บทที่ 16 กฎของบ้าน

บทที่ 16 กฎของบ้าน

กู้เสี่ยวอี้ไม่เห็นทรงผมของตนเอง แต่สาวน้อยกลับเห็นสีหน้าที่น่าประหลาดใจของพี่ชายทั้งสองจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนเล็กน้อย นางเอียงศีรษะและถามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นหรือ พี่ชาย?”

ต่างจากปกติหรือ?

กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นเหลือบมองกู้เสี่ยวอี้อีกครั้งพลางพึมพำในใจ นางทำอะไรผิดอีกแล้วเหรอ?

กู้หนิงผิงเป็นคนแรกที่เอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ ท่านยอดเยี่ยมมากเลย”

ใช่ พวกเขาไม่เคยเห็นมวยผมทั้งสองบนศีรษะของกู้เสี่ยวอี้ แม้แต่คนทั้งหมู่บ้านก็น่าจะไม่เคยเห็นเช่นกัน พวกเขาเคยเห็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ถักเปียสองข้างที่ด้านหลัง พวกที่โตกว่าหน่อยก็ถักสองเปียที่ด้านหลังเช่นกัน และพวกคนรวยจะผูกผ้าไหมสีแดงสวย ๆ กับเปีย ซึ่งดูงดงามมาก

อย่างไรก็ตาม วันนี้พวกเขากลับรู้สึกว่าทรงผมที่พี่สาวทำนั้นดูดีที่สุด

ถึงไม่มีผ้าไหมสีแดงสวย ๆ ให้ผูก แต่ด้วยฝีมือการทำผมของพี่สาว ทำให้มวยผมน้อย ๆ นี้ก็ดูเหมือนมีผ้าแดงผูกประดับอยู่เช่นกัน

กู้เสี่ยวอี้ตกตะลึง จากนั้นจึงหยิบกระจกทองแดงแตก ๆ ที่กู้เสี่ยวหวานคิดว่าน่าจะหล่นลงมาจากที่ใดก็ไม่ทราบได้ เด็กน้อยมองดูอย่างระมัดระวังแล้วยิ้ม “ท่านพี่ ทรงผมที่พี่ทำงามมากจริง ๆ หรือเจ้าคะ?”

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกสงสัย งามไหมน่ะหรือ? ฝีมือแค่นี้เรียกว่างามได้ด้วยหรือ?

ในยุคปัจจุบัน ผมทรงซาลาเปากลม ๆ เป็นทรงผมที่ต่อให้ทำผมไม่เป็นก็เกล้าได้ ทรงผมในสมัยโบราณควรจะซับซ้อนกว่านี้ แม้จะไม่มีสภาพเช่นนี้ในหมู่บ้าน แต่ก็ควรจะดีกว่าที่นางทำหรือไม่?

กู้เสี่ยวหวานเห็นน้อง ๆ มองนางด้วยความชื่นชม นางก็พลันรู้สึกหนักใจเล็กน้อย เป็นไปได้ไหมว่านางเพิ่งจะเป็นผู้บุกเบิกงานฝีมือประเภทนี้เป็นครั้งแรกในชนบทเมื่อหลายพันปีก่อน?

กู้เสี่ยวหวานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจเล็กน้อยที่นางเป็นผู้บุกเบิกงานฝีมือนี้ ดูเหมือนว่าต่อให้สถานที่จะดูยากจน แต่ก็มีพื้นที่ให้พัฒนาอีกมาก!

กู้หนิงอันเทน้ำลงในอ่างแล้วยกอ่างเข้าไปในครัวเล็ก ๆ กู้เสี่ยวหวานขอให้กู้หนิงผิงกับกู้เสี่ยวอี้รออยู่ในห้องใหญ่ และรีบหยิบชามสี่ใบจากโต๊ะในห้องใหญ่มาวางที่ครัว

ส่วนที่หน้าเตา กู้หนิงอันก็ปิดปากเตาด้วยอิฐสีดำรมควันสองก้อน

กู้เสี่ยวหวานหยิบชามและเดินไปที่หม้อ

เด็กสาวหยิบกระบวยผลบวบขึ้นมาก่อน น้ำที่เดือดเมื่อครู่ตอนนี้ยังร้อนอยู่ กู้เสี่ยวหวานจึงเทน้ำอุ่นลงในชามแล้วจิบเล็กน้อย

นี่เป็นนิสัยของนางเมื่อชาติก่อน ทุกเช้าที่นางตื่นขึ้น นางต้องดื่มน้ำอุ่นแก้วใหญ่เพื่อขับลำไส้และเป็นยาระบาย

จากนั้นก็เทใส่ชามอีกสามใบและยื่นให้กู้หนิงอันหนึ่งใบโดยกล่าวว่า “หนิงอันดื่มน้ำชามนี้สิ”

กู้หนิงอันหยิบชามขึ้นมาด้วยความงุนงงเล็กน้อย กู้เสี่ยวหวานอธิบายต่อว่า “การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าสามารถชำระสิ่งสกปรกในท้องของเราได้นะ”

เมื่อเห็นว่ากู้หนิงอันยังคงงงงวย กู้เสี่ยวหวานจึงได้เปรียบเทียบ “มันก็เหมือนกับตอนที่เจ้าล้างมือ มือของเราสกปรก เราก็ล้างด้วยน้ำสะอาด เมื่อเสื้อผ้าของเราสกปรก เราก็ต้องซัก ทุกวันในท้องของเราจะมีสิ่งสกปรกมากมาย แค่ดื่มน้ำทุกเช้าก็ล้างท้องได้แล้ว เข้าใจไหม”

กู้หนิงอันดูเหมือนจะเข้าใจ ซึ่งเขาก็พยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจด้วย

จากนั้นภายใต้คำสั่งของกู้เสี่ยวหวาน เขาก็ดื่มน้ำทั้งชามด้วยการจิบเล็กน้อย

หลังจากดื่มเข้าไปแล้ว กู้หนิงอันก็รู้สึกสบายไปทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นภาพลวงตาหรือไม่ก็ตาม จากนั้นเขาก็นำน้ำอุ่นสองชามเข้าไปในห้องใหญ่

กู้เสี่ยวหวานตักข้าวฟ่างกวนที่เหนียวหนืดใส่ชามสองใบ หลังจากนั้นกู้หนิงอันก็เข้ามาอีกครั้งพร้อมกับชามเปล่า กู้เสี่ยวหวานหยิบชามและตักข้าวฟ่างกวนใส่อีกสองชาม หลังจากใส่ครบสี่ชามแล้วก็ยังเหลือข้าวฟ่างอีกครึ่งชาม และแต่ละชามที่ใส่ไปก็ยังไม่เต็ม

กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ข้าวฟ่างสี่ชามและถอนหายใจ

การทำอาหารให้น้อง ๆ ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก เอาล่ะ คราวหน้านางจะไปที่ภูเขาด้านหลังเพื่อดูว่านางจะลองเสี่ยงโชคได้หรือไม่

กู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงอันออกจากครัวเล็กๆ พร้อมกับข้าวฟ่างสองชาม แล้วเข้าไปในห้องใหญ่

อาจเป็นเพราะมีน้ำมันงาสองหยดอยู่ในนั้น บวกกับเด็ก ๆ มีจมูกไวมาก กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ที่ได้กลิ่นหอม ๆ ก็วิ่งไปที่โต๊ะ และสูดดมลึก ๆ แถมกู้เสี่ยวอี้ยังใช้มือของนางพัดให้กลิ่นลอยเข้ามาที่ปลายจมูกอีกด้วย

“ท่านพี่ ท่านทำอาหารอะไรน่าอร่อยจัง ทำไมมันหอมจังเลย”

“ใช่แล้ว ท่านพี่ มันหอมและน่าอร่อยมากเลย!”

ดวงตาทั้งสามคู่จ้องเข้าไปในชาม กู้เสี่ยวหวานได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของกู่เสี่ยวอี้อย่างชัดเจน และนางก็ไม่รู้ว่าท้องของใครส่งเสียงก้องกังวานออกมา

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเจ็บใจ เป็นเวลานานแล้วที่นางกินข้าวไม่อิ่ม

เด็กสาวลองวัดอุณหภูมิชามข้าวด้วยมือของนาง ซึ่งอาหารในฤดูหนาวจะเย็นลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่นำมันออกมาจากหม้อ

กู้เสี่ยวหวานออกคำสั่ง “กินข้าวเถอะ”

กู้หนิงอัน กู้หนิงผิง และกู้เสี่ยวอี้ต่างก็ยิ้ม เด็ก ๆ มองไปที่กู้เสี่ยวหวานโดยไม่พูดอะไร แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครหยิบตะเกียบขึ้นมาเลย

หัวใจของกู้เสี่ยวอี้เต้นผิดจังหวะ “ทำไมไม่กินกันล่ะ?”

“ท่านพี่ลืมแล้วหรือ ท่านแม่พูดเสมอว่าเราจะยังจับตะเกียบไม่ได้ถ้าพี่คนโตยังไม่จับมัน” กู้หนิงผิงอธิบาย

กู้เสี่ยวหวานหันไปมองกู้หนิงอัน แสร้งทำเป็นเจ็บปวดและพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกว่าหลังจากที่ป่วยครั้งนี้ ดูเหมือนข้าจะลืมอะไรบางอย่างไปเลย”

เมื่อกู้หนิงอันได้ยิน เขาก็รีบจับแขนของกู้เสี่ยวหวาน และพูดอย่างลำบากใจ “ท่านพี่ ไม่สำคัญหรอกว่าท่านจะลืมอะไรไปบ้าง ข้าจะคอยบอกท่านเองขอรับ”

กู้หนิงผิงฟังและพยักหน้าเช่นกัน จากนั้นเขาก็มองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างเป็นกังวลเพราะกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะหายไป

สิ่งที่เกิดขึ้นกับกู้เสี่ยวหวานในครั้งนี้เป็นพรจากสวรรค์ที่ช่วยชีวิตนางไว้

กู้เสี่ยวอี้รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย เด็กน้อยพลันแสบจมูกขึ้นมา “ท่านพี่…”

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เนียนได้อยู่เสี่ยวหวาน ถือว่ายังไม่โป๊ะมากนัก

ไหหม่า(海馬)