บทที่ 5 จิตวิญญาณอาวุธสหายคู่ชีวิต
ชิงเป่ยไม่สนใจนาง กลับก้าวเท้ามาข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าเป็นคนกินแก่นเพลิงเยือกแข็งเอง จะสังหารหรือเฉือนเนื้อข้าทิ้งก็แล้วแต่ท่านจะพอใจ ทว่าชิงอวี่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย”
ชิงอวี่ยืนขมวดคิ้วอยู่ข้างกายเขา “เจ้าเสียสติไปแล้ว”
นางทุ่มเทไปมากกว่าจะรักษาเจ้าคนง่อยเปลี้ยเสียขาแถมยังขี้โรคผู้นี้จนหายดี แต่สุดท้ายเขากลับตอบแทนนางเช่นนี้หรือ?
“เจ้าทำเพื่อข้ามามากพอแล้ว ข้าไม่อาจเป็นตัวภาระให้เจ้าต่อไปได้”
“ตัวภาระอะไร? เจ้ากำลังรนหาที่ตายชัด ๆ!” ตัวเขาหรือก็เล็กนิดเดียว รับฝ่ามือคนเหล่านี้ไปสักฝ่ามือคงไม่อาจทนไหว
เมื่อเห็นใบหน้าไม่พอใจจนคิ้วขมวดเช่นนั้นของนาง มุมปากชิงเป่ยพลันปรากฏรอยยิ้มจางขึ้น เดิมทีเขาเองก็เป็นเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากมายนัก ยามเมื่อรอยยิ้มจึงเหมือนธารน้ำแข็งได้ทลายลงเช่นนี้ ชิงอวี่จึงตกใจไม่น้อย
“ชิงอวี่ เจ้าคอยบอกอยู่ตลอดว่าเจ้าไม่ใช่พี่สาวข้า แต่ทุกครั้งเจ้าก็คอยปกป้องข้าจากอันตรายต่าง ๆ เพราะเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น?” ชิงเป่ยหลุบสายตาลงเล็กน้อย พยายามปิดบังอารมณ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ “ไม่ใช่พี่สาวข้าแล้วอย่างไร? คนที่ดีกับข้า ปกป้องข้า ก็มีแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น”
เจ้าเด็กนี่รู้สึกเช่นนี้มานานแค่ไหนกัน ความจริงข้อนี้เขาอาจล่วงรู้ตั้งแต่ที่นางช่วยเขาออกมาจากกองเพลิงในตอนนั้นแล้วก็เป็นได้!
ทว่าเขาไม่ต้องการทำลายสิ่งที่ทั้งคู่มีร่วมกัน ถึงจะไม่ใช่ความจริง แต่มันก็เป็นเรื่องลวงหลอกที่ช่างอบอุ่นและปลอบประโลมจิตใจเขายิ่งนัก…..
ชิงอวี่ยังคงตกตะลึงอยู่ ตอนที่เจ้าเด็กที่สูงยังไม่เท่านางดึงนางไปด้านข้าง นางกลับไม่เอ่ยอะไรแม้แต่น้อย เขายังกล่าวขึ้นว่า “ครั้งนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
ในเมื่อปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะเขาเป็นต้นเหตุ เขาก็ควรเป็นคนที่ออกไปแก้ปัญหานี้เอง
ร่างผอมบางของเขาดูราวกับจะสูงขึ้นเล็กน้อยโดยพลัน มันเต็มไปด้วยความกล้าหาญและความโดดเดี่ยว บรรยากาศโดยรอบตัวเขาพลันเยือกเย็นขึ้น
เจ้าเด็กคนนี้คือคมในฝักโดยแท้ นางตาบอดไปจริง ๆ
ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ไม่รู้สึกกังวลมากเท่าเมื่อครู่ นางเอนหลังพิงกำแพงด้านข้างอย่างสงบ ทำท่าไม่สนใจบรรยากาศเยือกเย็นอันตราย ที่ประกายไฟเพียงนิดก็อาจทำให้เปลวโหมลุกขึ้นได้
“ฮ่า ๆ~ ในที่สุดเจ้าก็ยอมให้เจ้าเด็กนั่นลงมือ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดที่ผ่านมาเจ้าถึงต้องคอยปกป้องเขาอยู่ตลอด…..” น้ำเสียงเกียจคร้านฟังดูแหบน้อย ๆ ราวกับคนเพิ่งตื่นจากนิทราอันยาวนานพลันดังขึ้นในหัว
“เจ้าตื่นแล้วหรือ?” เจ้านี่หลับไปกว่าสองเดือนแล้ว แต่ตื่นมาครั้งนี้ จากเด็กวัยเดินเตาะแตะไม่รู้ประสากลับกลายเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่ง ทั้งน้ำเสียงและร่างกายเปลี่ยนไปไม่น้อย
“ฮ้าว….. ตื่นแล้ว เกิดอะไรขึ้นหรือ? จะสู้กันหรือไม่? ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?” หลังจากปรับตัวและมองดูสถานการณ์เบื้องหน้าแล้ว เขาพลันรู้สึกตื่นเต้นโดยไร้สาเหตุ ทำให้อารมณ์ของชิงอวี่ผันผวนเช่นเดียวกัน
นางส่งสายตาเย็นชาให้ในทันใด “อย่าสร้างปัญหาให้ข้า ในเมื่อเจ้าตื่นแล้วก็ไปบำเพ็ญเพียรต่อเถอะ ข้าไม่อยากมีจิตวิญญาณอาวุธเป็นขยะไร้ค่า”
“มีจิตวิญญาณอาวุธเป็นขยะไร้ค่า?? นี่เจ้ากำลังพูดถึงข้าหรือ?!”
“แล้วเจ้าคิดว่ายังมีขยะชิ้นอื่นอีกหรือ? หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นตัวถ่วงขาข้า ด้วยการบำเพ็ญตนของข้าแล้ว ข้าก็คงไม่ต้องมาติดอยู่ในสถานที่ประหลาดเช่นนี้หรอก! ใครจะไปรู้ว่าเจ้าตามข้ามาจนวิญญาณถูกกลืนหายไปกว่าครึ่งกัน? หากไม่ใช่เพราะสัญญาเลือดระหว่างข้ากับเจ้า ข้าก็คงสลัดเจ้าทิ้งไปนานแล้ว…..”
“หยุด หยุด หยุดเลย เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารับรู้ความผิดแล้ว ข้าจะไปบำเพ็ญเพียรเดี๋ยวนี้ แต่บัดซบเอ๊ย เจ้าเป็นนายหญิงของข้า ทั้งชีวิตนี้เจ้าก็เป็นนายหญิงของข้า ไม่สิ….. ไม่ว่าจะชีวิตไหนเจ้าก็มีเพียงข้าเป็นจิตวิญญาณอาวุธเท่านั้น ฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจะรังเกียจข้ามากมายขนาดไหน เจ้าก็ยังต้องทนข้าต่อไปอยู่ดี!”
น้ำเสียงเขาฟังดูเจ็บปวดไม่น้อย หลังจากแผดน้ำเสียงไม่พอใจเสร็จก็ไม่ออกมาแอบดูเหตุการณ์อีกแม้แต่น้อย ดูท่าจะไปบำเพ็ญเพียรอย่างจริงจังตามที่พูดไปเสียแล้ว
มุมปากชิงอวี่ยกขึ้น ทว่าในใจกลับสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่น
เจ้าหมอนี่อยู่ในร่างนางมาตั้งแต่นางเกิด หลังจากนางตายแล้วก็ยังตามนางมายังโลกประหลาดใบนี้อีก สำหรับนางแล้วเขาคงเป็นผู้เดียวที่นางมิอาจตัดขาดได้อย่างสิ้นเชิง
หากแต่เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถทิ้งนางไปหาเจ้านายใหม่ที่เก่งกาจกว่านี้ได้
“นายหญิง พวกเรามิอาจถูกแยกจากกันได้อีก จะให้ข้าไปหาเจ้านายใหม่ก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเจ้าไม่ใช่เพียงเจ้านาย แต่เป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตของข้า เจ้าเป็นคนให้ชีวิตข้า เปลี่ยนข้าจากจิตวิญญาณอาวุธเย็นเยียบให้มีเลือดเนื้อเช่นนี้ หากทิ้งเจ้าไป ข้าก็เป็นได้เพียงอาวุธไร้ค่าชิ้นหนึ่ง”
หากจิตวิญญาณอาวุธอยู่กับมนุษย์มานานพอ พวกเขาจะมีวิวัฒนาการ และมีอารมณ์เฉกเช่นมนุษย์ ทว่าเรื่องที่น่าเจ็บปวดใจที่สุดคือเรื่องที่มนุษย์ที่มีสายเลือดเดียวกันแท้ ๆ กลับ…..
ชิงอวี่ทำเสียงเดาะลิ้นด้วยแววประชด
“ฮ่า เจ้าหนูที่ไม่รู้ว่าความตายกำลังถามหาผู้นี้” ไป๋จือเยี่ยนมองภาพน่าขันตรงหน้าด้วยนัยน์ตาดูถูกเหยียดหยาม “เหลียนจี ฆ่าเด็กนั่นทิ้งแล้วนำตัวอีกคนมาให้ข้า”
กล้าทำเรื่องเช่นนั้นได้ เจ้าเด็กนี่ก็ต้องกล้ารับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ต้องพบเจอกับชะตาที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย
“เจ้าค่ะ!” หญิงสาวที่เมื่อครู่ยังทำท่าออดอ้อนสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นไร้อารมณ์ บนใบหน้าจับสัมผัสได้เพียงความมุ่งร้าย
นางเป็นเพียงข้ารับใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่ง ทว่ากลับถือครองพลังที่ไม่อาจดูถูกได้ คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่ไม่น่ายุ่งเกี่ยวด้วยอย่างแท้จริง
ชิงอวี่มองคู่ต่อสู้สองคนตรงหน้าสลับไปมา เสี่ยวเป่ยไร้ประสบการณ์การต่อสู้ ต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบภายในเวลาสั้นๆแน่ และอาจจะถูกจับเป็นตัวประกันเพื่อใช้ขู่นางเลยก็เป็นได้
ไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาตินี้ ชิงอวี่เป็นผู้ที่เรียบง่ายไม่หวือหวา นางมีฝีมือมากพอที่จะสำแดงให้ใต้หล้ารู้ ทว่านางเกลียดการสร้างปัญหาเป็นที่สุด หากนางสามารถแก้ปัญหาอย่างสันติได้ นางก็ไม่อยากให้ปัญหานั้นต้องลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่
ดังนั้นเมื่อชิงเป่ยรับหนึ่งฝ่ามือจากคู่ต่อสู้และมีดาบเล่มหนึ่งกำลังพุ่งมาแทงอก ชิงอวี่จึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง คนอื่น ๆ พากันมองภาพการต่อสู้เบื้องหน้าไม่กล้าพูดอันใด นางกระโดดเข้าไปปัดดาบเล่มนั้น กระทั่งดาบพันปีอันเลื่องชื่อของเหลียนจีที่ถูกตีขึ้นด้วยเหล็กวิเศษยังเกิดรอยร้าว
เหลียนจียืนตกตะลึงอยู่นาน นิ้วมือนางชาไปหมด นางเข้าใจในทันทีว่าเด็กหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งมาก
อาวุธของนางมีจิตวิญญาณขึ้นมาแล้ว เทียบกับแต่ก่อนที่ยังไม่มีจิตวิญญาณ ทั้งพลังป้องกันและการโจมตีของนางเพิ่มสูงขึ้นมาก กระทั่งร่างกายนางเองยังแข็งแกร่งขึ้น ศัตรูมากมายนับไม่ถ้วนต้องพ่ายแพ้ให้แก่ดาบของนาง ทว่าเด็กหนุ่มคนนี้กลับสามารถทำให้นางบาดเจ็บได้…..
เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กที่น่ากลัวมาก
นัยน์ตาสีม่วงเบื้องหลังม่านส่องประกายวาบหนึ่ง เป็นแววตาประหลาดที่หาได้ยาก
บุรุษเจ้าเสน่ห์ชุดแดงนามไป๋จือเยี่ยนก็ตกตะลึงไปเช่นเดียวกัน
เหลียนจีเป็นนักฆ่า มีฝีมือล้ำเลิศด้านการลอบสังหาร นางมีความสามารถไม่ธรรมดา นางประมือกับผู้มีฝีมือสูงส่งกว่านางมานับไม่ถ้วนและไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ทว่ากลับถูกเด็กหนุ่มหน้าตางดงามดูไร้พิษภัยเช่นนี้เอาชนะได้
เจ้าเด็กคนนี้….. เป็นใครมาจากไหนกันแน่?
ไป๋จือเยี่ยนตกอยู่ในภวังค์ เขานึกย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนตอนที่เจ้าเด็กนี่ชิงแก่นเพลิงเยือกแข็งเยือกแข็งไป…..
ไม่สิ….. เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง!
แก่นเพลิงเยือกแข็งนั้นเติบโตอยู่ในสวนของนายท่านมาโดยตลอด นอกจากคนใกล้ตัวที่นายท่านไว้วางใจไม่กี่คน หากมีคนนอกเร้นกายเข้ามาก็ไม่มีโอกาสหนีออกไปได้เลย ยังมีหลุมพรางและกับดักมากมายที่ซุ่มซ่อนอยู่อีก หากมีผู้ใดเข้าใกล้นายท่านในระยะหนึ่งร้อยเมตรไม่มีทางรอดออกไปได้โดยไร้บาดแผลแน่นอน!