ตอนที่ 271 – ถึงสำนักเทียนเต้า

“จริงสิ” โม่เทียนเกอคิด ๆ ดูแล้วกล่าวว่า “ถงเทียนอวิ้นนั่นบอกว่าสหายของเขาคิดจะให้ข้าใช้วัตถุวิญญาณประเภทหนึ่งที่สามารถหาได้ในภูเขามารมาแลกแร่อวี้สุ่ยพันปีกับเขา”

“วัตถุวิญญาณในภูเขามารหรือ” ไม่ผิดจากความคาดหมาย ใบหน้าของฉินซีก็ปรากฏสีหน้าเย้ยหยันขึ้นมา “พวกเขาช่างดีดลูกคิดรางแก้วได้ยอดเยี่ยม ไปภูเขามารอันตรายถึงเพียงไหน แค่แร่อวี้สุ่ยพันปีก็คิดจะอาศัยมือของเจ้าฮุบสิ่งของที่ตัวเองอยากได้ เฮอะ!”

โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “แร่อวี้สุ่ยพันปีไม่ได้มีเพียงพวกเขาที่มีเสียหน่อย รอนานไปอีกก็ไม่เป็นไร แต่ว่า เรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้ยังเป็นการเดินทางไปภูเขามาร ข้าไม่ได้ไปต่อรองราคากับพวกเขา ถ้าหากสามารถเก็บวัตถุวิญญาณชิ้นนั้นมาได้จริง ๆ แล้วกลับมาได้อย่างปลอดภัยค่อยปรึกษาเรื่องนี้กันอีกครั้งก็ยังไม่สาย ถ้าหากโชคไม่ดี….” นางไม่ได้พูดต่อไปอีก จะอย่างไรภูเขามารก็อันตราย อีกอย่างคือสถานที่ซึ่งบิดาเสียชีวิตลงเล่า ถึงแม้ฉินซีจะเคยเดินมารอบหนึ่ง ครั้งนี้มีการเตรียมการอย่างเพียงพอ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยแน่นอน

ฉินซีกลับขมวดคิ้ว กล่าวเสียงเย็นว่า “ในเมื่อข้าพาเจ้าไปย่อมพาเจ้าออกมาอย่างปลอดภัย เจ้าไม่ต้องกังวล”

โม่เทียนเกอถูกคำพูดประโยคนี้ของเขาสกัดจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่บ้าง นางไม่ได้มีความคิดนั้นเลย ทำไมเขาถึง….

กำลังคิดอยู่ก็ได้ยินฉินซีกล่าวอีกว่า “สิ่งที่พวกเขาต้องการคืออะไร”

โม่เทียนเกอเก็บความคิดที่กระจัดกระจาย เอ่ยว่า “เป็นของอย่างหนึ่งที่เรียกว่าถั่วหอมสวรรค์ ถงเทียนอวิ้นบอกว่า นี่เดิมทีเป็นพืชวิญญาณประเภทหนึ่ง ผลคล้ายกับถั่ว หลังจากสุกงอมแล้วจะหลุดออกจากรากใบ กลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับก้อนหิน แข็งยิ่งนัก สิ่งของชนิดนี้พบเห็นบนโลกได้น้อย แต่ว่าในภูเขามารเคยพบเจอไม่น้อยเลย”

พอได้ยินแล้วฉินซีกลับขมวดคิ้ว ไม่พูดจาเป็นครึ่งค่อนวัน

โม่เทียนเกอเห็นสีหน้านี้ของเขาคล้ายกับว่ามีอะไรไม่ถูกต้องจึงถามว่า “ทำไมหรือ”

ผ่านไปพักใหญ่ ฉินซีเอ่ยว่า “ตาเฒ่าถงสหายที่ดีคนนี้เกรงว่าสิ่งที่ฝึกจะเป็นเส้นทางลดเลี้ยวอะไร ถั่วหอมสวรรค์ไม่ถือว่าล้ำค่าจนเกินไปจริง ๆ สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปไม่มีประโยชน์ หากสามารถหาพบสิ่งนี้แลกกับแร่อวี้สุ่ยพันปีก็ไม่ถือว่าขาดทุนเกินไป แต่ว่า ประโยชน์ของถั่วหอมสวรรค์นี่กลับ…..”

เขาลังเลอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่พูดออกมา คล้ายกับว่ามีอะไรที่บอกได้ยาก

โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ ถามอีกคำว่า “สรุปว่ามีประโยชน์อะไร”

ฉินซีเบือนหน้าหนี พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งสุดความสามารถว่า “ถั่วหอมสวรรค์สามารถใช้หลอมโอสถประเภทหนึ่ง สำหรับคนที่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์มีฤทธิ์พิสดาร”

โม่เทียนเกอคิดดูแล้วยิ่งรู้สึกประหลาด “เช่นนั้นก็ไม่ได้พิเศษอะไรรึเปล่า” เต๋าแห่งโอสถเดิมก็มีเรื่องประหลาดเป็นร้อยเป็นพันอยู่แล้ว สถานการณ์ต่าง ๆ นานาล้วนมีโอสถเฉพาะ ผู้ฝึกคนที่ฝึกเต๋าแห่งการร่วมสัมพันธ์ก็ย่อมจะมีโอสถที่เหมาะสมให้พวกเขาได้ใช้

เผชิญกับสายตากังขาของนาง สีหน้าของฉินซียิ่งอิหลักอิเหลื่อ ผ่านไปครึ่งค่อนวันจึงได้บีบออกมาไม่กี่คำว่า “นี่ไม่ใช่โอสถทั่วไป ทว่า ทว่ามีฤทธิ์กระตุ้นกำหนัด….”

…………………….

“สหายเต๋าโส่วจิ้ง สหายเต๋าชิงเวย!” เสียงของพรตเต๋าคูมู่ดังมาจากที่ไกล ๆ ทำลายความเงียบสงบอันแปลกประหลาดลงไป

ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมอง พรตเต๋าคูมู่กำลังโบกมือให้พวกเขา “พวกเราควรจะไปได้แล้ว”

ทั้งสองคนคล้ายกับได้รับอภัยโทษ ต่างคนต่างควบคุมอาวุธเวทบินเข้าใกล้กลุ่ม

ถึงทราบว่าตนเองควรจะทำตัวเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่โม่เทียนเกอยังอดเว้นระยะห่างสักหน่อยไม่ได้ เฟิ่งเหนียงจื่อนั้นอยู่ร่วมกันมาหลายวันก็ใจดีกับโม่เทียนเกอขึ้นมาบ้าง พอเห็นท่าทางพิกลสักหน่อยนี้ก็ถามนางว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

โม่เทียนเกอพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง แต่เห็นว่าจิ่งสิงจื่อนั่นเหลือบสายตามาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มอีกแล้วในใจยิ่งหงุดหงิด ได้แต่ตอบอย่างหดหู่ว่า “แค่ได้ยินว่าอาจารย์เราถึงเขาอวี้เหิงแล้ว ดังนั้นห่วงอยู่บ้าง”

เฟิ่งเหนียงจื่อไม่กังขา ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็อิจฉาอยู่บ้าง เอ่ยว่า “น้องสาว ด้วยพรสวรรค์ของเจ้ากับอายุในปัจจุบันคล้ายกับว่าไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงภัยที่ภูเขามารเลยรึเปล่า เหตุใดพวกเจ้าอาจารย์กับศิษย์สามคนล้วนอยากไปเล่า”

โม่เทียนเกอเงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าไปภูเขามารเพื่อคลี่คลายเรื่องเก่าเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องเก่าหรือ” เฟิ่งเหนียงจื่อกำลังอยากจะถามอีกกลับเห็นโม่เทียนเกอเบือนหน้าไปคล้ายกับเต็มไปด้วยความในใจก็เลยไม่พูดแล้ว

เหลยตงชิงนั้นเห็นว่าพวกนางสองคนคล้ายกับจะสนิทสนมกันมากก็ร้องตะโกนดังลั่นว่า “หญิงแซ่เฟิ่ง เจ้ามิใช่ว่าไม่ชอบนางหนูนี่หรอกหรือ ทำไมแค่ไม่กี่วันก็ดีกันอย่างนี้แล้วล่ะ”

พอเห็นเขา เฟิ่งเหนียงจื่อก็ร้องฮึอย่างเย็นชาคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าจะไม่ชอบคนอื่นอีกแค่ไหนก็ยังชอบมากกว่าเจ้า! หลบไปเลย น่ารังเกียจ!”

เหลยตงชิงถูจมูกแต่ก็เพียงพึมพำหนึ่งคำว่า “หญิงดุร้าย!”

โม่เทียนเกออดอมยิ้มไม่ได้ สองคนนี้ช่างน่าสนใจนัก เห็นชัด ๆ ว่าเฟิ่งเหนียงจื่อไม่ชรา ดูไปแล้วแค่ยี่สิบต้น ๆ แล้วยังเป็นสตรีงามอันทรงเสน่ห์ เหลยตงชิงนี่กลับอ้าปากทีก็เรียกหญิงแซ่เฟิ่ง* เหลยตงชิงนี่ถึงจะเป็นบุรุษศีรษะล้าน หน้าตาอัปลักษณ์อยู่บ้าง แต่ภายนอกก็ดูไม่เกินสามสิบปี เฟิ่งเหนียงจื่อเอาแต่เรียกเขาว่าตาเฒ่าเหลย

แต่พอคิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอก็ระแวงอยู่บ้าง สองคนนี้ดูจะต่างจากผู้อื่น อย่าบอกนะว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน กำลังอยากจะส่งเสียงลับไปถามฉินซีกลับคิดถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ขึ้นมาจึงกลืนกลับลงไป ถ้าหากมีความเกี่ยวข้องอะไรฉินซีน่าจะบอกนางแต่แรกแล้ว ไม่ได้พูดก็แปลว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรสินะ

สั่นศีรษะ โยนเรื่องนี้เข้ากรุ เดินทางต่อไปเงียบ ๆ ความเร็วในการบินของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเดิมทีก็เร็วอยู่แล้ว ผ่านไปอีกหลายวันก็เข้าใกล้เขตของเขาอวี้เหิง ผู้ฝึกตนที่บินอยู่บนท้องฟ้ายิ่งมายิ่งมาก ในนี้มีผู้ฝึกตนระดับสูงจำนวนไม่น้อย บางครั้งถึงขนาดมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เดินทางผ่าน

กำแพงอาคมภูเขามารอ่อนกำลังลงครั้งนี้สามารถพูดได้ว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ของเทียนจี๋ล้วนสั่นสะเทือน เหล่าผู้ฝึกตนที่ติดอยู่ในคอขวดขาดวาสนาพากันเร่งเดินทางมา แม้แต่พวกที่ฝึกตนได้ราบรื่นก็ลังเลอยู่ไม่สุข จะอย่างไรเส้นทางเซียนยากเข็น หากสามารถได้รับวาสนาสักหน่อยยังอาจจะดีกว่าฝึกตนอย่างทุกข์ยากหลายร้อยปีเสียอีก แม้แต่ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณสร้างฐานพลังก็ล้วนเริ่มขยับเขยื้อน พวกเขาย่อมไม่กล้าล้วงลึกเข้าไปในภูเขามาร แต่อยู่ที่รอบนอกของภูเขามารก็อาจจะหาพบสมบัติสักหน่อย หากโชคดีอาจจะสบายไปตลอดชาติถึงขนาดที่เป็นไปได้ที่จะกระโดดทีเดียวกลายเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงได้เลย

สำนักเทียนเต้าได้ชื่อว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ รอบบริเวณเดิมก็มีผู้ฝึกตนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่แล้ว มาถึงเวลานี้ยิ่งครึกครื้นผิดธรรมดา

แต่ทว่ากลุ่มอย่างพวกโม่เทียนเกอในฐานะผู้ฝึกตนก่อเกิดตานไม่จำเป็นต้องเดินวนรอบเขาอวี้เหิงหาที่พักอาศัยอย่างผู้ฝึกตนทั่วไป สำนักเทียนเต้าจะออกมาต้อนรับ

เขาอวี้เหิงและภูเขามารมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น อยากจะไปภูเขามารจะต้องผ่านไปจากเขาอวี้เหิง เทือกเขาอวี้เหิงทั้งหมดเป็นของสำนักเทียนเต้าเพียงผู้เดียว ดังนั้น การไปภูเขามารจำเป็นต้องผ่านสำนักเทียนเต้า

ภูเขามารมีทรัพย์สมบัติมหาศาล แล้วก็มีภยันตรายเหลือคณา สำนักเทียนเต้าย่อมไม่กล้าฮุบไว้เพียงลำพัง แต่การฉวยโอกาสสะสมทรัพย์ย่อมเป็นสิ่งเลี่ยงไม่ได้ ผู้ฝึกตนที่เข้าไปทุกคนล้วนต้องจ่ายค่าผ่านทาง ค่าผ่านทางนี้ไม่ถือว่ามากเกินไป สำหรับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานยิ่งไม่มีค่าให้เอ่ยอ้างถึง แต่ผู้คนมากมาย ทุกครั้งที่ภูเขามารเปิด สำนักเทียนเต้าล้วนเก็บเงินได้เป็นล่ำเป็นสัน

อีกประการ ยังมีคนมากมายอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ ตีนเขาอวี้เหิงขายแผนที่และบันทึกของภูเขามาร ราคาขายสูงยิ่ง แต่คนซื้อกลับมากันไม่หยุดไม่หย่อน

โม่เทียนเกอเดิมรู้สึกว่าน่าสนใจ คิดจะซื้อมาดูสักชุด ฉินซีกลับรั้งนางไว้ เอ่ยว่า “ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์อะไร ส่วนใหญ่ขาดหายไม่สมบูรณ์ มีเพียงสิ่งที่อยู่รอบนอกสุด ๆ ที่ที่พวกเราจะไปลึกมาก ไม่ได้เกี่ยวกับของพวกนี้เลย”

โม่เทียนเกอคิด ๆ ดูก็ใช่ จึงได้ยกเลิกไป มีสิ่งของที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอมอบให้ ไหนเลยจะยังได้ใช้ของที่ซื้อหาจากพ่อค้าเล็ก ๆ พวกนี้อีกเล่า คนพวกนี้บางคนถึงขนาดเป็นแค่ปุถุชน คิดดูก็รู้ว่าไม่มีของที่ดีมากมายหรอก

ภายใต้การนำของพรตเต๋าคูมู่ คนทั้งเจ็ดขึ้นเขาอวี้เหิง

“สหายเต๋าคูมู่ สหายเต๋าถง สหายเต๋าโส่วจิ้ง!” เพิ่งจะถึงปากเขาของสำนักเทียนเต้าก็มีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานผู้หนึ่งหัวเราะฮา ๆ มาทักทาย “สหายเต๋าทุกท่านมาถึงไวโดยแท้”

โม่เทียนเกอมองดู นี่เป็นผู้ฝึกตนสำนักเทียนเต้าอายุประมาณสามสิบปี การฝึกตนอยู่ที่ก่อเกิดตานขั้นกลาง เห็นท่าทางที่เขาทักทายพรตเต๋าคูมู่และพวกคล้ายจะคุ้นเคยกัน

ทุกคนคารวะตอบ มีเพียงเหลยตงชิงคนนั้นที่ตั้งแต่มาถึงเขาอวี้เหิงก็มีสีหน้าอึมครึมมาก

โม่เทียนเกอนึกได้ว่าฉินซีเคยบอกว่า เหลยตงชิงคนนี้เดิมเป็นผู้ฝึกตนสำนักเทียนเต้า เพียงเพราะว่าล่วงเกินใครสักคนจึงถูกบีบออกไปข้างนอก ตอนนี้ดูสีหน้าของเขามีความขุ่นเคืองใหญ่หลวงต่อสำนักเทียนเต้าจริง ๆ ด้วย อีกอย่างเขาเป็นผู้ฝึกตนสำนักเทียนเต้า แล้วยังมีระดับการฝึกตนก่อเกิดตาน จะต้องเป็นผู้อาวุโส ที่เขาอวี้เหิงจะไม่มีถ้ำพำนักได้อย่างไร สถานการณ์ในขณะนี้ ผู้ฝึกตนคนนี้ต้อนรับเขาอย่างผู้ฝึกตนทั่วไป เขาก็ไม่เอ่ยถึง คล้ายกับว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับสำนักเทียนเต้าแม้แต่นิดเดียว

“เอ่อ ท่านนี้คือ?” ผู้ฝึกตนคนนี้จ้องมองโม่เทียนเกอ น้ำเสียงประหลาดใจ

ฉินซีเอ่ยว่า “สหายเต๋าจี นี่คือซือเม่ยของข้า นามแห่งเต๋าชิงเวย”

“อ้อ ที่แท้ท่านนี้ก็คืออาจารย์เต๋าชิงเวยที่มีนามกระเดื่องในปัจจุบันนี้นี่เอง นับถือมานาน ๆ!” ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานผู้นี้ซึ่งมีนามว่าจีเฟิงยิ้มแย้มคารวะ น้ำเสียงทึ่งอย่างยิ่ง

“สหายเต๋าจีสุภาพไปแล้ว” โม่เทียนเกอคารวะตอบอีกครั้ง

จีเฟิงกลับไม่ได้ดูเหมือนทำตามมารยาท น้ำเสียงกระตือรือร้นถึงสิบส่วน “นามของสหายเต๋าชิงเวยแพร่ไปทั่วคุนอู๋ ไม่ใช่ว่าผู้แซ่จีสุภาพ โรงเรียนเสวียนชิงมีผู้ฝึกตนอัจฉริยะออกมาคนแล้วคนเล่า พวกเราอิจฉาจริง ๆ”

โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ แต่ก็เพียงกุมหมัดโดยไม่พูดมาก

จีเฟิงเห็นว่านางไม่ชอบพูดจามากนักก็ไม่พูดมากอีก ยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งหลายมาจากแดนไกล คิดว่าล้วนเหน็ดเหนื่อยกันแล้ว เช่นนั้นก็ไปพักผ่อนก่อนเถิด เชิญ”

ทั้งเจ็ดคนถึงร่างกายจะไม่เหน็ดเหนื่อย แต่เร่งเดินทางเงียบ ๆ มาหลายวัน จิตใจก็รู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นล้วนไม่ปฏิเสธ

จีเฟิงส่งพวกเขาให้ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณที่มีหน้าที่ต้อนรับแขก ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณสองคนนั้นพาคนทั้งหลายเข้าปากเขา คนทั้งกลุ่มเดินไปได้ไม่ไกลก็ถึงเรือนขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่ง

โม่เทียนเกอกวาดจิตหยั่งรู้ไปหนึ่งรอบ ในเรือนนี้มีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานไม่น้อยจริง ๆ ประมาณคร่าว ๆ อย่างน้อยที่สุดก็มีสามสิบสี่สิบคน ยังห่างจากการเปิดภูเขามารประมาณสองสามเดือน ตอนหลังไม่รู้ว่ายังจะมีมาสักกี่คน

เข้าเรือนนี้ มีผู้ฝึกตนอีกคนมาทักทายต้อนรับทันที “ผู้อาวุโสทุกท่านเดินทางมาไกล ยินดีต้อนรับ ๆ” จากนั้นนำทุกคนเข้าที่พักอย่างเปี่ยมมารยาท

เรือนนี้ใหญ่มาก เรือนเล็ก ๆ ทุกเรือนมีห้องหลายห้อง พวกเขาเจ็ดคนสองเรือนเล็กก็พอแล้ว

หลังจากพานางมาถึงห้องจัดที่พัก ผู้ฝึกตนคนนั้นกลับไม่ล่าถอย เพียงยืนมองอยู่ตรงปากประตู โม่เทียนเกอไม่เข้าใจอยู่พักหนึ่งว่าพวกเขาทำอะไร ได้ยินเสียงผู้ฝึกตนคนอื่นที่ห้องด้านซ้ายกล่าวขอบคุณจึงได้เข้าใจ ก็เลยหยิบศิลาวิญญาณถุงเล็ก ๆ โยนออกไป ผู้ฝึกตนนั้นอยู่แค่ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณ ลูบ ๆ ถุงศิลาวิญญาณนั้น อย่างน้อยที่สุดก็มีศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน ดีใจจนขอบคุณแล้วขอบคุณอีก “ขอบคุณผู้อาวุโสตกรางวัล ๆ!”

โม่เทียนเกอเห็นคนผู้นั้นล่าถอยไปก็ส่ายหน้า ในเมื่อเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ลงมือแล้วก็ต้องใจกว้างหน่อย รวมกับค่าผ่านทางอีก สำนักเทียนเต้ารับทรัพย์ครั้งใหญ่จริง ๆ

…………………………………………….

*หญิงแซ่เฟิง คำว่า หญิงนี้ 婆娘 แปลว่าผู้หญิงแต่มีความหมายไปในทางดูหมิ่น ถ้าเป็นคำไทยน่าจะประมาณว่า …. อีเฟิง

ตอนที่ 272 – อย่าดีอย่างนี้