวนฮวาอย่างสนิทใจทันที!

แม้จะเกิดความสงสัย แต่เฉินผิงอันก็เลือกที่จะเชื่อภรรยาผู้อ่อนโยนและคอยอยู่เคียงข้างมากกว่าเด็กขี้ครอกที่เขาไม่แยแสมาหลายปีแล้ว!

แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมตกเป็นเหยื่อได้ง่ายเพราะเขาเป็นเพียงชายบ้านนอกผู้โง่เขลาที่มักจะตัดสินสิ่งต่าง ๆ ด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผลเสมอ

เฉินเถียนเถียนเคยศึกษาจิตวิทยาของอาชญากรมาก่อน จึงถือเป็นเรื่องง่ายที่จะเดาใจคนเบาปัญญาเช่นเฉินผิงอัน ดังนั้นนางจึงได่แต่ถอนหายใจยาวด้วยความรังเกียจ

เฉินเถียนเถียนเดินหันหลังพร้อมซ่อนบางอย่างไว้ในมืออย่างแนบเนียน

ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็ตระหนักได้ว่าเขาละเลยลูกสาวคนนี้มากเกินไปจึงกวักมือเรียกนางทันที

“เถียนเถียนมานั่งกินข้าวกับพ่อ!”

เฉินเถียนเถียนกลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย แม้จะรู้ว่าความรักของพ่อเป็นสิ่งที่ดีแต่แสดงออกตอนนี้ไม่สายไปหน่อยหรือ? แต่เพื่อจัดการกับหลินชวนฮวา เฉินเถียนเถียนจึงยอมก้มหัวและเดินไปนั่งอย่างฝืนใจ

“พ่อรู้ว่าพ่อเพิกเฉยต่อเจ้ามาโดยตลอด แต่เจ้าก็เอาแต่สร้างปัญหาและทะเลาะกับแม่เป็นประจำ มันไม่มากไปหน่อยหรือ?”

เฉินเถียนเถียนรู้สึกว่าตนนั้นไร้ค่าในสายตาของพ่อ จึงโพล่งออกมาด้วยความน้อยใจทันที “ใช่สิ! ข้าควรต้องเชื่อฟังแม่โดยการยอมให้ส่งข้าไปอยู่กับนายน้อยหลี่ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเป็นเหมือนกับหญิงคนก่อน ๆ ที่ถูกส่งไปแล้วหายสาบสูญหรือไม่?!”

หลังจากนางพูดจบ เฉินเถียนเถียนจึงลุกขึ้นพร้อมตบโต๊ะอย่างแรง “หากจะเรียกข้ามาเพื่อพูดเรื่องนี้… ไม่ต้องเรียก! ข้าไม่อยากฟัง! ข้าเคยเกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่งที่บ้านของตระกูลหลี่ ยิ่งข้าอดทน พ่อและแม่ก็ยิ่งข่มเหงข้า อยากให้ข้าเป็นบ้าหรืออย่างไร?!”

สิ้นเสียงเฉินเทียนเถียนสะบัดแขนเแล้วเดินออกไปทันที

เฉินผิงอันลุกขึ้นตบโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะดื้นรั้นได้ถึงเมื่อไหร่?! ข้าเคยบอกไปแล้วว่าหากเจ้าไม่เชื่อฟัง ข้าจะให้ชาวบ้านจับเจ้าถ่วงน้ำ!”

คำพูดหล่านี้ทำให้เฉินเถียนเถียนเคืองแค้นและนางพยายามคิดหาวิธีเพื่อจัดการกับสองสามีภรรยาคู่นี้ แต่ตอนนี้สำหรับผิงอันความรักระหว่างสายเลือดกลับบางเบาราวกับขนนก

เฉินเทียนเถียนจึงก้มศีรษะลงและหยุดต่อปากต่อคำ

เฉินผิงอันรู้สึกภาคภูมิใจทันที ‘นังเด็กขี้ครอกคนนี้ หยิ่งยโสและทะนงตนถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ยังหนีไม่พ้นออกพ่อเลยด้วยซ้ำ!’

“หากไม่อยากอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อ ข้าก็ขอพูดตรง ๆ! ไสหัวออกไปซะ! ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับแม่เจ้าที่ต้องรับมือกับเด็กเถียงคำไม่ตกฟากเช่นนี้!”

มันคือคำพูดที่เชิญเฉินเถียนเถียนไม่ต้องการได้ยินมากที่สุด เพราะสำหรับเฉินผิงอัน หลินชวนฮวาคือหญิงที่ยอดเยี่ยม แม้เฉินเถียนเถียนจะพยายามเตือนแต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจ

“เพราะนางไม่ใช่แม่แท้ ๆ ข้าจะไม่ยอมทำตามความต้องการของนางเด็ดขาด แต่พ่อผู้ให้กำเนิดนี้ช่างเลือดเย็นยิ่งนัก ท่านจะทนเห็นข้าถูกจับถ่วงน้ำได้จริง ๆ หรือ?!”

เฉินเถียนเถียนเอ่ยประโยคนี้อย่างเย็นชาก่อนจะเดินกลับไปยังโรงเก็บไม้ของตน

เฉินผิงอันตบโต๊ะอีกครั้งพลางตะโกน “นังเด็กบ้า! ข้าอุตส่าห์ชวนมาร่วมโต๊ะอาหารแต่กลับปฏิเสธ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องกินอีกตลอดไป!”

หลังจากที่เฉินเถียนเถียนเดินออกไป เฉินผิงอันหยิบตะเกียบขึ้นแต่รู้สึกว่าความอยากอาหารหายไปหมดสิ้น

ไม่ใช่เพราะเฉินเถียนเถียน แต่เป็นเพราะเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้หยั่งรากลึกในใจเขาแล้ว เขากำลังรู้สึกสงสัยต่อสิ่งที่หลินชวนฮวากำลังทำ ‘อาหารในบ้านหมดไปโดยไร้คำอธิบายได้อย่างไร?!’

เฉินผิงอันนั่งนิ่งพลางครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น ส่วนเฉินเถียนเถียนเห็นดังนั้นจึงยกยิ้มอย่างพอใจ …เมื่อบุคคลมีความสงสัยในใจ ย่อมมีความปรารถนาที่จะเสาะหาความจริงอยู่เสมอ

ดังนั้นหลินชวนฮวาจึงควรปิดทุกอย่างให้ดี เพราะอาจโดนเฉินผิงอันจับได้หากไม่ระวัง

ส่วนเฉินเฉิงเยี่ยนั่งอ่านหนังสือในห้องท่ามกลางเสียงทะเลาะของสองพ่อลูก แม้เขาจะไม่ได้ยินอะไรชัดเจน แต่ก็รับรู้ได้ว่าแม่กำลังจะถูกทำให้อับอาย ถึงกระนั้นเขาก็แน่ใจว่าแม่มีแผนการรับมือที่ดีและเฉินผิงอันจะเชื่อฟังนางจึงไม่กังวลอะไรนัก

สิ่งที่เฉินเฉิงเยี่ยต้องทำมีเพียงตั้งใจศึกษาเพื่อเป็นขุนนางให้ได้และเขาต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน…