บทที่ 5 แต่งงานกับชายในฝัน

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 5 แต่งงานกับชายในฝัน

หมี่เซวียนชำเลืองมองฉินปู้เข่อ เมื่อเห็นท่าทีของฉินปู้เข่อที่พยายามควบคุมตัวเองและกลั้นน้ำตาไว้ก็ยิ่งรู้สึกพอใจ

ความไม่ยินยอมของฉินปู้เข่อนี่แหละที่เขาต้องการ

หมี่เซวียนเดินเข้าไปเร่งรัดนาง “ยังไม่รีบทักทายอ๋องเจ็ดอีก”

ว่าอย่างไรนะ นางกำลังจะได้ทักทายชายในฝันของนางรึ

ฉินปู้เข่อรู้สึกหายใจได้อย่างยากลำบาก หัวใจดวงน้อยของนางสั่นระรัว

ชายหนุ่มในยุคสมัยนี้ชอบผู้หญิงแบบไหนกันนะ ฉินปู้เขารู้สึกสับสน นางต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของชายในฝันไว้

“คารวะคุณหนูรองฉิน”

เมื่อเห็นฉินปู้เข่อไม่ยอมพูดจาหลังผ่านมาครู่ใหญ่ หมี่โม่หรู่ชิงจึงปริปากก่อน

หัวใจฉินปู้เข่อกระตุกเต้นผิดจังหวะ ชายในฝันกำลังคุยกับนางอยู่

นางคิดจะคลี่ยิ้มแต่ก็รู้สึกว่าไม่งดงาม องค์รัชทายาทจอมหื่นชอบฉินเสวี่ยเหลียนมาก ไม่แน่ว่าแบบฉินเสวี่ยเหลียนอาจเป็นมาตรฐานของสาวงามยุคนี้ก็เป็นได้

ฉินปู้เข่อหวนนึกถึงท่าทางเขินอายของฉินเสวี่ยเหลียนเมื่อครู่ จึงแสดงท่าทางเขินอายเช่นเดียวกันเงยหน้าขึ้นและส่งยิ้มให้หมี่โม่หรู่ ก่อนจะก้มหน้ายิ้มกระมิดกระเมียน

และเงยหน้ามองหมี่โม่หรู่ด้วยสายตาเขินอายอีกครั้ง และก้มหน้ายิ้มขลาดเขิน

ช่วยไม่ได้ นางทนไม่ไหวจริงๆ

ชายในฝันเป็นฝ่ายทักทายนางก่อน นางจึงแทบจะอดกลั้นความยินดีปรีดาที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจไม่ได้

หมี่โม่หรู่มองท่าทางเสแสร้งเขินอายของหญิงสาวตรงหน้าแล้วหมดคำพูด เนื่องจากยังมีคนอยู่รอบตัว เขาจึงอดกลั้นไว้และกล่าว “ข้าหมี่โม่หรู่ คารวะคุณหนูรองฉิน”

ฉินเสวี่ยเหลียนใช้ศอกสะกิดอย่างแรง ฉินปู้เข่อถึงได้สติ

“คารวะท่านอ๋องเจ็ด”

หลังจากหมี่เซวียนเห็นว่าทั้งสองทักทายกันแล้ว จึงประกาศเสียงดังก้อง “ในเมื่อน้องเจ็ดและคุณหนูรองฉินได้พบหน้ากันอย่างมีความสุขแล้ว เช่นนั้นวันนี้จะถือโอกาสหมั้นหมายเรื่องของพวกเจ้าสองคนไว้”

หมี่โม่หรู่เงยหน้าอย่างประหลาดใจ “ท่านพี่ เรื่องแต่งงานของกระหม่อมควรให้เสด็จพ่อ…”

“พี่ใหญ่เปรียบเสมือนบิดา น้องเจ็ดไม่พอใจในการจัดการของข้าหรือไม่พอใจในตัวคุณหนูรองของมหาเสนาบดีฉิน”

ประโยคข่มขู่ทำให้หมี่โม่หรู่ไม่กล้าเอ่ยคำใด เขาผงกหัว “ขอบคุณท่านพี่ ขอบใจท่านมหาเสนาบดีฉินที่ให้เกียรติ”

ฉินปู้เข่อดีใจจนแทบอยากจะกระโดดโลดเต้น “ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ”

“หากเช่นนั้น หากเลือกวันที่เหมาะสมไม่ได้ ทั้งตอนนี้ยังไม่ดึกนัก ข้าจะจัดงานแต่งงานให้พวกเจ้าสองคนเลยเป็นอย่างไร”

ต้องให้ฉินปู้เข่อแต่งงานกับเจ้าขี้โรคอายุสั้นคนนี้เท่านั้น ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก(*生米煮成熟饭 (shēng mǐ zhǔ chéng shú fàn หมายถึง เรื่องราวเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนได้อีก ความหมายใกล้เคียงกับสำนวนไทยว่า ‘สายเกินแก้’) เช่นนั้นถึงจะสาแก่ใจเขา

“แต่ว่า…” มหาเสนาบดีฉินเกิดความลังเล มีที่ไหนกันเลือกแต่งงานตอนกลางคืน อีกอย่างนี่ก็ล่วงเลยไปจนจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว

“ข้าจะเป็นสักขีพยานให้พวกเขาเอง เกียรตินี้มิมีใครได้รับ ข้าเชื่อว่าน้องเจ็ดและคุณหนูรองฉินไม่ถือสาหรอกจริงหรือไม่” หมี่เซวียนเอ่ยขัดคำพูดของมหาเสนาบดีฉิน

ไม่ถือ ไม่ถือสาเลย ไม่ถือสาเลยสักนิด!

ตอนนี้ฉินปู้เข่อตาพร่ามัวด้วยเพราะความดูดีของหมี่โม่หรู่เพิ่งได้เจอชายในฝันก็อยากจะแต่งงานกับเขา

การทะลุมิติครั้งนี้ช่างดีกับนางเสียจริง

ฉินปู้เข่อตกอยู่ในห้วงของความหล่อเหลา และความยินดีปรีดา และไม่ได้สังเกตเห็นความดุดันที่ฉายผ่านนัยน์ตาของหมี่โม่หรู่เลยสักนิด

หมี่โม่หรู่มององค์รัชทายาทที่กำลังทำให้ทุกอย่างบรรลุจุดประสงค์ให้ได้ และมหาเสนาบดีฉินที่มองเขาโดยไม่พูดจา ความมืดมัวในนัยน์ตาสลายหายไปอย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าและกล่าวเรียบๆ “น้อมรับบัญชาองค์รัชทายาท”

องค์รัชทายาทหมี่เซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ น้องเจ็ดคนนี้เชื่อฟังมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตอนเด็กที่เขาพาลูกหลานราชวงศ์คนอื่นมารังแกเขา หรือการบังคับแต่งงานในครานี้ การกระทำของหมี่โม่หรู่ล้วนทำให้เขาพึงพอใจอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ หมี่โม่หรู่และฉินปู้เข่อจึงโดนดันเข้าห้อง เพื่อเปลี่ยนชุดแต่งงาน

เนื่องจากเป็นการเตรียมอย่างการกะทันหัน ชุดแต่งงานของทั้งคู่จึงไม่พอดีกับร่างกาย

แขกเหรื่อในงานต่างนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิมกับเรื่องทุเรศที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

มหาเสนาบดีฉินผู้นี้เป็นยอดฝีมือจริง ๆ

ทีแรกมีเพียงลูกสาวคนรองที่หมั้นหมายกับองค์รัชทายาท หารู้ไม่บัดนี้ลูกสาวคนโตกลับได้หมั้นหมายกับองค์รัชทายาทจนกลายเป็นว่าที่ชายา ส่วนลูกอนุที่โดนถอนหมั้นได้แต่งงานกับองค์ชายเจ็ด ณ ตอนนี้ และกลายเป็นชายาขององค์ชายเจ็ด

แม้ว่าองค์ชายเจ็ดจะมีสุขภาพไม่แข็งแรงเท่าไร จึงไม่ได้รับหน้าที่ใหญ่หลวง แต่อย่างไรก็ถือเป็นเชื้อพระวงศ์

งานเลี้ยงคราเดียว มหาเสนาบดีฉินสามารถใช้ลูกสาวสองคนดึงราชโอรสเป็นฝ่ายตนได้ถึงสองคน ฉลาด ฉลาดยิ่งนัก!

เหล่าสตรีบุตรสาวขุนนางในงานต่างเห็นใจฉินปู้เข่อมากขึ้น

การเปลี่ยนคู่หมั้นอย่างกะทันหัน สามีจากองค์รัชทายาทที่ใคร ๆ ต่างยอมรับแปรเปลี่ยนเป็นองค์ชายขี้โรคที่ใคร ๆ ต่างรู้กันดี หนำซ้ำยังจัดพิธีสมรสตอนกลางคืนโดยไม่มีสิ่งใดอีกด้วย

ไม่มีสินสอด ไม่มีแม่สื่อ ไม่มีขบวนขันหมาก มีเพียงการคารวะซึ่งกันและกันของสามีภรรยา

ปกติพวกอนุของขุนนางต่าง ๆ เวลาแต่งเข้าจวนยังต้องเอิกเกริก จัดงานตอนเช้าให้อึกทึกเสียหน่อย

แย่เสียจริง ฉินปู้เข่อมีเพียงเปลือกนอกอันงดงาม ทว่าสมองไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โดนบิดาและพี่สาวเชิดเป็นหุ่นขนาดนี้ยังยอมรับได้โดยไม่เถียงอะไรสักคำ น่าอนาถแท้

อีกอย่างร่างกายของอ๋องเจ็ด จะผ่านคืนเข้าหอในคืนนี้ไปได้หรือไม่นั้นยังไม่รู้เลย

ด้วยเหตุนี้ ฉินเสวี่ยเหลียนและองค์รัชทายาทจึงส่งทั้งสองคนกลับตำหนักของอ๋องเจ็ดด้วยรถม้าก่อนเที่ยงคืน

บนรถม้า ฉินปู้เข่อจะดึงผ้าคลุมหัวออกอย่างอดรนทนไม่ไหว

น้ำเสียงเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“ในวันแต่งงาน มีเพียงเจ้าบ่าวเท่านั้นที่เลิกผ้าคลุมหัวของเจ้าสาวได้”

เสียงผู้หญิง? ในรถม้านี้ต้องมีแค่นางและหมี่โม่หรู่ไม่ใช่เหรอ เหตุใดถึงมีหญิงอยู่อื่นด้วย

“อู๋เยว่ ถอยไป” เสียงนุ่มลึกฟังดูเย้ายวนของหมี่โม่หรู่ดังขึ้น

มีเสียงเลิกม่านรถม้าดังขึ้น หญิงนางนั้นเดินออกไป ดูเหมือนจะเป็นนางกำนัลข้างกายอ๋องเจ็ด

ฉินปู้เข่อหันไปหาเขาตามเสียง “ท่านอ๋องเจ้าคะ รีบเลิกผ้าคลุมหัวของข้าเถิด”

หมี่โม่หรู่เม้มปากและตอบเสียงเบา “เมื่อเลิกผ้าคลุมหัวนี้แล้วเจ้าไม่อาจเปลี่ยนใจได้อีก ไม่แน่ข้าอาจสิ้นลมภายพรุ่งนี้ก็เป็นได้ เจ้าจักกลายเป็นม่ายนะ”

“ไม่เป็นไร” เสียงนุ่มลึกชวนหวั่นไหวดังสะท้อนอยู่ในรถม้าจนร่างกายฉินปู้เข่ออ่อนระทวยไปทั้งตัว ไม่อาจใช้สมองคิดสิ่งใดได้เลย และไม่ได้ยินเลยว่าหมี่โม่หรู่พูดอะไร

ทีแรกนางนึกว่าเมื่อได้ยินคำตอบของนางแล้วหมี่โม่หรู่จะเลิกผ้าคลุมหัวขึ้น แต่รออยู่นานก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าจะมีคนเดินเข้า

ฉินปู้เข่อก้มหน้ามองสำรวจ และก็พบกับรองเท้าหุ้มข้อสีดำที่อยู่บริเวณที่พักเท้าของเก้าอี้เข็นที่อยู่เยื้องไปทางขวา นางเดินไปอยู่ตรงหน้าเขาและพูดเสียงดัง “หมี่โม่หรู่ ข้าบอกให้ยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้”

หมี่โม่หรู่ผงะและถอยไปด้านหลังด้วยสัญชาตญาณ หญิงคนนี้ต้องการอะไร

เมื่อฉินปู้เข่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะยกมือ จึงดึงมือของหมี่โม่หรู่และจับเลิกผ้าคลุมหัวเสียเอง

“แค่เลิกผ้าคลุมหัวเอง พิรี้พิไร้อยู่ได้”

หมี่โม่หรู่พูดอะไรไม่ออก สตรีนางนี้ไม่ได้หน้าด้านธรรมดานะ แต่นี่น่ะหรือหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ยที่เล่าขานกัน ไหนบอกว่าเป็นสตรีที่ปราดเปรื่อง อ่อนโยนและรู้ความ งามทั้งภายนอกและภายในมิใช่รึ

แต่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นสตรีนางนี้ก็รู้สึกว่าคำพูดสวยหรูทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางเลยสักนิด

เมื่อเลิกผ้าคลุมหัวออกแล้ว ฉินปู้เข่อมองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของชายตรงหน้าแล้วรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่เต็มท้อง

หมี่โม่หรู่มองหญิงสาวที่มีใบหน้าแดงก่ำ สายตาหื่นกระหายอยากเอ่ยอะไรบางอย่าง เขาจึงทำได้แค่มองไปทางอื่นอย่างหมดคำพูด