ตอนที่ 27 อีกหนึ่งนาที

แกพล่ามอะไร?!!
ไม่เพียงแค่เฉินผิงจื่อ จางชุนหลิน และหวู่หมิงเซียนที่งุนงงตกใจ แม้แต่ถังชวงลูกชายของถังหยวนซานยังถึงกับตกอกตกใจ และตกตะลึงเช่นกัน!
ท่านพ่อ.. นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
พ่อเฝ้าอบรมผมให้เป็นคนดีมีเมตตาไม่ใช่เหรอ?! แล้วนี่มันอะไรกัน นี่พ่อถึงกับกร่นด่าผู้มีพระคุณอย่างนี้ได้ยังไง?
“อาวุโสถังครับ ได้โปรดสงบสติอารมณ์ก่อน ท่านเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา อย่าด่วนโมโหโทโสมากนัก..” จางชุนหลุนรีบแนะนำขึ้นทันที
“นั่นสิครับ! อาวุโสถังเพิ่งจะรู้สึกตัว ภายในร่างกายคงจะยังไม่ฟื้นคืนเป็นปกติดีนัก จึงได้มีอาการแบบนี้ ผมว่าพวกเรารีบพาอาวุโสถังเข้าไปพักผ่อนที่วอร์ดคนไข้วีไอพีก่อนจะดีกว่า จะได้ตรวจอาการของอาวุโสถังอย่างละเอียดอีกครั้ง..” หวู่หมิงเซียนรีบร้องตะโกนบอกทันที
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ถังหยวนซานจะลุกขึ้นมายืน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หึ.. ดูให้เต็มตา สภาพของฉันเวลานี้ดูเหมือนคนยังไม่ฟื้นเป็นปกติยังไง?”
สภาพของถังหยวนซานดูแข็งแรงกระชุ่มกระชวย น้ำเสียงก็กังวานใสราวกับเสียงระฆัง เขาดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งก้าวข้ามประตูแห่งความตายมาเลยแม้แต่น้อย!
“นี่มัน..”
จางชุนหลินและหวู่หมิงเซียนได้แต่หันไปมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีกดี..
เฉินผิงจื่อกระแอมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “อาวุโสถัง เป็นเพราะพื้นฐานร่างกายที่แข็งแรงอย่างมากของท่าน ทำให้การรักษาครั้งนี้ประสบความสำเร็จ และเป็นไปตามเป้าหมายที่ผมคาดคิดไว้”
“หึ.. รักษางั้นเหรอ?”
ถังหยวนซานจ้องมองเฉินผิงจื่อด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ระหว่างที่ฉันเป็นลมไป เธอทำอะไรกับฉันบ้าง?”
“ปฐมพยาบาลช่วยชีวิตเบื้องต้น แล้วจึงค่อยทำการรักษาครับ..” เฉินผิงจื่อตอบกลับโดยแทบไม่ต้องคิด
“รักษายังไง?” ถังหยวนซานเอ่ยถามเสียงห้วน
เมื่อถูกถามเช่นนี้ เฉินผิงจื่อถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะเขาไม่สามารถตอบกลับไปตามตรงได้ว่า เขาเพียงแค่เซ็นต์ใบมรณบัตร แล้วก็สั่งให้พยาบาลเข็นร่างไปไว้ที่ห้องดับจิต..
“เธอตอบไม่ได้สินะ! ถ้าอย่างนั้นฉันจะตอบแทนเธอเอง..”
“เธอไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เพียงแค่เซ็นต์ใบมรณบัตร แล้วก็สั่งให้คนเข็นร่างของฉันเข้าไปเก็บไว้ในห้องดับจิต ฉันพูดถูกมั๊ย?” ถังหยวนซานเอ่ยถามกลับไป
เฉินผิงจื่อทั้งตกใจและหวาดกลัว จนได้แต่นิ่งอึ้ง และไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว ในใจก็ได้แต่คิดว่า
ไอ้แก่นี่มันเป็นลมหมดสติไปไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมมันถึงได้รับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างได้?
“อะไรนะ?!! นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ถังชวงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น และเริ่มรับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ปกติของเรื่องนี้
แม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นคนใจอารมณ์ร้อน แต่ก็เป็นคนที่มีเหตุมีผล ฉะนั้นแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ จะต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่เขายังไม่รู้
“ผู้มีพระคุณได้ใช้วิชาฝังเข็มที่ล้ำเลิศของเขา หยุดการรั่วไหลของเลือดภายในหัวใจของฉัน และได้ทำให้สมองของฉันหยุดสั่งการชั่วคราว เพื่อไม่ฉันต้องรู้สึกเจ็บปวด..”
“แต่ไอ้คนหน้าโง่คนนี้ ไอ้คนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย กลับขัดขวางไม่ยอมให้ผู้มีพระคุณรักษาฉันต่อ..”
“ไอ้หน้าโง่นี้ส่งฉันมาที่โรงพยาบาล แต่ก็ไม่ได้ทำการรักษาอะไรจริงจัง แม้กระทั่งตอนที่หัวใจของฉันหยุดเต้น มันยังด่าว่าฉันเป็นตัวซวยของมันด้วย!”
“หึ.. หากพ่อหนุ่มน้อยคนนั้นไม่ตามเข้าไปที่ห้องดับจิต และช่วยฝังเข็มรักษาให้ฉันอีกครั้งแล้วล่ะก็ ป่านนี้แกได้ทำศพฉันจริงๆแล้วแน่!”
ระหว่างที่พูดนั้น หน้าอกของถังหยวนซานก็กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงอย่างรุนแรง บ่งบอกถึงอารมณ์โกรธที่ปะทุขึ้นอย่างมากมาย
ยิ่งเฉินผิงจื่อได้ฟังคำพูดของชายชรามากเท่าไหร่ ใบหน้าของเขาก็ยิ่งเศร้าหมองลงมากขึ้นเท่านั้น
“แกยังมีอะไรจะโกหกอีกมั๊ย?” ถังหยวนซานจ้องมองใบหน้าเศร้าหมองของเฉินผิงจื่อ พร้อมกับร้องตะโกนถามออกมาเสียงดัง
“ท่าน.. ท่านรู้เรื่องทั้งหมดได้ยังไง?” เฉินผิงจื่อจ้องมองถังหยวนซานตาโต พร้อมกับเอ่ยถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ฉิบหายแล้ว!! นี่ฉันถามอะไรออกไป?!
“ฮึ่ม!! เข็มที่พ่อหนุ่มคนนั้นฝังลงไปที่ร่างกายของฉัน แม้มันจะทำให้สมองของฉันไม่สั่งการ ทำให้ฉันไม่สามารถลืมตาได้ และดูคล้ายกับคนหมดสติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหูของฉันจะใช้การไม่ได้นี่!” ถังหยวนซานร้องตะโกนตอบออกมาด้วยความไม่พอใจ
ถังชวงหันไปหาจางชุนหลินพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ประธานจาง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตและความปลอดภัยของพ่อผม หากคุณจัดการสะสางเรื่องนี้ได้อย่างไม่สมเหตุสมผลแล้วล่ะก็ อย่าหาว่าตระกูลถังใช้อำนาจแก้แค้นส่วนตัวก็แล้วกัน?”
จางชุนหลินได้ยินเช่นนั้น ก็ถึงกับเข่าอ่อนจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้นทันที เพราะการทำให้ตระกูลถังโกรธเคืองนั้น เป็นเรื่องที่คนธรรมดายากที่จะแบกรับได้ไหว
“เรื่องนั้นท่านประธานถังไม่ต้องกังวล ผมจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับหมอเฉิน!” จางชุนหลินรีบให้คำตอบหนักแน่นกับถังชวงทันที
จากนั้นจางชุนหลินก็หันไปมองเฉินผิงจื่อด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว พร้อมกับตวาดใส่หน้า “ก่อนที่คุณจะออกไปจากโรงพยาบาลของผม ไปพบผมที่ห้องทำงาน และเล่าความจริงทั้งหมดให้ผมฟังอย่างละเอียด..”
จากนั้นจางชุนหลินก็เดินหนีออกไปทันที ส่วนหวู่หมิงเซียนก็ได้แต่มองเฉินผิงจื่อด้วยสีหน้าแววตาผิดหวัง พร้อมกับส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเดินหนีจากไปเช่นกัน
“อาจารย์ครับ ฟังผมอธิบายก่อน..”
เฉินผิงจื่อวิ่งตามหลังไปราวกับสุนัขที่วิ่งตามเจ้านาย..
ครั้งนี้แทบไม่ต้องพูดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่งอีก เพราะแม้แต่จะรักษาหน้าที่การงานของตนเองไว้ ยังเป็นเรื่องที่เขาไม่กล้าคิด..
ถังชวงหันไปหาถังหยวนซานพร้อมกับพูดขึ้นได้ “พ่อครับ.. เรื่องราวจะเป็นยังไงก็ช่าง แค่พ่อฟื้นขึ้นมาได้ก็ดีมากสำหรับผมแล้ว!”
“ถังชวง ลูกไปตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดให้พ่อที พ่อจะต้องตามหาผู้มีพระคุณของพ่อให้พบ พ่ออยากจะเอ่ยขอบคุณต่อหน้าเขา!” ถังหยวนซานสั่งลูกชาย
“ได้ครับพ่อ!” ถังชวงรับปากพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ
“อ่อ.. ระหว่างที่พ่อนอนหมดสติอยู่นั้น พ่อได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งเรียกเขาว่า.. หลินหนาน!” ถังหยวนซานให้ข้อมูลเพิ่มเติม
……
เวลา 17.55 นาที..
เหลืออีกเพียงแค่ห้านาที ก็จะเป็นเวลาเลิกงานของจิงเฉิงกรุ๊ปแล้ว..
หลิวเฉียนเฝ้ามองนาฬิกาที่ข้อมือ พร้อมกับยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี พนักงานของฝ่ายขายต่างก็นึกประหลาดใจ เพราะที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยเห็นผู้จัดการหลิวอารมณ์ดีขนาดนี้มาก่อน
ทุกคนในฝ่ายจึงได้แต่นึกประหลาดใจ และได้แต่ซุบซิบกัน..
หลิวเฉียนไม่สนใจพนักงานคนอื่นๆ อีกอย่าง ตอนนี้เขาก็กำลังมีความสุขอย่างมาก จนไม่อยากจะสนใจเรื่องอื่นๆ
เขาคิดไม่ถึงว่า งานที่ผู้อำนวยการเย่วานให้เขาทำนั้น จะง่ายดายถึงเพียงนี้
“หกโมงตรงเมื่อไหร่ ถ้าหลินหนานมันยังไม่กลับมา ก็ถือว่าภารกิจของมันล้มเหลว ฉันก็จะได้มีข้ออ้างไล่มันออกจากบริษัทภายในวันนี้เลย!” หลิงเฉียนรำพึงรำพันกับตัวเอง และอดที่จะชื่นชมแผนการของตนเองไม่ได้
แต่แล้วหลิวเฉียนก็ได้แต่ยิ้มค้างอยู่แบบนั้น เพราะจู่ๆหลินหนานก็ปรากฏตัวขึ้น..
สีหน้าท่าทางของเขาดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก เสื้อผ้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ สภาพของเขาไม่ต่างจากคนที่เพิ่งวิ่งมาราธอนเสร็จ
“ผู้จัดการหลิว ยังไม่เลยเวลาใช่มั๊ย?” หลินหนานร้องตะโกนถามพร้อมกับหอบหนัก
“ยัง.. ยังเหลือเวลาอีกสามนาที!” หลิวเฉียนตอบกลับไปด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
หมอนี่กลับมาทันเวลาอย่างเฉียดฉิว..
“เยี่ยมมาก!” หลินหนานร้องตะโกนเสียงดัง พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
จะไม่ให้หลินหนานดีใจได้อย่างไร ในเมื่อเขาวิ่งกลับมาตลอดทาง และได้แต่นึกขอบคุณอาหารมื้อเที่ยงที่กินเข้าไปมากมาย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะหมดแรงตายไประหว่างทางแล้ว
“คุณทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จมั๊ย?” หลิวเฉียนเอ่ยถามขึ้นทันที
“ต้องสำเร็จอยู่แล้ว งานง่ายๆยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก!” หลินหนานทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ พร้อมกับเอนกายพิงพนักพักผ่อน
“อะไรนะ?!”
หลิวเฉียนร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเริ่มถามต่อทันที
“แล้วเงินล่ะ?! ฝ่ายการเงินแจ้งว่ายังไม่มียอดเงินโอนเข้าบัญชีบริษัทเลยนะ”
“นั่นน่ะสิ?!! เงินอยู่ที่ไหนกัน?”
หลินหนานผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันมองไปรอบตัวด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะถามออกมาเสียงดัง
“ฉินเสี่ยวยู่.. ฉินเสี่ยวยู่อยู่ที่ไหน? ผมให้เธอเป็นคนเอาเงินกลับมาที่บริษัทก่อนนี่?”
เมื่อได้เห็นสีหน้าท่าทางของหลินหนาน หลิวเฉียนถึงกับยิ้มเย็น..
ไม่มีใครในบริษัทไม่รู้ว่า หนี้ค้างชำระก้อนนี้ของจิงเฉิงกรุ๊ปนั้น ทวงยากทวงเย็นมากแค่ไหน ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าจางฟาไฉเป็นอันธพาลชื่อเสียงโด่งดัง ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครที่ไปทวงหนี้แล้วกลับมาในสภาพดีสักคน
แล้วพนักงานหน้าใหม่อย่างหลินหนาน จะสามารถทวงหนี้สำเร็จได้อย่างไรกัน?
หลังจากเห็นสีหน้าท่าทาง และการแสดงออกของหลินหนาน หลิวเฉียนจึงยิ่งมั่นใจว่า เขาทำไม่สำเร็จ แต่แกล้งแสดงออกมาเท่านั้นเอง
“หลินหนาน ผมขอบอกตามตรง การที่คุณทวงเงินลูกค้าเจ้านี้ไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องน่าอับอายอะไรหรอกนะ เพียงแต่คุณรับปากไปแล้ว ในเมื่อทำไม่สำเร็จ ก็คงต้องออกจากบริษัทนี้ไป..” หลิวเฉียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ผมทวงเงินลูกค้ากลับมาได้แล้วจริงๆ แต่เงินจำนวนนั้นอยู่กับฉินเสี่ยวยู่ ผมเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน พวกคุณคนไหนมีเบอร์โทรศัพท์มือถือของเธอมั๊ยล่ะ ถ้ามีก็ช่วยโทรหาเธอให้ผมหน่อย” หลินหนานเอ่ยตอบกลับไปทันที
ทุกคนในห้องต่างก็รู้ดีว่า การที่ผู้จัดการหลิวมอบหมายงานที่ยากขนาดนี้ให้หลินหนานทำนั้น ย่อมต้องมีจุดประสงค์บางอย่างซ่อนอยู่ ดังนั้น แม้ทุกคนจะมีเบอร์มือถือของฉินเสี่ยวยู่ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะนิ่งเฉย
“เหลืออีกแค่หนึ่งนาที.. อีกหนึ่งนาทีถ้าเงินไม่ถึงบริษัท คุณก็เตรียมออกจากบริษัทนี้ได้เลย..”
หลิวเฉียนเอ่ยตอบพร้อมกับจ้องมองนาฬิกาที่ข้อมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด