บทที่ 17 ออกไป

บทที่ 17 ออกไป

กู้เสี่ยวหวานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกว่าตนลืม อีกทั้งนิสัยและงานอดิเรกก่อนหน้านี้ของกู้เสี่ยวหวานคนเก่า นางก็ไม่ค่อยรู้มากนัก

แทนที่จะทำผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า จึงเป็นการดีกว่าที่จะอธิบายให้พวกเขาฟังพร้อมกันทั้งหมด เพื่อให้พวกเขายอมรับได้อย่างรวดเร็วกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของกู้เสี่ยวหวาน

แต่โชคดีที่เด็กเหล่านี้ไม่สงสัยเลย พวกเขารู้เพียงว่าไม่อาจสูญเสียพี่สาวของตนซึ่งเปรียบเสมือนนางฟ้าและเสาหลักของบ้านไปได้

กู้เสี่ยวหวานหยิบตะเกียบและชามขึ้นมา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ เรามาเริ่มกินกันเถอะ”

ดูเหมือนว่าบิดามารดาผู้ล่วงลับจะสอนเด็ก ๆ ได้ดี แม้พวกเขาจะหิวมากเพียงใด แต่ก็ยังจดจำมารยาทและกฎเกณฑ์ได้อยู่

กู้หนิงผิงหยิบชามขึ้นมา สูดอากาศลึก ๆ แล้วหลับตาลง แสดงออกถึงความพึงพอใจอย่างมาก จากนั้นปากเล็ก ๆ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ กลิ่นมันหอมมาก!”

กู้เสี่ยวอี้ยกชามข้าวขึ้นมาซดจากขอบชามคำโต เด็กน้อยแลบลิ้นเลียขอบชามเป็นครั้งคราว “ท่านพี่ อร่อยมาก”

กู้หนิงอันยังคงเงียบและลิ้มรสอย่างระมัดระวัง จากนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นพึงพอใจ และค่อย ๆ รับประทานด้วยการจิบเล็กน้อย ราวกับว่าชามที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ข้าวฟ่างกวน แต่เป็นอาหารที่มีวัตถุดิบจากภูเขาและทะเล

เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานถือชามแต่ไม่ได้ใช้ตะเกียบ กู้หนิงอันก็พูดขึ้น “ท่านพี่ ทำไมไม่กินล่ะ อีกเดี๋ยวจะเย็นเอานะ ท่านพี่รีบกินเร็ว ๆ เข้า”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและหันกลับมาที่ชามของตนอย่างรวดเร็ว ในแววตาของนางแสดงถึงความรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย นางทำได้เพียงหายใจเข้าลึก ๆ และลืมตาขึ้นเพื่อระงับความร้อนรุ่มในหัวใจ

กู้เสี่ยวหวานยกซดจากชามอย่างรวดเร็ว นางต้องรีบกินอาหารให้เสร็จ เพราะนางยังหิวอยู่และต้องออกไปหาของกินเพิ่มเติม

ข้าวฟ่างหนืดข้นมากกว่าครึ่งถูกกู้เสี่ยวหวานรับประทานจนหมดโดยไม่ทันได้จิบ แล้วนางก็วางชามลง จากนั้นก็ลุกขึ้นและบอกน้อง ๆ ทั้งสามที่ยังกินกันอยู่ “วันนี้พวกเจ้าสามคนอยู่บ้านนะ ข้าจะออกไปหาของข้างนอกสักหน่อย”

ตอนนี้ไม่สามารถทำอาหารจากวัตถุดิบที่บ้านได้แล้ว ข้าวมื้อเช้าเมื่อครู่เป็นมื้อสุดท้ายแล้ว หากไม่ออกไปลองเสี่ยงโชคดู นางและน้อง ๆ ต้องอดตายแน่

“ไม่!” กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงปฏิเสธพร้อมกันทันที

ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะถามอะไรออกมา กู้หนิงอันก็ยืนขึ้น “ท่านพี่ วันนี้ท่านอยู่บ้านเถิด ข้าจะออกไปกับหนิงผิง”

กู้หนิงผิงเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน และพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ใช่ ท่านพี่ วันนี้ข้าจะออกไปกับพี่หนิงอัน พี่กับเสี่ยวอี้อยู่ที่บ้านนี่แหละ เดี๋ยวเราออกไปเอง”

กู้เสี่ยวหวานมองน้องชายทั้งสองที่เปี่ยมไปด้วยทัศนคติอันแน่วแน่ที่จะไม่ปล่อยนางออกไป ลำคอของนางแข็งเกร็งเล็กน้อย ฝืนยิ้มและพูดว่า “พวกเจ้ายังเด็กอยู่ ข้า…”

“ไม่!” กู้หนิงอันปฏิเสธอีกครั้ง “ท่านพี่ ท่านก็อายุไม่มากไปกว่าข้าหรอก ข้าเป็นบุตรชายคนโตของครอบครัว และจะรับผิดชอบในการเลี้ยงดูครอบครัวนี้เอง”

“ข้าก็ไม่ได้อายุน้อยกว่าพี่ชายสักหน่อย พี่ชายต้องดูแลครอบครัว ข้าก็อยากดูแลครอบครัวด้วยเหมือนกัน!”

สองพี่น้องพูดพร้อมกัน พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจริง ๆ

ต่อให้ร่างกายของกู้เสี่ยวหวานจะหายเป็นปกติแล้ว แต่ข้างนอกนั้นหนาวมาก ถ้าพี่สาวของพวกเขาตัวแข็งขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร พวกเขาไม่กล้าที่จะคิดเรื่องนี้เลยจริง ๆ

กู้เสี่ยวหวานส่ายศีรษะพลางกระพริบตาไล่หยาดน้ำตาที่ไหลออกมาให้กลับเข้าไป และกล่าวออกมาอย่างแน่วแน่ “ฟังข้านะ อาการป่วยของข้าหายดีแล้ว”

วันนี้กู้เสี่ยวหวานต้องออกไป ที่บ้านทำอาหารอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ ถึงข้างนอกจะหนาวมาก แต่บางทีอาจจะโชคดีเจออะไรเข้าก็ได้ ตอนนี้ไม่ว่าจะได้อะไรมากินก็กินได้หมดนั่นแหละ!

นางได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง และนางก็เคยทำการเกษตรมาก่อน จึงรู้ว่าอะไรกินได้และอะไรกินไม่ได้ วันนี้นางต้องได้ออกไปข้างนอก ไม่อย่างนั้นน้อง ๆ ของนางก็ต้องอดตายที่บ้านน่ะสิ?

กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างหนักแน่น “วันนี้ข้าต้องออกไปข้างนอก หากพวกเจ้าเป็นห่วงพี่จริง ๆ หนึ่งในพวกเจ้าสองคนก็ไปกับพี่คนหนึ่ง ส่วนอีกคนไปทำงานบ้านและดูแลเสี่ยวอี้อยู่ที่บ้าน คิดว่าอย่างไร?”

กู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงชำเลืองมองกันและกัน พวกเขาไม่เคยเห็นการแสดงออกแบบนี้ของกู้เสี่ยวหวานมาก่อน ราศีแบบนี้มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ

ทั้งสองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้กู้เสี่ยวหวานออกไป

“ข้าจะไปกับท่านพี่เอง หนิงผิง เจ้าดูแลเสี่ยวอี้ที่บ้านนะ”

กู้หนิงผิงส่งเสียงรับในลำคอโดยไม่พูดอะไรสักคำ กู้เสี่ยวอี้จึงเทข้าวฟ่างทั้งหมดในชามของตัวเองลงในชามของกู้เสี่ยวหวาน ขณะที่กู้เสี่ยวหวานกำลังตกตะลึง กู้เสี่ยวอี้ก็พูดด้วยเสียงขุ่นเคือง “ท่านพี่กินสิ มันยังไม่เย็น”

ปรากฏว่ากู้เสี่ยวหวานต้องการกินมากกว่านี้ เพื่อที่นางจะได้มีพลังงานและไม่หนาวเกินไปขณะออกไปข้างนอก แต่นางไม่ทันได้คิดเรื่องนี้และกำลังจะผลักชามออกไป กู้หนิงผิงก็รีบเอื้อมมือออกมาจับมันไว้ “ท่านพี่ หากท่านยืนยันที่จะออกไปข้างนอก ก็กินข้าวอีกครึ่งชาม ไม่เช่นนั้นท่านก็ห้ามออกไปนะ”

กู้หนิงอันพยักหน้าเห็นด้วยกับแนวทางของกู้เสี่ยวอี้และกู้หนิงผิง

น้ำตาในดวงตาของกู้เสี่ยวหวานกำลังไหลจะออกมา เด็กสาวเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว สูดน้ำมูกแรง ๆ แล้วกินข้าวฟ่างในครึ่งชามตรงหน้าทันที

เมื่อเด็กทั้งสามเห็นว่าท่านพี่ของตนยอมกินแล้ว พวกเขาก็สบายใจ

กู้เสี่ยวหวานวางชามลงอีกครั้ง ในใจของนางรู้สึกปั่นป่วน

คนโตอายุเพียงหกขวบและคนสุดท้องอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้นเองนะ!

ในขณะนี้ หัวใจของกู้เสี่ยวหวานกำลังร้อนรุ่ม

ในอนาคต ไม่ว่าความทุกข์ยากจะรออยู่ข้างหน้ามากแค่ไหน นาง…กู้เสี่ยวหวาน จะเลี้ยงดูทั้งสามคนให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีให้ได้!

กู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงอันเริ่มเตรียมตัว นางถือขวานไว้ในมือพร้อมกับแบกตะกร้าสานจากไม้ไผ่ไว้บนหลัง และบอกกับกู้หนิงผิง “หนิงผิง ข้างนอกอากาศหนาวนะ เจ้าให้น้องสาวอยู่ที่ห้องใหญ่ อย่าออกไปไหน พี่กับหนิงอันจะออกไปสักครึ่งชั่วยามแล้วค่อยกลับมา”

กู้หนิงผิงกอดกู้เสี่ยวหวานก่อนที่นางจะออกไป เขาพยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วมองดูทั้งท่านพี่กับพี่ชายค่อย ๆ เดินหายไปจากสายตา

นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวหวานออกจากลานบ้านในโลกแห่งนี้ เมื่อนางเดินออกไปนอกประตูลานบ้าน กู้เสี่ยวหวานก็จ้องมองรั้วไม้ไผ่ที่ผูกสานกันด้วยเชือกป่านและประตูบ้านที่มองแล้วใคร ๆ ก็เปิดออกได้ หัวใจของนางพลันฮึกเหิมขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจากความรู้สึกถึงวิกฤต…

ประตูและรั้วแบบนี้มันจะไปหยุดใครเขาได้?

และเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ไม่มีเพื่อนบ้านอยู่ใกล้ ๆ บ้านตระกูลกู้เลย เมื่อคลำจากความทรงจำ ดูเหมือนว่าครอบครัวนี้จะอยู่อีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน และบ้านของท่านป้าจางที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างออกไปราว ๆ หนึ่งเค่อ

………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สู้เขาโว้ยเสี่ยวหวาน เสี่ยงดวงครั้งนี้มันต้องมีอะไรดี ๆ กลับมาบ้างแหละ

ไหหม่า(海馬)