ตอนที่ 270 – เร่งเดินทาง
แสงหลบหนีอันมีแรงกดดันมหาศาลซึ่งเหินมาจากเมืองคุนจงหลายสายสร้างความตื่นตะลึงจนผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนเงยหน้าขึ้นมองหน้ากันเอง
“นี่คือ….แรงกดดันของผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน!” มีผู้ฝึกตนจ้องมองแสงหลบหนีหลากสีสันที่เกาะกลุ่มอยู่กลางอากาศแล้วพึมพำกับตัวเอง
หนึ่ง สอง สาม สี่….. ถึงกับมีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเจ็ดคนรวมกลุ่มกัน เห็นแล้วผู้ฝึกตนระดับต่ำเหล่านี้ทั้งอิจฉาทั้งตะลึง
บนร้านอาหาร มีคนแคะขี้ฟันพลางถมน้ำลายดัง “ถุย” ออกมา แยกเขี้ยวจ้องแสงหลบหนีอันเจิดจ้าและชายแขนเสื้อพัดกระพือที่เห็นได้รำไรบนฟ้า ร้องว่า “บัดซบ ถ้าข้าสามารถเบ่งได้อย่างนี้เมื่อไหร่ก็ได้บ้างก็ดีสิ!”
ผู้ฝึกตนที่โต๊ะข้าง ๆ หันหน้ามามองเขา เป็นแค่บุรุษฉกรรจ์ที่มีระดับการฝึกตนเพียงหลอมรวมพลังวิญญาณชั้นสี่ แต่งกายสามัญ ระดับการฝึกตนยิ่งสามัญ จึงหัวเราะเยาะเอ่ยว่า “เจ้าหรือ ไม่ดูเสียบ้างว่าเจ้ามีคุณสมบัติอะไร! ผู้อาวุโสก่อเกิดตานเหล่านี้แต่ละคนล้วนเป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน ตอนอายุเท่าเจ้าก็สร้างฐานพลังไปตั้งนานแล้ว!”
บุรุษฉกรรจ์กลอกตาแล้วก็ไม่ทะเลาะกับคนผู้นี้ เอ่ยอย่างเถรตรงว่า “ข้าแค่พูดเล่น ๆ ก่อเกิดตานรึ สามารถสร้างฐานพลังได้ข้าก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
คำพูดนี้แทงทะลุจิตใจของผู้ฝึกตนระดับต่ำจำนวนมากมายในร้านอาหาร พวกเขากว่าครึ่งล้วนเป็นเพียงผู้ฝึกตนอิสระเท่านั้น อย่าว่าแต่ก่อเกิดตาน สร้างฐานพลังยังไกลเกินเอื้อม
“เฮ้อ เมื่อไรบิดาจะสามารถก่อเกิดตานได้น้า!” ผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งจ้องมองแสงหลบหนีกลางอากาศ อิจฉาไม่รู้แล้ว
“สหายเต๋าโส่วจิ้ง สหายเต๋าชิงเวย!” กลางอากาศ พรตเต๋าคูมู่ทักทายฉินซีและโม่เทียนเกอที่มาถึงท้ายสุด
ทั้งเจ็ดคนล้วนรวมตัวกันครบถ้วนแล้ว ฉินซีกวาดมองหนึ่งรอบ ทักทายตอบว่า “สหายเต๋าคูมู่ สหายเต๋าทุกท่าน”
พรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นกุมมือทักทายอย่างยิ้มแย้ม เฟิ่งเหนียงจื่อเหยียบอุปกรณ์เวทบินรูปใบบัวไม่สนใจผู้คน จิ่งสิงจื่อมองพวกเขาเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม เหลยตงชิงยังคงโอบไหสุราของเขา เอ่ยอย่างร้อนรนว่า “พวกท่านทั้งสองช้าจริง พวกเราล้วนรอมาครึ่งค่อนวันแล้ว รีบไป ๆ!”
“สหายเต๋าเหลยท่านจะร้อนรนไปไย” พรตเต๋าคูมู่ยิ้มเอ่ย “กำแพงอาคมของภูเขามารต้องครึ่งปีถึงหนึ่งปีจึงจะอ่อนกำลังหายไปช้า ๆ พวกเราจากที่ได้ข่าวมาถึงตอนนี้ก็แค่สองสามเดือนเท่านั้น ถึงภูเขามารแล้วยังต้องรอนะ!”
“พูดอย่างนั้นไม่ได้นะ” เหลยตงชิงตะโกน “ถ้าเกิดเปิดก่อเวลาหน่อยล่ะ? ต้องตามหลังคนเก็บขยะกันแล้ว!”
“ตาเฒ่าเหลยพูดได้ถูก” เฟิ่งเหนียงจื่อสายตาเย็นชา ท่าทางไม่เหมือนกับอาการโปรยเสน่ห์ในวันนั้นโดยสิ้นเชิง “ถึงภูเขามารแล้วพวกเรายังมีธุระมากมาย รีบไปเถอะ!”
พวกเขาสองคนล้วนรีบร้อนกันขนาดนี้ คนอื่น ๆ ก็ไม่มีความเห็น พรตเต๋าคูมู่จึงเอ่ยว่า “เอาตามนี้ พวกเราออกเดินทางเถอะ!”
ผู้ฝึกตนเจ็ดคนใช้วิชาต่าง ๆ กันรวมเป็นกระบวนทัพมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
พรตเต๋าคูมู่ขี่กระเรียนวิเศษหนึ่งตัว อาวุธเวทบินของถงเทียนอวิ้นรูปร่างเหมือนเรือแคนู เฟิ่งเหนียงจื่อเหยียบบนใบบัว เหลยตงชิงนั่งอยู่บนไหสุรา โม่เทียนเกอคิดถึงว่าวัน ๆ เขาถือไหสุราดื่มสุรา อดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมาทั้งร่าง….. จิ่งสิงจื่อย่อมเป็นกระบี่บิน ฉินซีเป็นเมฆบิน โม่เทียนเกอไม่ได้ทำเหมือนตอนมาที่นั่งมากับเมฆบินของฉินซี ทว่าดึงผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาใช้เป็นอาวุธเวทบิน ในคนทั้งเจ็ด เมฆบินของฉินซี, กระบี่บินของจิ่งสิงจื่อและเรือแคนูของถงเทียนอวิ้นมีความเร็วที่สุด โม่เทียนเกอติดตามไปยังถือว่าสบาย ๆ คนอื่น ๆ ก็ไม่อ่อนด้อย
ถึงจะเป็นเพียงการเร่งเดินทาง แต่ก็เป็นวิธีในการประเมินกันและกัน เฟิ่งเหนียงจื่อนั้นเห็นว่าโม่เทียนเกอติดตามทุกคนได้อย่างสบาย ๆ ก็รู้สึกตะลึง มองนางอีกหลายแวบ
“สหายเต๋าชิงเวย” ถงเทียนอวิ้นที่นั่งอยู่บนเรือแคนูสบายที่สุด เข้ามาพูดคุยกับโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอหันหน้าไปมองเขา “สหายเต๋าถงมีเรื่องอันใด”
ถงเทียนอวิ้นเอ่ยว่า “เรื่องนั้นเหล่าฟูถามมาแล้ว สหายผู้นั้นระบุว่า ในเมื่อพวกเราต้องไปภูเขามาร เขาหวังว่าสหายเต๋าชิงเวยจะสามารถแลกเปลี่ยนกับวัตถุประหลาดอย่างหนึ่งในภูเขามาร”
โม่เทียนเกออึ้งไปเล็กน้อย “นี่หมายความอย่างไร”
ถงเทียนอวิ้นยิ้มเอ่ยว่า “บอกความจริงกับสหายเต๋าชิงเวยเถอะ สหายผู้นี้ของข้าก็เป็นเหมือนข้า อายุขัยเหลือไม่มากแล้ว อีกทั้งเนื่องจากสาเหตุทางบ้านจึงไม่สะดวกจะไปภูเขามารกับพวกเรา เขาซื้อแร่อวี้สุ่ยเพื่อจะหลอมโอสถ แต่ก็ไม่ใช่ว่าขาดแร่อวี้สุ่ยไม่ได้อย่างเด็ดขาด ในภูเขามารมีวัตถุวิญญาณอันพิเศษเฉพาะประเภทหนึ่ง สำหรับเขาแล้วมีประโยชน์ที่สุด ถ้าหากสหายเต๋าชิงเวยโชคดีสามารถเก็บวัตถุวิญญาณประเภทนั้นมาได้ สหายเก่าผู้นี้ของข้าหวังจะเอาแร่อวี้สุ่ยมาแลกเปลี่ยน”
โม่เทียนเกอนิ่งไป แต่กลับเอ่ยว่า “สหายเต๋าถง การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ยุติธรรม วัตถุวิญญาณในภูเขามารชิ้นไหนบ้างที่ไม่ล้ำค่าหายาก แร่อวี้สุ่ยเกินพันปีถึงจะพบเห็นได้น้อย คุณค่ากลับเทียบกันไม่ติด อีกอย่าง เข้าภูเขามารแล้วคิดจะเก็บวัตถุวิญญาณที่เฉพาะเจาะจงอย่างหนึ่งมันยากเกินไปแล้ว”
ถงเทียนอวิ้นหัวเราะฮี่ ๆ ลูบเคราแล้วเอ่ยว่า “คุณค่าของสิ่งของขึ้นอยู่กับความต้องการ สมมติว่าต้องการ ราคาสูงมากก็ยังคุ้มค่า สหายเต๋าชิงเวยคงจะมิใช่ไม่เข้าใจหลักเหตุผลนี่กระมัง”
เรื่องนี้โม่เทียนเกอย่อมเข้าใจ มิเช่นนั้นก็จะไม่ได้จ่ายราคาสูงเทียมฟ้าให้โถงผู้ดูแลรับวัตถุดิบพวกนั้นมาแล้ว แต่รู้ก็เรื่องหนึ่ง เวลาที่แลกเปลี่ยนย่อมไม่สามารถให้ตนเองขาดทุนเกินไป
“สหายเต๋าถงกล่าวได้ไม่ผิด แต่ไม่รู้ว่าสหายท่านต้องการวัตถุวิญญาณนี้มากมายรึเปล่าเล่า”
“นี่….” ถงเทียนอวิ้นนิ่งไป ยิ้มแย้มส่ายหน้า “สหายเต๋าชิงเวย ด้วยการสั่งสมของโรงเรียนเสวียนชิงของพวกท่าน จำเป็นอันใดที่จะมาแย่งชิงกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้กับพวกเราผู้ฝึกตนอิสระ ท่านวางใจเถอะ วัตถุวิญญาณอันนี้ที่สหายของข้าบอกมาไม่ได้หายากจนเกินไปเลย ด้านมูลค่าถึงจะสูงกว่าแร่อวี้สุ่ยพันปีสักหน่อย แต่หากสหายเต๋าต้องการแร่อวี้สุ่ยอย่างเร่งด่วนก็ไม่ถือว่าขาดทุนเกินไป”
โม่เทียนเกอคิด ๆ ดู เลือกที่จะถอยหนึ่งก้าว “ก็ได้ สหายเต๋าถงบอกมาก่อนว่าสิ่งที่อยากหาคืออะไร ถ้าในการเดินทางนี้ข้าพอดีหาเจอ ถึงเวลาค่อยทำการแลกเปลี่ยนกัน ถ้าหาไม่เจอก็ได้แต่ยกเลิกไป”
ถงเทียนอวิ้นพยักหน้า “เช่นนี้ดีที่สุด ข้าก็ถือว่ามีคำอธิบายให้กับสหายเก่าแล้ว”
ทั้งสองคนพูดจบแล้วยังคงตั้งใจเร่งเดินทาง บางครั้งบางคราวพูดคุยกับคำสองคำ เนื่องจากทั้งสองคนล้วนสื่อสารโดยการส่งเสียงลับ ด้วยเหตุนี้ผู้อื่นจึงไม่รู้เลยว่าพวกเขาพูดอะไรกัน มีเพียงจิ่งสิงจื่อยิ้มแย้มคอยหันมามอง
โม่เทียนเกอเห็นใบหน้าดั่งดอกท้อและในแววตาที่มีเจตนาล่อลวงของเขาแล้วในใจเกิดความขยะแขยง เมินหน้าหนีไม่สนใจ
จิ่งสิงจื่อกลับไม่โกรธ ยังคงยิ้มบาง ๆ หันหน้ากลับไปบินตามพรตเต๋าคูมู่ช้า ๆ
หลายวันถัดมาเป็นการเร่งเดินทางอย่างน่าเบื่อหน่าย ในอากาศมักจะมีผู้ฝึกตนบินอย่างรวดเร็วเหมือนอย่างพวกเขา พวกระดับต่ำพอเห็นพวกเขาผู้ฝึกตนก่อเกิดตานหลายคนขนาดนี้ล้วนหลีกทางให้ บางครั้งเจอกับผู้ฝึกตนระดับเดียวกัน จำเป็นต้องทักทายสักคำสองคำ แต่ก็ต่างคนต่างเดินทาง
เทียบกับผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังและหลอมรวมพลังวิญญาณ ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเย็นชากว่ามากอย่างเห็นได้ชัด หรือพูดได้ว่าพวกเขายโสกว่ามาก ขอเพียงสามารถฝึกถึงขั้นก่อเกิดตาน ไม่ใช่ว่าพรสวรรค์ดียิ่งก็ต้องมีวาสนาครั้งใหญ่ คนไหนบ้างที่จะไม่ดูแคลนผู้ฝึกตนทั่วไป ศักดิ์ฐานะสูงหน่อยก็คือผู้อาวุโสของสำนักใหญ่ ที่ต่ำหน่อยอยู่สำนักเล็ก ๆ ก็เรียกลมเรียกฝนได้ตามใจชอบ หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระก็ยิ่งไปกันใหญ่ ผู้ฝึกตนอิสระที่สามารถฝึกถึงก่อเกิดตานไม่มีคนไหนที่ไม่โดดเด่นอย่างยิ่งยวด
แต่ผ่านไปหลายวัน โม่เทียนเกอกับพรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นล้วนคบหากันได้ไม่เลว แม้แต่เฟิ่งเหนียงจื่อผู้นั้นก็คงจะไม่ได้มองว่านางน่ารำคาญสายตาขนาดนั้นแล้ว ฃพูดคุยกันหลายคำเป็นครั้งคราว โม่เทียนเกอที่เดิมทีสอดแทรกเข้ากลุ่มมากลางคันค่อย ๆ ปรับเข้ากับกลุ่มก่อเกิดตานเล็ก ๆ กลุ่มนี้แล้ว
แต่ตอนที่พักผ่อนกลางทาง ฉินซีกลับดึงตัวนางอย่างลับ ๆ
“ชิงเวยซือเม่ย”
หลายวันมานี้โม่เทียนเกอปรับตัวกับคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเขาได้แล้ว ถ้าเขาเรียกเทียนเกอแสดงว่าเขาอารมณ์ดี ถ้าเรียกชิงเวยซือเม่ยแสดงว่าเขาอยากจะเว้นระยะห่าง
พอได้ข้อสรุปนี้ออกมา โม่เทียนเกอคิดแล้วก็รู้สึกจนใจมาก เหตุใดหลังจากความจริงเปิดเผย โส่วจิ้งซือเกอผู้นี้ถึงได้ไม่มีความสุขยิ่งกว่านางกันเล่า จากการฝึกฝนสภาวะจิตใจของเขาไม่น่าจะเป็นเช่นนี้เลยรึเปล่า
ความคิดวุ่นวายสับสน สายตาโม่เทียนเกอมองเหม่อไร้จุดหมาย ไม่ได้ตอบคำ
ฉินซีขมวดคิ้ว เรียกอีกครั้งว่า “ชิงเวยซือเม่ย?”
เขาเพิ่มน้ำเสียงขึ้นเล็กน้อยจนโม่เทียนเกอสะดุ้งได้สติกลับมา พบว่าตนเองถึงกับสติหลุดลอยไป โม่เทียนเกอหงุดหงิดอยู่บ้าง สำหรับผู้ฝึกตนนี่ไม่ใช่นิสัยที่ดี
“โส่วจิ้งซือเกอ มีเรื่องอะไรหรือ”
ฉินซีมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยเบา ๆ ว่า “ซือเม่ย หลายวันมานี้คล้ายกับว่าจะคบหากับพวกเขาได้ไม่เลวเลยสินะ”
พวกเขา? พวกพรตเต๋าคูมู่หรือ?
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “แค่คุยเล่น มีอะไรไม่ดีหรือ”
“ไม่มีอะไร เพียงขอบอกเจ้าสักคำว่าให้ดีที่สุดรักษาระยะห่างกับพวกเขาด้วย”
“หืม?” โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ “ในเมื่อเป็นสหายร่วมทาง ไม่ใช่ว่าควรจะพูดคุยกันให้มาก ๆ หรือ ข้ากับพวกเขาเดิมไม่รู้จักมักคุ้นเลย หากไม่พูดคุยก็ยากมากที่จะมีความเข้าขากัน”
ฉินซีบิดมุมปากอย่างเย้ยหยันอยู่บ้าง “ถ้าเป็นในอดีตก็ไม่มีอะไร แต่ว่า เจ้ายังจำเรื่องก่อนที่พวกเราจะออกเดินทางได้รึเปล่า ตาเฒ่าถงแลกหญ้าวิญญาณหมื่นปีหนึ่งต้นไปจากมือของเจ้า”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ไม่ผิด นี่มีปัญหาอะไร”
“ย่อมมีปัญหามาก” ฉินซีเอ่ยเบา ๆ “หญ้าวิญญาณหมื่นปีไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทั่วไปจะสามารถรับเอาไว้ได้ ด้วยความแข็งแกร่งของเมืองคุนจงของเขา เบื้องหลังไม่มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ถ้ามีหญ้าวิญญาณหมื่นปี ไม่ช้าก็เร็วจะถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มารังแกถึงหน้าประตู ตาเฒ่าถงนี่วันนั้นบอกมาตรง ๆ ที่งานชุมนุมค้าขายเลยว่าต้องการแลกหญ้าวิญญาณหมื่นปี เรื่องนี้จะต้องแพร่กระจายออกไปแล้ว พวกผู้ฝึกตนก่อเกิดตานของสมาคมผู้ฝึกตนอิสระเมืองคุนจงแต่ละคนล้วนหลักแหลม จะสร้างความผิดพลาดเช่นนี้ได้อย่างไร อ้างอิงจากที่เขาแลกหญ้าวิญญาณหมื่นปีแล้วไปภูเขามารกับพวกเรา ในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะหลอมหญ้าวิญญาณหมื่นปีจนกลายเป็นโอสถ”
โม่เทียนเกอคิดดูสักครู่ ประหลาดใจอยู่บ้าง “เช่นนั้นสหายเต๋าถงผู้นี้แลกหญ้าวิญญาณหมื่นปีมีจุดประสงค์อะไร”
“นี่ข้าก็ไม่ทราบ” ฉินซีส่ายหน้า ถามนางว่า “เขากับพรตเต๋าคูมู่หลายวันมานี้พูดอะไรกับเจ้า”
“……ก็ไม่มีอะไร” โม่เทียนเกอคิดอย่างละเอียด “ก็แค่เรื่องราวของคุนอู๋บางอย่าง เหมือนจะไม่มีเนื้อหาพิเศษอะไร — จริงด้วย พวกเขาสองคนคล้ายกับว่าจะมีความมั่นใจต่อการเดินทางไปภูเขามารมากเลย”
ฉินซียิ้ม สายตากลับยิ่งมั่นคง “นี่ก็ถูกแล้ว หญ้าวิญญาณหมื่นปีไม่ได้จะใช้มาหลอมโอสถเลย”
ไม่ใช่หลอมโอสถหรือ โม่เทียนเกอไม่เข้าใจอยู่บ้าง “เช่นนั้นยังสามารถใช้ทำอะไรได้”
“มอบของขวัญ”
“มอบของขวัญหรือ” โม่เทียนเกอคิดสักพักก็เข้าใจ “มอบให้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สักคนหรือ”
ฉินซีพยักหน้า “เป็นไปได้มาก” เขาหยุดไปแล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “บางทีตอนแรกพวกเขาไม่ได้คิดเลยว่าจะสามารถได้รับหญ้าวิญญาณหมื่นปี ไม่แน่ว่าเพียงคิดจะใช้หยกผลึกวิญญาณเหล่านั้นมาแลกสิ่งของจากผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สักคน – หยกผลึกวิญญาณถึงจะไม่ได้ล้ำค่าอย่างหญ้าวิญญาณหมื่นปี แต่สามารถสะสมได้มากขนาดนี้ก็ไม่ได้หาง่ายกว่าหญ้าวิญญาณหมื่นปีสักเท่าไหร่ เกรงว่าไม่ใช่ตาเฒ่าถงคนเดียวเก็บรวบรวมมาได้เลย ทว่าเป็นพลังของเมืองคุนจงทั้งหมดเก็บรวบรวมมา”
“เช่นนั้นจุดประสงค์ของพวกเราคืออะไร”
“อาจจะอยากแลกเปลี่ยนสิ่งของสักอย่าง” ฉินซีขมวดคิ้ว ส่ายหน้า “ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดอันใด ระหว่างเดินทางเจ้าระวังให้มากก็พอ”
“อืม….” โม่เทียนเกอรับคำ ในใจคิดกับตัวเองว่าในฐานะผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน สิ่งที่นางต้องเรียนรู้ยังมีมากมายจริง ๆ ฉินซีอาศัยเงื่อนงำเล็ก ๆ ก็วิเคราะห์ความเป็นไปได้หนึ่งอย่างออกมาเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะจริงแท้หรือไม่ อย่างน้อยก็สามารถทำให้ตนเองตื่นตัวขึ้นไปอีก หลีกเลี่ยงจากภัยอันตรายบางอย่าง
……………………………………………
ตอนที่ 271 – ถึงสำนักเทียนเต้า