“เอ๊ะ? อาจารย์ของคุณซาราสะมาที่นี่ด้วยเหรอคะ?”

“ใช่แล้วล่ะ~ เพราะแบบนี้แหละ เมื่อวานฉันถึงเหนื่อยมากเลย… ปวดกล้ามเนื้อจัง”

 

ฉันนั่งตัวยวบไปบนเคาน์เตอร์ร้านพร้อมร้องเสียง ‘งื้อ~’ เลย

ฉันไม่ค่อยได้ขยับตัวมากขนาดนั้น ก็เลยปวดไปทั้งตัวเลยหลังจากซ้อมมาแค่วันเดียวเอง

ฉันก็เลยพูดกับโลเรียจังที่แวะมาเล่นด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟังในสภาพทั้งๆ แบบนี้เลย

 

“เฮ้อ… ขนาดในการฝึกเล่นแร่แปรธาตุก็ยังทรมานร่างกายเลยเหรอคะเนี่ย”

“เปล่า ไม่ใช่หรอก อา เรื่องภาระหนักกับร่างกายในการเล่นแร่แปรธาตุเนี่ยไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่เรื่องที่ฉันปวดกล้ามเนื้อนี่ เป็นคนละเรื่องกันน่ะ”

 

เข้าใจผิดอย่างโหดร้ายเลยนะนั่นน่ะ

เป็นเรื่องปกติที่จะเข้าใจผิดได้ แถมฉันเองก็มองว่ามันเป็นเรื่องปกติเลยด้วยนะ

 

“ที่ฉันเป็นอยู่นี่ เพราะถูกจับฝึกดาบเกือบทั้งวันต่างหากล่ะ”

“…เอ๋? คนที่มาหาไม่ใช่อาจารย์สอนเล่นแร่แปรธาตุ แต่เป็นอาจารย์สอนดาบหรอกเหรอคะ?”

 

โลเรียจังเอียงคอด้วยความสงสัย พร้อมสีหน้าที่แบบ ‘นี่มันยังไงกันเนี่ย?’ เลย

มันก็ฟังดูไม่มีเหตุผลสำหรับฉันเหมือนกันนะ แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องฝึกดาบตอนที่อาจารย์มาด้วยเนี่ย จริงๆ นะ

 

“ไม่ใช่หรอก แน่นอนว่าก็เป็นอาจารย์สอนเล่นแร่แปรธาตุนี่แหละ”

“…ฉันตามเรื่องที่คุณซาราสะพูดถึงไม่ทันแล้วค่ะ”

“ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน แต่ สรุปสั้นๆ ก็ อาจารย์สอนวิชาเล่นแร่แปรธาตุของฉันมาหา แล้วก็บอกว่า ‘ฝึกร่างกายด้วยน้า~’ จากนั้นก็ชักดาบออกมาเลย แบบนั้นแหละ”

“เออ คือ… นักเล่นแร่แปรธาตุใช้ดาบได้ด้วยเหรอคะ?”

“ที่จริง ฉันก็ใช้เป็นนะ แน่นอนว่าก็เป็นแค่ทักษะแบบกว้างๆ นั่นแหละ เพราะเป็นการฝึกการเก็บรวบรวมวัตถุดิบภาคสนามในโรงเรียนเท่านั้นเอง”

 

ฉันอธิบายระบบหลักสูตรในโรงเรียนแบบคร่าวให้โลเรียจังฟัง ที่ตอนนี้ก็มีเครื่องหมายคำถามลอยขึ้นมาเต็มหัวไปหมดแล้ว

ภาพของนักเล่นแร่แปรธาตุที่คนทั่วไปนึกถึงคงจะเป็นงานที่ใช้แต่สมองสินะ แต่ จริงๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวหรอก

 

“ไหนๆ ก็พูดถึงแล้วเนี่ย อาจารย์ของฉันเนี่ยไม่ใช่แค่พวกครึ่งๆ กลางๆ เลยนะ อาจารย์เป็นคนที่เก่งรอบด้านอันดับต้นๆ ของประเทศเลย”

“จริงเหรอคะ?”

“คิดว่าน้า~ ตัวฉันเองก็ค่อนข้างมั่นใจในตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ก็นะ…”

“สำหรับฉันแล้ว เรื่องที่คุณซาราสะเหวี่ยงดาบได้เนี่ยก็แปลกเหมือนกันนะคะ”

“ก็ ฉันคิดว่านักเล่นแร่แปรธาตุที่ออกไปหาวัตถุดิบด้วยตัวเองจริงๆ นี่ก็มีน้อยมากอยู่แล้วด้วยนั่นแหละ”

 

ถ้าคำร้องจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบที่ไม่สามารถไปเอามาได้นอกจากต้องไปหามาด้วยตัวเอง ก็แค่ปฏิเสธไปก็ได้

ต่อให้ไม่ทำแบบนั้น ก็ยังหาเงินได้เยอะอยู่ดี

ไม่ใช่ว่านักเล่นแร่แปรธาตุทุกคนจะมีความทะเยอทะยานซักหน่อยนี่

 

“แต่ก็น้า ฉันก็ได้ดาบมาจากอาจารย์แล้วด้วย…”

“ว้าว ดาบสวยจังเลยค่ะ”

 

พอฉันชักดาบที่ได้จากอาจารย์ออกมา ก็ทำเอาตาของโลเรียจังส่องเป็นประกายเลย

ไม่ได้มีการประดับอะไรที่ไม่จำเป็น เป็นดาบสำหรับการใช้งานจริงๆ เลย แต่นี่ขนาดผ่านการฝึกจากเมื่อวานนี้มาแล้ว ความเงาวับของใบดาบก็ยังไม่หายไปเลยนะเนี่ย

ถ้าต้องซื้อเอาล่ะก็ ดาบเล่มนี้ต้องราคาแพงแน่นอนเลยล่ะ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางเป็นแค่ดาบทนๆ เล่มนึงแบบที่อาจารย์บอกแบบส่งๆ แน่นอน

 

“ฉันปล่อยมันทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับไม่ได้หรอก เพราะงั้นก็คงต้องฝึกต่อไปนั่นแหละนะ”

“คุณซาราสะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุไม่ใช่เหรอคะ?”

“อื้อ ก็นะ พอมาถึงหมู่บ้านนี้ ฉันก็เริ่มจะขี้เกียจแล้วด้วยสิ บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีก็ได้นะ?”

 

จากตอนนั้นที่ฉันดีใจที่เรียนจบมาได้อย่างปลอดภัย แล้วได้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุซักที ฉันก็ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเฉื่อยมากเลย บางที อาจจะฝีมือตกลงไปแล้วก็ได้

จริงๆ ระหว่างที่อยู่ในโรงเรียน ฉันก็ได้ออกกำลังเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายมาระดับนึงอยู่นะ

ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาล่ะก็ นั่นมันจะอันตรายสุดๆ ไปเลยน่ะสิ

การรักษาก็ต้องใช้เงิน แถมข้ออ้างที่ว่า ‘เพราะฉันเป็นหวัด ก็เลยได้คะแนนน้อย’ ก็เอาไปใช้อ้างไม่ได้ด้วย แถมจากมาตรฐานของวิทยาลัยหลวงฝึกสอนนักเล่นแร่แปรธาตุแล้วเนี่ย การถูกไล่ออกก็โดนได้ง่ายๆ เลยด้วยสิ

 

“ขี้เกียจ เหรอคะ…? ฉันไม่เคยเห็นคุณซาราสะแวะออกไปเล่นที่ไหนเลยนี่คะ”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ เวลาที่ไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ย ฉันมีเยอะเลยน่ะสิ―――แถมก็ต้องคอยดูแลร้านด้วย หลายๆ อย่างมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”

 

ฉันทำงานเท่าที่พอจะทำได้ที่เคาน์เตอร์ แต่ก็มีงานอีกเยอะเลยที่ฉันทำได้แค่ที่ห้องทำงาน ฉันก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งเฉยๆ ซะแบบนั้น

ตอนที่อยู่ที่โรงเรียน ฉันยังไปยืมหนังสือได้นะ แต่แน่นอนว่าในหมู่บ้านนี้เนี่ย ไม่มีสถานที่ไหนจะยืมหนังสือมาได้หรอก แล้วคนจนๆ อย่างฉันน่ะ หนังสือเดียวที่มีก็คือสารานุกรมแปรธาตุนี่แหละ

ระหว่างที่ทำงานเฝ้าร้าน เรื่องที่พอจะทำได้ก็มีน้อยมากๆ เลย

จะฝึกร่างกายนี่ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกนะ แต่อาจจะเสี่ยงไปหน่อย ถ้าเกิดไม่รู้เลยว่าคุณลูกค้าจะมาตอนไหนน่ะ

พนักงานดูแลร้านลงไปนอนซิทอัพอยู่ที่พื้นร้านเนี่ย―――ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูน่าสงสัยเลยเนอะ

ถ้าเป็นฉัน ก็คงหมุนตัวกลับหลังหันเดินออกจากร้านไปแล้วล่ะ แน่นอนเลย

 

“อย่างน้อย ถ้าฉันจ้างพนักงานเฝ้าร้านได้ก็คงดี แต่… โลเรียจังคงช่วยไม่ได้สินะ?”

“เอ๊ะ? ไม่หรอกค่ะ จะดีเหรอคะ? ฉันไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า”

 

ฉันถามออกไปแบบไม่ได้หวังอะไร แต่คำตอบที่ได้กลับมาจากโลเรียจังเป็นอะไรที่ฉันไม่ได้คาดเอาไว้เลย

 

“อาเระ? ได้เหรอ? แล้วเรื่องช่วยงานที่บ้านล่ะ?”

 

ถึงโลเรียจังที่แวะมาที่นี่บ่อยๆ ก็ไม่ได้มาทุกวันหรอกนะ

เพราะแบบนั้น ฉันเลยคิดว่าเธอน่าจะช่วยงานอยู่ที่บ้าน แต่ว่า…

 

“ช่วงนี้ พวกคุณพ่อออกไปซื้อของมาเติมแค่เดือนล่ะครั้งแล้ว ถ้าฉันขอลาช่วง 2-3 วันระหว่างนั้นได้ ก็ไม่มีปัญหาค่ะ แล้ว มีค่าจ้างให้ด้วยหรือเปล่าคะ?”

“แน่นอนสิ แค่ถ้าแพงมากก็ไม่ไหวนะ”

“แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ ถ้าช่วยงานที่บ้าน ยังไงค่าจ้างก็เป็นศูนย์นี่คะ ฉันไม่มีพี่น้องด้วย ก็เลยต้องช่วยงานไม่มีทางเลือกน่ะค่ะ”

 

ก็ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่นะที่ลูกๆ ต้องช่วยงานที่บ้านน่ะ

มาคิดๆ ดูแล้วเนี่ย โลเรียจังไม่มีพี่น้องคนอื่นเลยเนอะ

ในชนบทแบบนี้ ครอบครัวที่จะมีลูกแค่คนเดียวนี่ ค่อนข้างจะหาได้ยากเลย… แต่ถ้ามีใครเสียไปแล้ว ก็อาจจะกระอักกระอ่วนที่จะพูดถึงก็ได้ จะถามเรื่องแบบนี้ก็ค่อนข้างลำบากอยู่นะ

 

“ถ้าเป็นยังงั้น เดี๋ยวฉันช่วยแนะนำเด็กๆ ที่ฉันรู้จักให้นะคะ”

“อา ไม่ล่ะ ถ้าโลเรียจังไม่มีปัญหา แบบนี้ก็สะดวกกว่าไม่ใช่เหรอ? ฉันรู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่น่ะ”

“อ่า คุณซาราสะ ไม่ได้เจอกับเด็กๆ ในหมู่บ้านเลยสินะคะ”

“อะไรล่ะนั่น แต่ว่า หมู่บ้านนี้มีเด็กคนไหนที่เธอจะแนะนำให้ด้วยงั้นเหรอ?”

“อา~~ ถ้าเป็นพวกเด็กที่ตอนนี้ไม่ได้ทำงานอยู่ด้วย ก็ยังเด็กๆ กันอยู่เลยนะคะ ถ้าฉันล่ะก็ ฉันช่วยทำงานได้ตามปกติเลย”

 

โลเรียจังดูจะอึกอักนิดหน่อยแฮะ

ในหมู่บ้านการเกษตรแบบนี้ เด็กอายุเกิน 10 ขวบก็ช่วยงานที่บ้านกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว อย่างโลเรียจังเอง เด็กอายุ 13 ก็ทำงานแบบผู้ใหญ่เลย

ถ้าไม่ต้องช่วยงานที่บ้าน ก็สามารถไปช่วยงานบ้านอื่น แล้วก็รับเงินหรือแบ่งผลผลิตที่ได้มาเป็นรางวัลด้วย

จนถึงตอนนี้ โลเรียจังทำงานเป็นคนเฝ้าร้านเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยงานที่บ้าน แต่ตอนนี้ พอพ่อแม่ของเธอมาจัดการแล้ว เธอก็เลยไม่มีอะไรทำ ดูเหมือนกำลังอยู่ในช่วงที่คิดจะทำอะไรซักอย่างด้วยสินะ

 

“ถ้างั้น ฉันขอให้เธอมาช่วยหน่อยได้หรือเปล่า?”

“ค่ะ! แน่นอน! ―――แต่ว่า ฉันจะทำได้เหรอคะ? ทำงานในร้านเล่นแร่น่าจะยากแน่เลย…”

“นั่นสินะ ฉันคิดว่าก็ยากอยู่เหมือนกัน?”

 

คำพูดของฉันทำให้โลเรียจังมีสีหน้าลำบากใจ แต่ฉันก็แตะไหล่ของเธอพร้อมกับยิ้มให้

 

“ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันจะสอนให้เท่าที่เธอต้องการเลย แต่ว่า เธอช่วยทำงานกับฉันนานเท่าที่จะทำได้ได้หรือเปล่า?”

 

ถ้าเป็นไปได้ ถ้าฉันได้มีใครคอยช่วยแบบที่อาจารย์มีคุณมาเรียก็คงดีนะ

 

“ค่ะ! จะพยายามเต็มที่จนกว่าคุณซาราสะจะให้ฉันออกเลยค่ะ!”

“อื้อ ถ้าเธอทำงานเต็มที่ ฉันก็ไม่มีทางให้เธอออกอยู่แล้วล่ะ พยายามเข้านะ”

 

โลเรียจังจับมือของฉันที่ยื่นออกไปแน่น ในขณะที่พูดออกไปแบบนั้นด้วยท่าทางประหม่านิดหน่อย

 

โลเรียจังบอกว่าจะ ‘พยายามเต็มที่’ แต่โชคร้ายที่เธอก็ยังเด็กอยู่เลย

ไม่เหมือนเด็กกำพร้าอย่างฉัน ฉันไม่สามารถไปจ้างเธอโดยไม่ได้ขออนุญาตจากผู้ปกครองก่อน

เพราะงั้น ฉันก็เลยไปหาคุณดาร์นาแล้วก็พูดคุยเรื่องการจ้างงานของโลเรียจัง แล้วทั้งเขา ทั้งคุณแมรี่ก็ยกมือขึ้น แล้วยอมรับว่า ‘ได้เลย!’ ทันที

ไม่ว่ายังไง ดูเหมือนพวกเขาทั้งคู่ก็กำลังคิดเรื่องงานของโลเรียจังอยู่ด้วยเหมือนกัน

ส่วนเรื่องให้มาเฝ้าร้านในช่วงที่ออกไปซื้อของเข้าร้าน ฉันก็ถูกบอกมาว่า ‘ไม่ได้จำเป็นหรอก เพราะงั้น ก็ให้โลเรียตั้งใจทำงานได้เลย’

แต่ว่า เรื่องที่ฉันมีปัญหาก็คือการเจราจาเรื่องค่าจ้างของโลเรียจังนี่แหละ

คือ มันเป็นการชนกันระหว่างคุณดาร์นาที่มองว่ามัน ‘มากเกินไปแล้ว’ กับฉันที่มองว่ามัน ‘ต่ำไปแล้วนะคะ’

ฉันเสนอค่าแรงตามอัตราการทำงานพิเศษในเมืองหลวง โดยดูที่โลเรียจังสามารถอ่านออกเขียนได้ แล้วก็คิดคำนวณได้ด้วย แต่คุณดาร์นาก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นเลยว่า ‘การให้เงินเยอะตั้งแต่ตอนที่เธอยังเด็กเนี่ยมันไม่ดีหรอกนะ ความแตกต่างระหว่างคนที่อยู่รอบๆ เธอจะต่างกันมากเกินไป’

อื~ม ฉันคิดว่านี่คงจะเป็นช่องว่างของเงินค่าจ้างระหว่างในเมืองกับในชนบทสินะ แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดคงจะเป็นสมดุลกับรอบข้างสินะ

คือเรื่องเนี่ยจะเชื่อได้ง่ายเลยว่านักเล่นแร่แปรธาตุจะทำเงินได้มาก [เพราะพวกเราเรียนจบมาจากโรงเรียนสุดหิน] แต่ในกรณีของพนักงานเฝ้าร้าน อาจจะทำให้มองได้ว่า ‘ถ้าแบบนั้น เราเองก็ทำได้น่า’ ก็ได้

ในหมู่บ้านเล็กๆ แบบนี้ ถ้าเกิดเป็นคนคนเดียวเลยที่ทำเงินได้ดี ก็อาจจะถูกคนอื่นอิจฉาเอาได้ง่ายๆ เลย

ผลสรุปจากการหารือเรื่องนี้กัน ก็เลยตัดสินใจได้ว่า ค่าจ้างที่โลเรียจังจะ [สูงกว่าเล็กน้อย] เทียบกับในวัยของเธอ คุณดาร์นายืนกรานว่าจะให้เท่าๆ กับในวัยเดียวกัน แต่ฉันก็สามารถผลักดันเรื่องนี้จนผ่านจนได้

ความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ กับการคิดคำนวณเป็นเรื่องที่ควรได้รับการประเมินอย่างเหมาะสม แล้วก็เป็นเรื่องเล็กๆ อย่าง ‘ถ้าฉันให้ค่าจ้างสูงกว่าที่อื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง การตัดสินใจออกจากงานก็จะยากขึ้นไปด้วย’ ล่ะนะ

ตั้งเป้าหมายแบบอาจารย์กับคุณมาเรียเลย

ถ้าพวกเรายังเข้ากันได้ดีแบบนี้ไปอีกซัก 10 ปีก็คงดีนะ?

 

TN: ขนเงินไปขอพ่อขอแม่น้องละคร้าบ~