บทที่ 4 ได้พบชายในฝัน

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 4 ได้พบชายในฝัน

ในยุคโบราณ การท้องก่อนแต่งงานถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงกว่าการถอนหมั้น

ฉินเสวี่ยเหลียนทรุดตัวคุกเข่าลงแทบเท้ามหาเสนาบดีฉิน และดึงชายเสื้อของเขา “ท่านพ่อ ลูกกับองค์รัชทายาทชอบพอกัน…”

เพี๊ยะ!

ยังไม่ทันสิ้นเสียงของหญิงสาว มหาเสนาบดีฉินก็ตบหน้าฉินเสวี่ยเหลียนฉาดใหญ่ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าลูกสาวที่เชื่อฟังและอ่อนโยนจะกระทำเรื่องไร้ศีลธรรมอย่างการแอบพลอดรักกับผู้อื่น

เสียงเอะอะโวยวายเช่นนี้ย่อมเรียกสายตาจากแขกเหรื่อมากมาย

คนมีความสามารถในการฟังเป็นเลิศ พอจะจับใจความได้ต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา

“ที่แท้ลูกสาวสายตรงของมหาเสนาบดีก็หน้าไม่อายถึงเพียงนี้”

“สตรีเช่นนี้หากเกิดในครอบครัวธรรมดาต้องถูกจับยัดกรงหมู และทิ้งลงแม่น้ำไปแล้ว ไม่รู้ว่ามหาเสนาบดีฉินจะจัดการกับนางอย่างไร…”

“มิน่าล่ะ ฉินปู้เข่อถึงจะขอถอนหมั้น ที่แท้ก็โดนพี่สาวคนนี้บีบบังคับ ก็จริง นางเป็นเพียงลูกอนุจะแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับลูกสายตรงได้อย่างไร”

“ข้าว่าฉินเสวี่ยเหลียนนี่ต่ำช้าจริง ๆ ถึงขั้นให้ท่าองค์รัชทายาท เพียงเพราะหวังตำแหน่งชายา…”

ผู้คนในห้องโถงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาจากเรื่องการถอนหมั้น ไปเป็นวิจารณ์เรื่องความแพศยาของฉินเสวี่ยเหลียนแทน

“มหาเสนาบดีฉิน ข้าเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เดิมทีข้าตั้งใจไว้ว่าอีกประเดี๋ยวจะมาสู่ขอลูกสาวของท่าน”

เสียงซุบซิบนินทาอันเสียดแทงทำให้หมี่เซวียนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเหลือบมองใบหน้าที่บวมแดงของฉินเสวี่ยเหลียนแล้วนึกสงสาร จึงเดินขึ้นไปและประสานมือพลางกล่าว

อย่างไรเสียเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เพื่อรักษาหน้าตาของจวนมหาเสนาบดี มหาเสนาบดีฉินจึงได้แต่ยอมตกลงให้เปลี่ยนคู่หมั้นกะทันหัน ก่อนเอ่ยอย่างปวดใจ “องค์รัชทายาท ท่านกับเสวี่ยเหลียน…พวกท่านน่าจะบอกกระหม่อมก่อน สถานการณ์เช่นนี้จะให้กระหม่อมเอาหน้าที่ไหนไปเจอฝ่าบาทกันเล่า”

หมี่เซวียนรู้ว่าการแต่งงานระหว่างเขากับฉินปู้เข่อเกิดขึ้นเพียงเพราะเสด็จพ่อต้องการกระชับความสัมพันธ์กับจวนมหาเสนาบดีให้แน่นแฟ้นกว่าเดิมผ่านการเกี่ยวดอง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะเป็นทายาทสายตรงหรือลูกอนุภรรยาที่แต่งเข้าตำหนักองค์รัชทายาทมาเป็นชายาก็ไม่ต่างกัน ขอเพียงเป็นคนของจวนมหาเสนาบดีก็พอ

“ท่านเสนาบดีฉินสบายใจได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปอธิบายให้เสด็จพ่อฟังเอง”

ได้ฟังประโยคนี้ของหมี่เซวียน ฉินเฉิงหย่งจึงได้ถือว่าเรื่องอื้อฉาวของฉินเสวี่ยเหลียนจบลงแล้ว “ขอรับ เช่นนั้นคนที่หมั้นกับองค์รัชทายาทในวันนี้คือทายาทสายตรงของข้ามหาเสนาบดีฉิน ฉินเสวี่ยเหลียน”

เช่นนั้นให้ฉินปู้เข่อตบแต่งกับอ๋องจั่วเสียนแทน แผนการโดยรวมถือว่ายังไม่เปลี่ยนแปลง

ฉินเสวี่ยเหลียนร้องไห้สะอึกสะอื้นหวังจะพูดอะไรอีก หากแต่มหาเสนาบดีฉินสะบัดมือออกและตะคอกออกมาเสียงดัง “ยังไม่รีบออกไปอีก จะอยู่ให้ตรงนี้ให้ขายหน้าไปถึงเมื่อใด!”

ฉินเสวี่ยเหลียนถลึงตามองฉินปู้เข่ออย่างแค้นเคือง เดิมทีนางวางแผนให้ฉินปู้เข่อเสียพรหมจรรย์และโดนครหาจากผู้คนมากมาย คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะตาลปัตรไปหมด

นางลุกขึ้นด้วยความคับแค้นใจ และเดินออกไปนอกห้องโถง แม้ว่าผลลัพธ์ในวันนี้จะเป็นไปตามที่นางต้องการ ทว่าคำครหาที่ว่านางท่าองค์รัชทายาทคงติดตัวนางไปอีกนาน แม้กระทั่งฮองเฮาในวังก็คงรังเกียจนาง

แม้ว่าหมี่เซวียนจะไม่อาจใช้อารมณ์กับฉินปู้เข่อได้ แต่ก็ยังโกรธเคืองนางที่นางมาเปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฉินเสวี่ยเหลียนต่อหน้าทุกคนอยู่ดี

เมื่อนึกถึงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจของหญิงสาวคนนี้ที่เผยให้เห็นตอนพูดเรื่องถอนหมั้นในห้องเก็บฟืน ก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ

เฮอะ เป็นเพียงลูกอนุ บังอาจปฏิเสธข้า

คิดว่าการที่ตัวเองได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ยแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ หรือนางคิดว่ามีบุรุษที่ดีกว่านี้ให้นางเลือก

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านเสนาบดีฉิน วันนี้คุณหนูรองฉินโดนถอนหมั้นกะทันหัน หากเรื่องนี้เผยแพร่คงจะไม่เป็นการดีเท่าไร ไม่อย่างนั้นข้าเลือกสามีให้นางจากที่ตรงนี้เลยและกำหนดวันหมั้นขึ้นเสีย จวนมหาเสนาบดีจะได้มีเรื่องมงคลทีเดียวถึงสองครา”

“ทำเช่นนี้คงจะไม่เหมาะเท่าไร” มหาเสนาดีฉินรีบปฏิเสธ เรื่องเปลี่ยนคู่หมั้นกะทันหันในวันนี้ยังไม่รู้ว่าต้องอธิบายกับองค์ฮ่องเต้เช่นไร

หมี่เซวียนเลิกคิ้ว “คุณหนูรองฉินยอมเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นเพื่อให้เสวี่ยเหลียนได้สมดั่งปรารถนา ข้าเองก็ไม่อยากให้นางได้รับความไม่เป็นธรรม ข้านึกได้ว่าอ๋องเจ็ดยังไม่เคยมีคู่หมั้นคู่หมาย อายุเขารุ่นราวคราวเดียวกับคุณหนูรอง ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็หมั้นหมายเลยแล้วกัน”

ในเมื่อเป็นลูกอนุต่ำต้อยที่กำเนิดจากนางคณิกาขับร้อง ย่อมต้องจับคู่กับราชโอรสที่กำเนิดจากนางกำนัลฐานะต้อยต่ำ

มหาเสนาบดีฉินคิดจะเอ่ยบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ของหมี่เซวียนแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ จึงจำยอมต้องพยักหน้าตกลง

หากเขาปฏิเสธการหมั้นในครั้งนี้แล้วหมี่เซวียนเปลี่ยนใจไม่ยอมแต่งงานกับเสวี่ยเหลียนจะทำอย่างไร แม้ว่าตอนนี้เสวี่ยเหลียนจะตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขขององค์รัชทายาท แต่หากองค์รัชทายาทไม่ยอมรับก็มิอาจทำอะไรได้ รั้งแต่จะทำให้ชื่อเสียงของเสวี่ยเหลียนฉาวโฉ่ยิ่งขึ้น

ถึงเวลานั้นบุตรสาวคนโตของจวนมหาเสนาบดีที่เสื่อมเสียชื่อเสียง แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากขายหน้าที่ได้มา อีกทั้งสายสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทคงจะขาดสะบั้นเพราะเหตุนี้ ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ต้องควบคุมองค์รัชทายาทให้ได้ก่อน เรื่องอื่นได้ค่อยวางแผนทีหลัง

คำพูดของหมี่เซวียนสร้างความวุ่นวายในโถงหลักของจวนฉินอีกระลอก

สายตาที่บรรดาสตรีจากตระกูลชั้นสูงมองฉินปู้เข่อแปรเปลี่ยนจากสมน้ำหน้า เป็นสงสารเห็นใจ และจากเห็นใจเป็นเย้ยหยัน

สรุปแล้วด้านหนึ่งสงสารที่นางโดนพี่สาวแท้ ๆ แย่งตำแหน่งชายาองค์รัชทายาทไป อีกด้านเย้ยหนันที่นางร่วงจากตำแหน่งว่าที่ชายาองค์รัชทายาทมาเป็นชายาท่านอ๋องขี้โรค

ฉินปู้เข่อโดนมองด้วยสายตาแปลก ๆ ของผู้คนที่รายล้อม นางพยายามรื้อฟื้นความทรงจำในหัว

อ๋องเจ็ดผู้นี้เป็นใครกัน

เหมือนนางจะไม่เคยเห็นหน้าตาของอ๋องเจ็ดมาก่อน

เคยได้ยินเพียงอ๋องเจ็ดเป็นโอรสที่เกิดจากนางกำนัล เนื่องจากมารดาผู้ให้กำเนิดมีฐานะต่ำต้อย จึงอาศัยอยู่ในตำหนักเย็นกับผู้เป็นแม่

เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เติบโตมานั้นเลวร้ายมากบวกกับได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน สุขภาพของอ๋องเจ็ดท่านนี้จึงอ่อนแอยิ่งนัก เพียงลมพัดแผ่วเบายังทำให้ร่างกายเขายังสั่นสะท้านได้

เพราะฉะนั้นอ๋องเจ็ดท่านนี้ก็คือ ‘หลินไต้อวี้’ ในฉบับผู้ชายหรือนี่

ในหัวของฉินปู้เข่อมีภาพไต้อวี้ผู้บอบบางฝังดอกไม้แวบผ่านไป ข้างหูราวกับได้ยินเสียงเพลงประกอบหนัง ‘ความฝันในหอแดง’

นางอดตัวสั่นไม่ได้

หมี่เซวียนเห็นปฏิกิริยานี้ของนางแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

นี่แหละปฏิกิริยาที่เขาต้องการ

“ข้าจำได้ว่าวันนี้น้องเจ็ดก็มาด้วย เด็ก ๆ ผลักน้องเจ็ดมาที” หมี่เซวียนเอ่ยเสียงดังกังวาน

ผลัก…มา…

ฉินปู้เข่อตัวแข็งทื่อไป หรือว่าอ๋องเจ็ดไม่ได้เป็นเพียงคนขี้โรค หากยังพิการอีกด้วย

“คารวะองค์รัชทายาท แค่กๆ”

เป็นคนขี้โรคจริง ๆ ด้วย พูดแค่ประโยคเดียวยังไออยู่พักหนึ่ง

แต่น้ำเสียงของเขาน่าฟังจริง ๆ ออกเสียงชัดเจน นุ่มนวลน่าฟัง แค่ได้ยินก็คิดไปไกลแล้ว

“คุณหนูรองฉิน นี่คือน้องเจ็ดของข้า หมี่โม่หรู่”

ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เมื่อทอดสายตาไปที่ร่างสีขาวบนเก้าอี้เข็นแล้วก็ไม่อาจมองที่อื่นใดได้อีก

ชายหนุ่มท่าทางอายุราว ๆ ยี่สิบเอ็ดถึงยี่สิบสอง สวมชุดผ้าไหมสีขาวทอดิ้นเงินลายเมฆครามเข้ารูปกับหุ่นของเขา ดูสะอาดบริสุทธิ์

แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น ทว่าแผ่นหลังเขาตั้งตรง ไม่มีได้ดูไร้เรี่ยวแรงเหมือนคนป่วยเลยแม้แต่น้อย

ที่สำคัญคือหน้าตาของเขาตรงตามสิ่งที่ฉินปู้เข่อวาดฝันไว้ทุกอย่าง

ใบหน้าสง่างาม จมูกสูงโด่ง ดวงตาเรียวยาวสีนิล ขนตายาวเป็นแพ ริมฝีปากบางสวย ไฝใต้ตายิ่งขับให้หน้าตาเขาดูเย้ายวนมากกว่าเดิม

โดยรวมแล้วถือเป็นใบหน้าที่อัปมงคล แต่เป็นความหล่อเหลาที่คล้ายคลึงกับบอยแบนด์ในยุคปัจจุบันที่เห็นแล้วอยากจะสิงหน้าจอ

โดยเฉพาะในตอนนี้ ผมสีดำขลับถูกสายลมพัดพาให้พลิ้วไหวไปมาอยู่ตรงข้างแก้ม ยิ่งเพิ่มความงดงามเข้าไปอีก

หากปล่อยผมลงมาแล้วแต่งหน้า ต้องเป็นคนแต่งหญิงได้งดงามจนยากจะแยกเพศออกอย่างแน่นอน

ฉินปู้เข่อตื้นตันจบน้ำตาแทบจะไหล

ชาติก่อนนางเป็นใคร นักกีฬาสานต่านะ

คลุกคลีกับเด็กผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก แมนมาแต่ไหนแต่ไร

หลังจากอายุสิบห้าปีและเริ่มเข้าร่วมการแข่งขัน ผู้ชายที่เจอก็มีแต่พวกนักกล้ามที่มีกล้ามเป็นมัด ๆ

ว่ากันว่าคนเรามักชอบในสิ่งที่ขาดหาย

สำหรับฉินปู้เข่อ สิ่งที่นางขาดก็คือความเป็นผู้หญิง

ดังนั้น นางจึงชอบพวกเด็กหนุ่มบอยแบนด์ และไอดอลสุดหล่อเป็นที่สุด

ถึงจะแม้มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าเหล่าไอดอลและบอยแบนด์นั้นดูบอบบางเกินไป มีร่างกายเป็นชายแต่ท่าทางคล้ายหญิง แต่ฉินปู้เข่อชอบแนวนี้

ฉินปู้เข่อกำแขนเสื้อไว้แน่น กรีดร้องในใจไม่หยุด ‘นิ่งไว้ นิ่งไว้ ที่นี่คนเยอะ ต้องควบคุมกำลังที่เอ่อล้นขึ้นมาให้ได้ ต้องควบคุมตัวเองไว้อย่าพุ่งไปจูบเขา’