ตอนที่ 272 – อย่าดีเช่นนี้

ที่จริงโม่เทียนเกอยังถือว่านับรายได้ขาดไปอย่างหนึ่ง

หลังจากพวกเขาจัดเก็บข้าวของแล้ว ฉินซีส่งเครื่องรางสื่อสารอีกอันมาให้นาง เรียกให้นางออกไปตลาดที่ตีนเขา

ทั้งสองคนอาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน ห้องอยู่ติดกัน แต่ยังจะต้องใช้เครื่องรางสื่อสารส่งข้อความ นี่ทำให้โม่เทียนเกอพูดไม่ออกอยู่บ้าง อย่าว่าแต่มาเคาะประตูเลย ส่งเสียงลับมาตรง ๆ ก็ได้แล้ว

รอจนมาถึงตลาด พอเห็นฝูงคนที่คึกคักจอแจ ผู้ฝึกตนที่เดินเข้า ๆ ออก ๆ ร้านค้า โม่เทียนเกอจึงนึกขึ้นได้ว่าถ้าพูดถึงรายได้ นี่จึงเป็นก้อนใหญ่ ผู้ฝึกตนมากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าร้านค้าของสำนักเทียนเต้าในระยะเวลาอันใกล้จะทำธุรกิจได้มากมายขนาดไหน แม้แต่ร้านค้าเล็กอื่น ๆ ก็ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย

ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ถึงแม้ในช่วงเวลานี้สำนักเทียนเต้ามีผู้ฝึกตนระดับสูงไป ๆ มา ๆ แต่มาเดินบนถนนใหญ่เช่นนี้ยังคงดึงดูดความสนใจของผู้คน เหล่าผู้ฝึกตนระดับต่ำพวกนี้มองดูพวกเขาจากที่ไกล ๆ ในสายตาทั้งอิจฉาทั้งริษยา

“โส่วจิ้งซือเกอ พวกเราจะไปไหน” ถึงจะค่อย ๆ คุ้นชินกับภาพเหตุการณ์นี้แล้ว แต่จะอย่างไรโม่เทียนเกอก็ไม่ได้เป็นอัจฉริยะในสายตาของผู้คนตั้งแต่เริ่มแรก ฉินซีสบายอกสบายใจกับภาพเหตุการณ์ประเภทนี้ นางกลับรู้สึกอึดอัด

ฉินซีเอ่ยว่า “ค้าขาย”

โม่เทียนเกออึ้งไป “ซือเกออยากจะซื้ออะไร”

ฉินซีกลับไม่ได้ตอบคำ เอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้า

โม่เทียนเกอชินกับอารมณ์แปรปรวนที่ไม่อยากตอบก็ไม่ตอบของเขาแล้ว ไม่พูดอะไรมากความ เพียงเดินตามไปเงียบ ๆ

ผ่านไปพักหนึ่ง ทั้งสองคนเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่ง โม่เทียนเกอเงยหน้ามอง ช่างบังเอิญแท้ พอดีเป็นโถงร้อยหญ้าที่เมื่อตอนนางมาสำนักเทียนเต้าครั้งแรกได้ซื้อเตาหลอมโอสถและวัตถุดิบไป ปัจจุบันนี้ผ่านมาหกสิบกว่าปีแล้ว ชายชราหลอมรวมพลังวิญญาณที่ขายเตาหลอมโอสถให้นางครั้งนั้นคาดว่านั่งละสังขารไปแล้ว

หวนคิดถึงตอนนั้น วัตถุยังคงผู้คนเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เวลานั้นท่านอารองยังไม่ตาย นางยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณเล็ก ๆ คนหนึ่ง ผู้ใดก็ตามที่เขาอวี้เหิงนี้ล้วนไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ปัจจุบันนี้นางเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว ใคร ๆ ให้ความเคารพนบน้อม แต่ท่านอารองกลับมาไม่ได้อีกแล้ว

เข้าโถงร้อยหญ้า มีผู้ช่วยร้านค้ามาหาทันที ทักทายอย่างเคารพเป็นที่สุดว่า “ยินดีต้อนรับผู้อาวุโสทั้งสอง มีอะไรที่ผู้เยาว์สามารถรับใช้ขอรับ”

ฉินซีไม่ตอบ เพียงเอ่ยว่า “ข้ามาหาหูจงไห่”

ได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้ว ใบหน้าของผู้ช่วยร้านค้าคนนี้ปรากฏความแปลกใจ แต่กล่าวทันทีว่า “สองท่านเชิญนั่งพักด้านใน ผู้เยาว์จะไปรายงานทันที มิทราบชื่อแซ่สูงส่งของผู้อาวุโสคือ?”

“ข้าแซ่ฉิน”

ผู้ช่วยร้านค้าชักนำพวกเขาเข้าห้องข้างแล้วไปรายงาน

โม่เทียนเกอเต็มไปด้วยความสงสัย หกสิบปีก่อนชายชราที่คนได้พบเป็นคนของตระกูลหู คิดว่าโถงร้อยหญ้านี้เป็นไปได้มากว่ามีตระกูลหูเป็นเจ้าของ หากเป็นเช่นนี้ หูจงไห่ผู้นี้ต้องเป็นคนตระกูลหูอย่างไม่ต้องสงสัย ฉินซีจงใจพูดว่าอยากหาหูจงไห่ หรือว่าจะเป็นสหายเก่าของเขา นี่ก็ไม่น่าประหลาดใจ ซือฟุเคยบอกว่าซือเกอผู้นี้นอกจากกักตัวฝึกตนแล้ว เวลาที่ออกไปท่องเที่ยวภายนอกก็ไม่น้อย คิดว่าจะต้องรู้จับบุคคลหลากหลายที่มีสถานะแปลกประหลาดไม่น้อยเลย

ผ่านไปไม่นาน ประตูของห้องข้างถูกคนผลักเปิดออก จากนั้นบุรุษวัยกลางคนในชุดหรูหราผู้หนึ่งเดินเข้ามา พอเข้าประตูก็มองไปทางฉินซี ทักทายด้วยความกระตือรือร้นถึงสิบส่วน หัวเราะพูดคุยเสียงดังว่า “พี่ฉิน เป็นท่านจริง ๆ ด้วย! ไม่ได้พบกันหลายปี ทุกสิ่งยังดีอยู่หรือ”

สิ่งที่ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกประหลาดคือคนผู้นี้มีระดับการฝึกตนเพียงสร้างฐานพลัง

ฉินซีเห็นคนผู้นี้ก็ลุกขึ้นคารวะกลับ เทียบกับท่าทีอันอบอุ่นของคนผู้นี้แล้ว เขาสงบนิ่งกว่ามาก แต่ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าไร้มารยาทเลย “รบกวนพี่หูเป็นห่วงแล้ว จากมาสบายดีกระมัง”

พวกเขาสองคนมีระดับการฝึกตนไม่เท่ากันแต่กลับพูดคุยกันอย่างคนร่วมรุ่น

หลังจากทักทายกันสองคำ สายตาของคนผู้นี้ก็กวาดมาที่ร่างของโม่เทียนเกอ “ท่านนี้คือ….”

ฉินซีเอ่ยว่า “นี่คือซือเม่ยข้า นามแห่งเต๋าชิงเวย”

“อ้อ ที่แท้คืออาจารย์เต๋าชิงเวย!” คนผู้นี้ตระหนักในทันใด คารวะอย่างเปี่ยมมารยาท “ผู้น้อยหูจงไห่ คารวะอาจารย์เต๋าชิงเวย”

หูจงไห่นี้เป็นแค่ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง ในสถานการณ์ปกติผู้ฝึกตนก่อเกิดตานไม่ต้องคารวะตอบ แต่ว่าฉินซีจะอย่างไรก็เป็นซือเกอของตนเอง เขาพูดคุยอย่างคนร่วมรุ่น โม่เทียนเกอก็ไม่สามารถรับไว้ได้ จึงลุกขึ้นยกมือเอ่ยว่า “คารวะสหายเต๋าหู”

“มิกล้า ๆ” หูจงไห่เอ่ยรัว ๆ “อาจารย์เต๋าชิงเวยเชิญนั่ง เชิญนั่ง”

หลังจากคารวะกันแล้ว หูจงไห่ให้คนรินชาใหม่อีกครั้งด้วยความกระตือรือร้นถึงสิบส่วน แล้วยังเชิญพวกเขาไปเยี่ยมเยือนตระกูลหูอีก ฉินซีบอกปัด หูจงไห่ก็ไม่ดึงดัน ทั้งสองคนเริ่มคุยเรื่อยเปื่อย

ถึงอย่างไรระดับการฝึกตนก็ห่างชั้นกันมาก แม้หูจงไห่จะคารวะและพูดคุยกับฉินซีอย่างคนร่วมรุ่น คำพูดคำจากลับสุภาพยิ่งนัก หัวข้อที่พวกเขาคุยกันก็ธรรมดา เป็นเพียงเรื่องราวที่พบเจอทั่วไป ข่าวที่กำแพงอาคมภูเขามารอ่อนกำลังลงครั้งนี้รวมทั้งปัญหาในการฝึกตนบางประการ

โม่เทียนเกอเพียงรับฟังเงียบ ๆ เข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขาได้โดยคร่าว ๆ จากคำพูดของพวกเขา

ตอนที่รู้จักกับหูจงไห่ ฉินซียังเป็นเพียงผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง เคยมีมิตรภาพที่ผ่านภยันตรายมาด้วยกัน ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้พวกเขาก็พูดคุยในฐานะคนรุ่นเดียวกัน ปัจจุบันนี้ฉินซีอายุประมาณสองร้อยปี สำหรับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานอ่อนวัยอย่างยิ่ง แต่สำหรับผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังเป็นวัยกลางคนแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่สิบปีก็จะเข้าสู่วัยชรา หูจงไห่ที่จริงแล้วอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่เนื่องจากความแตกต่างของระดับการฝึกตนรูปลักษณ์จึงแก่กว่าเขามาก

ทั้งสองคนคุยกันสักพัก หูจงไห่ถามว่า “พี่ฉิน ท่านมาสำนักเทียนเต้าของพวกเรา ใช้คนมาส่งข่าวมาก็ได้แล้ว ตอนนี้มาด้วยตัวเองมีเรื่องสำคัญอะไรหรือ”

พวกเขาสองคนดูแล้วมีความสัมพันธ์กันไม่เลว แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นสหายสนิท ฉินซีมาถึงก็มาเยือนถึงหน้าประตู แถมยังพาคนอื่นมาด้วย เห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์อื่น

ฉินซียิ้ม เอ่ยตรง ๆ ว่า “ที่พี่หูพูดมาก็ไม่ผิด วันนี้ที่มาเยือนมีธุระที่อยากขอให้พี่หูช่วยจริง ๆ”

“อ้อ?” หูจงไห่มีสีหน้าจริงใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ด้วยมิตรภาพหลายปีของพวกเรา พี่ฉินมีคำพูดก็เชิญว่ามาได้เลย ขอเพียงข้าทำได้จะต้องไม่ปฏิเสธ!”

โม่เทียนเกอดูไม่ออกว่านี่สรุปแล้วเป็นคำพูดตามมารยาทหรือไม่ หูจงไห่ผู้นี้เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนอย่างพวกเขา คำพูดตรงไปตรงมาแต่ก็ไหลลื่นเปี่ยมประสบการณ์ จะต้องเป็นบุคคลที่เชี่ยวชาญในหนทางของโลกมนุษย์อย่างยิ่ง

ใบหน้าของฉินซีเพียงมีรอยยิ้มบาง ๆ หลายส่วน ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็เอ่ยว่า “ก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่อยากจะถามข่าวของวัตถุวิญญาณสองชนิดจากพี่หู”

ได้ยินคำพูดนี้แล้ว โม่เทียนเกอในใจสั่นไหวคราหนึ่ง อดมองไปทางฉินซีไม่ได้

ใบหน้าหูจงไห่มีร่องรอยประหลาดใจวาบผ่าน “อ้อ? พี่ฉินหาสมบัติล้ำค่าของฟ้าดินอะไรหรือ ด้วยหนทางของโรงเรียนเสวียนชิงถึงกับหาไม่พบหรือ”

ฉินซียิ้ม “ในเมื่อหาไม่พบย่อมเป็นสิ่งของที่หายากยิ่ง”

หูจงไห่หัวเราะฮา ๆ เอ่ยว่า “พูดไปก็ใช่ พี่ฉินลองพูดมา ถึงข้าระดับการฝึกตนไม่เพียงพอ หาคนหาสมบัติยังถือว่าเป็นจุดแข็ง ไม่แน่ว่าจะเคยได้ยินมา”

ฉินซีก็ไม่เกรงใจ เอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าอยากหาเป็นสิ่งของสองชนิด หนึ่งคือแร่อวี้สุ่ยอายุมากกว่าพันปี สองคือศิลาเมฆานิ่ง ไม่รู้ว่าช่วงนี้พี่หูเคยได้ยินมาไหม”

โม่เทียนเกอก้มหน้าลง เป็นของสองชนิดนี้จริง ๆ ด้วย

“นี่….” หูจงไห่ได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดเล็กน้อย “สิ่งที่พี่ฉินอยากหาเป็นของหายากจริง ๆ แร่อวี้สุ่ยพันปียังดีอยู่ บางครั้งก็สามารถได้ยินมา แต่ศิลาเมฆานิ่งถ้าหากมิใช่ว่าข้าดูแลร้านค้าให้สำนักมานานปีก็เกรงว่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นสิ่งของอะไร แต่ว่าที่ข้าดูแลอยู่คือโถงร้อยหญ้า ศิลาเมฆานิ่งเป็นของหลอมอุปกรณ์ ยังต้องไปสืบถามดู”

ฉินซีเอ่ยว่า “หากพี่หูสามารถบ่งบอกที่อยู่ได้จะขอบคุณมาก”

หูจงไห่ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ลำบากเพียงยกมือขึ้นเท่านั้น พี่ฉิน ศิลาเมฆานิ่งนี้ข้าไม่สามารถรับรองได้ แต่ว่าแร่อวี้สุ่ยพันปีอีกชิ้น ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันคล้ายว่าจะมีข่าวของของชิ้นนี้ หากไม่รังเกียจรอให้ข้าไปสืบถามมาโดยละเอียดดีไหม”

“เช่นนี้ก็ดียิ่ง รบกวนพี่หูแล้ว”

ทั้งสองคนคุยกันอีกสักพัก ฉินซีก็บอกลา หูจงไห่ส่งพวกเขาสองคนออกจากประตู ถามถึงที่พักชั่วคราวของพวกเขา บอกกับพวกเขาว่ามากที่สุดสามวัน มีข่าวแล้วจะแจ้งต่อพวกเขา

ลาหูจงไห่แล้ว ทั้งสองคนเดินกลับไปอย่างเงียบงันตลอดทาง

ฉินซีไม่พูด โม่เทียนเกอก็ก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดเปะปะไปตลอดทาง

ปากเขาของสำนักใหญ่ย่อมต้องอยู่สูงยิ่ง เริ่มจากตรงตีนเขามีบันไดหยกนับพันขั้น พุ่งทะยานถึงชั้นเมฆ ในสถานการณ์ทั่วไปบันไดหยกนี้มีเพียงศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณที่ไม่สามารถบินได้จึงจะปีนขึ้นไป หลังจากสร้างฐานพลังล้วนสามารถบินไปบินมา ก็ไม่รู้ว่าฉินซีคิดอะไรอยู่ ไม่ยอมใช้อาวุธเวทบินแล้วเดินไปช้า ๆ ทีละก้าว ๆ เช่นนี้ อาศัยที่โม่เทียนเกอจิตใจหนักอึ้งเพียงก้มหน้าก้มตาตามเขาไปก็เลยคิดไม่ถึงเรื่องนี้

เดินไป ๆ คนข้างหน้าจู่ ๆ หยุดลง โม่เทียนเกอศีรษะกระแทก จมูกกระแทกจนแดงขึ้นมาทันที หากมิใช่ว่ามีพลังวิญญาณคุ้มครองกายก็เกรงว่าเลือดกำเดาจะไหลออกมาแล้ว

ฉินซีหันหน้าไป ขมวดคิ้วจ้องมองนาง “เจ้าคิดอะไรอยู่ ถึงขนาดชนกันอย่างนี้เชียวหรือ”

โม่เทียนเกอสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ อย่าว่าแต่นางเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเลย ถึงจะเป็นผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณเล็ก ๆ ที่เริ่มเข้าสู่เส้นทางเซียนก็ไม่ถึงขนาดจะชนแผ่นหลังผู้อื่นอย่างงมงาย เห็นได้ว่าเมื่อครู่นางจิตใจล่องลอยไปไกลลิบ เห็นชัด ๆ ว่าชนเข้าแล้วก็ยังไม่มีปฏิกิริยา

โชคดีที่ฉินซีไม่ได้ถามอย่างจริงจัง พูดประโยคนี้จบแล้วก็กลับไปเดินต่อ

โม่เทียนเกอสัมผัสจมูกแล้วตามต่อไป

จ้องมองแผ่นหลังที่อยู่ข้างหน้า จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าท่วงท่านี้คล้ายกับกลับไปช่วงเวลาที่สำนักอวิ๋นอู้ ตอนนั้นเวลาที่อยู่ร่วมกับฉินซือเกอไม่มากมายเลย ทุก ๆ ครั้งกลับล้วนเป็นประมาณนี้ เขาจะเดินอยู่ข้างหน้าเปิดทางให้ นางก็ก้มหน้าตามไปอย่างนี้

พริบตาผ่านไปหกสิบปีจะเจ็ดสิบปีแล้ว คนสองคนก็ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ในปีนั้น สถานะต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่สภาพการอยู่ร่วมกันยังคงเป็นเช่นในตอนนั้น ตอนนั้นพวกเขาต่างมีความลับของตัวเอง เข้าสู่สำนักอวิ๋นอู้ เรียกขานเป็นซือเกอซือตี้ ระยะห่างระหว่างกันกลับห่างไกล ส่วนตอนนี้พวกเขาเป็นซือเกอซือเม่ยอย่างแท้จริง กลับยังคงรักษาระยะห่าง ถึงจะเชื่อใจแต่ไม่มอบใจให้กัน

ที่จริงไม่ว่าจะเป็นฉินซือเกอหรือว่าโส่วจิ้งซือเกอล้วนปฏิบัติต่อนางดียิ่ง ฉินซือเกอเย็นชา แต่นึกถึงความผูกพันของผู้ร่วมสำนักมาโดยตลอด โส่วจิ้งซือเกอ….. ดูเหมือนไม่ใส่ใจถามไถ่ แต่คิดให้ละเอียดที่นางราบรื่นมาตลอดทางไม่แน่ว่าเป็นเขาที่กรุยทางอยู่ข้างหน้าให้

ก็อย่างตอนนี้ นางแค่เอ่ยถึงคำหนึ่ง เขาจดจำอยู่ตลอด มาถึงสำนักเทียนเต้าสิ่งแรกที่อยากทำก็คือการสืบถามข่าวเพื่อนาง

จะพูดว่าในใจไม่มีความรู้สึกซาบซึ้งเลยมันเป็นไปไม่ได้ แต่นางไม่เคยเป็นคนที่แสดงความรู้สึกเก่ง ถึงแม้ในใจจะมีความรู้สึกซาบซึ้งก็เพียงแค่เก็บเอาไว้ในใจ

“โส่วจิ้งซือเกอ” นางหยุดยืนกะทันหัน

ฉินซีคล้ายจะตอบรับคำหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินไปอีกหลายก้าว เมื่อพบว่านางไม่ได้เดินตามจึงหยุดลงแล้วหมุนตัวมา เห็นนางยืนอยู่บนขั้นบันไดที่ห่างจากเขาไปห้าหกขั้น ศีรษะก้มลง มองสีหน้าไม่ชัดเจน

ผ่านไปพักหนึ่ง นางเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”

ประโยคที่ไม่มีหัวไม่มีหาง เขากลับฟังเข้าใจ

เงียบไปครู่นี้ เขามีสีหน้าเฉยเมย เอ่ยกลับว่า “ลำบากเพียงยกมือ ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว”

นางยังคงก้มหน้า แต่ไม่ตอบคำ

เขาก็ไม่พูดจา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนางเท่าไร โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “แต่ว่า….. ยังคงขอให้หลังจากนี้ซือเกออย่าได้ดีกับข้าเช่นนี้เลย”

……………………….

ฉินซีหมุนตัวเดินไปข้างหน้าทันที ขึ้นบันไดไปสองขั้น หยุดลงอีกครั้ง เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเกรงกลัวอะไร”

โม่เทียนเกอไม่พูด

เข้าหันศีรษะมา เหลือบสายตามอง ยิ้มเย็นชา “ยังนึกว่าข้าละโมบต่ออะไรหรือ”

ไม่รอคำตอบของนาง สะบัดแขนเสื้อ นำเมฆบินออกมา บินเหินขึ้นจากบันไดหยกทันใด ขึ้นเขาอวี้เหิงไปคนเดียวโดยไม่รอนางแม้แต่อึดใจเดียว

ทิ้งให้โม่เทียนเกอจ้องมองเงาหลังของเขา กลืนคำว่า “ไม่ใช่” กลับลงไป

นางแค่อยากพูดว่า อย่าได้ดีกับนางเช่นนี้ ดีจนทำให้นางคิดมาก ไม่ได้เป็นอย่างที่เขานึกเลยจริง ๆ

………………………………………………………

ตอนที่ 273 – กำแพงอาคมหายไป