“ไครัมกำลังเคลื่อนทัพ”
คริสต์เอ่ยปากออกมาเมื่อทุกคนมารวมตัวกันเรียบร้อยในวันรุ่งขึ้น
“เราคิดว่ามันน่าจะเคลื่อนทัพไปรวมกับยาคุซัน พวกเราก็ควรเตรียมเคลื่อนพลก่อนฟ้าสาง”
คริสต์ส่งเสียงกระดกลิ้นออกมาหลังพูดเสร็จ
ถ้านึกภาพไม่ออก มันก็คือ ชิ แบบเซ็งๆนั่นแหละ
‘นี่ถ้าเราไม่ได้ตื่นมาประชุม คริสต์มันจะปล่อยให้เรานอนต่อไหมนิ?’
การได้นอนตื่นสายถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้าต้องแลกกับการปล่อยให้ไครัมไปรวมทัพกับยาคุซันแล้ว มันดูไม่คุ้มค่านัก
เฟลิซีส่งเสียง ‘หึ’ ออกมาแล้วถามอย่างท้าทาย
“เธอจัดการเองไม่ได้รึไง?”
คริสต์หัวเราะเสียงดังลั่น ถึงใบหน้าเขายังดูเป็นมิตร แต่ดวงตาราวกับพญาราชสีห์ถูกเหยียบหาง กลับจดจ้องไปยังนางอย่างไม่กระพริบ
เฟลิซีก็จ้องกลับไปโดยไม่คิดจะหลบสายตา เคทลินได้แต่มองสลับไปมาระหว่างทั้งคู่อย่างกระวนกระวาย สุดท้ายคริสต์ก็เป็น
ฝ่ายหยุดก่อน เขายักไหล่ออกมาก่อนจะเริ่มอธิบายต่อ
“เจ้าพวกนี้คล่องแคล่วกว่าที่คาดไว้มาก แม้แต่การล่าถอยก็เป็นระเบียบ เราเฝ้าจับตามองหาช่องโหว่พวกมันมาพักใหญ่แล้ว แต่เราคิดว่าไม่คุ้มที่จะเสี่ยงบุก ต้องยอมรับว่าไครัมมันคุมทัพได้เก่งกว่าที่คิด”
แน่นอนว่าการศึกเมื่อคืนวานสร้างความเสียหายไว้มาก ทว่าความเสียหายไม่ได้แพร่กระจายมาถึงบริเวณนี้ และถึงเหล่าไลแคนโทรปจะฟื้นตัวขึ้นมามากแล้ว แต่พวกออร์คส่วนใหญ่ก็แทบไม่ได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น การหลับหูหลับตาบุกโจมตีด้วยทหารที่ไม่พร้อมอาจ
จะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
‘พวกเราใช้ประตูมิติไปดักทัพไม่ให้พวกมันหลบหนีได้’
ถึงถ้ำของดวอฟจะทำให้พวกเขาใช้ทางที่สั้นที่สุดตัดผ่าน แต่การเคลื่อนกองทหารจากตำแหน่งนั้นก็ยังคงเป็นปัญหา
เฟลิซีทำหน้ามุ่ยหลังจากได้ยินคำอธิบาย แต่นางก็พยักหน้า
“ถ้าแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้”
เฟลิซีเองก็ไม่ได้มีส่วมร่วมในการรบแต่แรก นางจึงไม่มีความจำเป็นที่จะถกเถียงแผนการ
“แล้วอบป้าคิดจะทำยังไงต่อ?”
เคทลินถามขึ้นมา คริสต์หยิบรูปจำลองวางไปยังตำแหน่งบนแผนที่ พร้อมกับเริ่มอธิบาย
“แวนเดลติดต่อเรามา ดูเหมือนยาคุซันจะพยายามรวมผลอีกครั้งตรงจุดนี้ ส่วนนี่ก็เส้นทางเดินของไครัม”
รุปปั้นออร์คเลื่อนไปอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นแนวขอบของเทือกเขาจิชก้า
“แผนการคร่าวๆก็คือ พวกเราจะเคลื่อนพลไปรวมกับแวนเดล แล้วบุกตีแตกพวกเผ่าสายฟ้าชาดซะ”
แบบจำลองของฉัตร คริสต์ และเคทลิน ที่ดูเหมือนจะลงรายละเอียดไว้ครบถ้วน เคลื่อนที่ไปหาหมากรูปโอเกอร์ของแวนเดล
ประตูมิติและเส้นทางของดวอฟไม่ได้เชื่อมไปถึงยังส่วนนี้ของเทือกเขาจิชก้า และพวกศัตรูก็รวมกระจุกกันอยู่ในบริเวณเดียว ทำ
ให้พวกเขาไม่มีความจำเป็นจะต้องแบ่งกองกำลังออกแต่อย่างใด
จากนั้นคริสต์ก็พูดเสริมขึ้นมาเหมือนเขาเพึ่งนึกขึ้นได้
“แล้วก็ พวกเอลฟ์รัตติกาลอยู่ที่ฐานของแวนเดล พอพวกเราไปถึง พวกนั้นคงอยากพบกับนูนิม”
ถึงแม้ตอนนี้เฟลิซีจะไม่มีทหารประจำสักนาย แต่เดิมทีนางมีเอลฟ์รัตติกาลติดตามอยู่ราว 100 ตนได้
เฟลิซีลังเลชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจถามคริสต์
“ฉันขอรู้ยอดผู้บาดเจ็บจะได้ไหม?”
ท่าทางของนางต่างจากปกติราวกับคนละคน ด้วยเหตุนั้น คริสต์จึงตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน
“เราไม่ได้รับรายงานโดยละเอียด แต่ว่า… ดูเหมือนความเสียหายจะถึงขั้นรุนแรง พวกนั้นพยายามช่วยนูนิมออกมาอย่างไม่คิดชีวิต”
นั่นก็เป็นที่แน่นอน ภาพที่เหล่าเอลฟ์รัตติกาลพยายามบุกฝ่าเหล่าออร์คเข้าไปอย่างบ้าเลือด มันยังคงตราตรึงอยู่ในหัวของอินกอง
สีหน้าของเฟลิซีดูแย่หนักไปกว่าเดิม แต่ก็เป็นเพียงแค่ครู่เดียว สักพักนางก็กลับมามีสีหน้าตามปกติ เหมือนนางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอออกมา
หลังจากเห็นนางคืนสีหน้าเดิม คริสต์ก็แสดงสีหน้าโล่งใจอย่างประหลาด ก่อนที่เขาจะบอกกับทั้งสาม
“เราจะเตรียมของยิบย่อยทั้งหลาย ระหว่างนี้ยังพอมีเวลา เคทไปสอนฉัตรคุมลมปราณกับไอศวรรย์สัตว์อสูรก่อนเถอะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เคทลินตอบกลับอย่างยินดี และนี่ก็เป็นสิ่งที่อินกองรอคอยมาสักพัก มันทำให้เขามีสีหน้ายิ้มแย้มในทันใด
มันเป็นในช่วงเวลานั้น…
“เดี๋ยว เธอจะสอนเขาควบคุมลมปราณ? ฉัตรใช้ลมปราณได้ด้วย?”
เฟลิซีถามออกมา นางกระพริบตาด้วยความตกใจ
ไม่แปลกที่บุตรธิดาของจอมมารใช้เวทมนตร์กันได้ แต่ลมปราณเป็นในอีกกรณี และในตอนนี้ ฉัตรก็สามารถใช้ลมปราณได้?
“อ่า… ครับ”
อินกองยิ้มออกมาเจื๋อนๆ สีหน้าของเคทลินที่ต้องการจะบอกว่า ‘สุดยอดใช่ไหมละ?’ ดูจะไม่สามารถช่วยอะไรเขาจากสายตาของเฟลิซีในตอนนี้ได้
‘แววตาของนางดูเหมือนจะ… อิจฉา?’
เป็นลักษณะแบบเดียวกับที่คริสต์มองเขาตอนที่ได้ยินเรื่องลมปราณ
‘เมื่อเจ้ามองเข้าไปยังเบื้องลึกของจิตใจนานพอ เจ้าจะพบมันจ้องกลับมายังเจ้า?’
ฟรีดริช วิลเฮล์ม นีทเชอ(Friedrich Wilhelm Nietzsche) And if thou gaze long into an abyss, the abyss will also gaze into thee เป็นปรัชญาจิตวิทยา ใครอยากรู้ละเอียดคงต้องหาอ่านเอาเองเนาะ แต่บอกเลยว่าถ้าไม่ใช้คนที่อ่านแนวนี้อยู่บ้างรับรองมีงงแน่นอน ถ้าจะเอาตามผมตีความก็จะแนว ไม่ว่าคุณทำอะไรและพยายามฝังปกปิดจิตใจคุณขนาดไหน มันก็ยังคงอยู่ในเบื้องลึกของคุณและทยอยกลืนกินคุณไปทีละน้อย ตัวอย่างก็พวกที่ต่อต้านคอรัปชั่น พอรวมตัวกันต่อต้านไปนานๆ สักพักก็จะเริ่มคอรัปชั่นเสียเอง
ความหมายอาจจะต่างไปจากในปรัชญาของนีทเชออยู่บ้าง แต่อินกองก็คิดในลักษณะคล้ายกัน อย่างที่เขาต้องการตัวเฟลิซี เฟลิซีก็ต้องการตัวเขา
‘ปัญหามันก็ตรงที่เราอยู่กันคนละฝ่ายนี่ละน้า’
ระหว่างเขากับนาง ใครจะเป็นผู้ชนะ?
อินกองเดินตามเคทลินออกจากห้อง โดยเฟลิซีก็เดินตามเขาออกมา
&
อัตราส่วนของเหล่านักรบในบรรดาเหล่าไลแคนโทรปมีสูงมาก
สาเหตุก็เป็นเพราะเคล็ดวิชาต่อสู้มือเปล่าของพวกมัน
กระบวนท่าต่อสู้เหล่านี้ถือเป็นอาวุธชั้นยอด และเมื่อพวกมันใช้มือเปล่าเป็นอาวุธได้ ทำให้พวกมันไม่มีความจำเป็นต้องหาอาวุธมาใช้เพิ่มแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังคงมีปัจจัยสำคัญอีกอย่าง
‘นอกจากกระบวนท่าแล้ว พวกนี้ยังเพิ่มขนาดร่างกายได้’
ยกตัวอย่างเช่นองครักษ์ของเคทลิน เซร่า
นางมีส่วนสูงที่ 170ซม แต่เมื่อนางอยู่ในสภาพกลายร่าง ส่วนสูงของนางก็เพิ่มไปจนเกินสองเมตร ทั้งมือและเท้าของนางก็มีขนาดเป็นสองเท่าของยามปกติ
กรณีของเซร่าถือว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับบางตนที่กลายสภาพแล้วจะมีความสูงเกินสามเมตร
เพราะเหตุนี้ หากต้องการใช้อาวุธ พวกไลแคนโทรปจึงต้องพกอาวุธสำหรับใช้ในร่างมนุษย์และอาวุธสำหรับร่างสัตว์ ทำให้ยุ่งยากและไร้ประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธสำหรับร่างสัตว์ก็ใหญ่เกินกว่าจะพกพาได้ในร่างมนุษย์
นี่จึงเป็นเหตุโดยรวมที่เผ่าไลแคนโทรปมีอัตราส่วนของนักรบที่สูง และพวกมันเหล่านี้ก็ล้วนเรียนรู้เคล็ดกระบวนท่าเดียวกัน
ไอศวรรย์สัตว์อสูร
เคล็ดวิชาที่เปรียบเสมือนเอกลักษณ์ของเผ่าไลแคนโทรป
“อย่างที่เดาได้ เคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูรแบ่งแยกออกเป็นหลายแขนง ฉัตรควรจะเลือกสายที่เข้ากับตัวเธอมากที่สุด”
เคทลินใส่ชุดหนังตามปกติในขณะที่นางอธิบายเขาทีละขั้นตอน
มีเหตุผลสองประการที่เคทลินเลือกที่จะเริ่มจากการสอนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร
ข้อแรก ทั้งเคทลินและคริสต์ต่างก็เริ่มจากการเรียนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร
ราชินีองค์ที่ 4 เอเลน มูนไลท์ เป็นครึ่งหมาป่า เหล่าผู้ที่สืบสายเลือดจากนางย่อมเรียนเคล็ดวิชาในแขนงหมาป่า
ข้อสอง เคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูรก็เป็นวิชาพื้นฐานก่อนจะต่อยอดไปเป็นเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ
เชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ของไลแคนโทรปล้วนเป็นครึ่งหมาป่าเสียส่วนใหญ่ ทำให้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพที่ใช้ส่วนใหญ่จึงเป็นแขนงหมาป่า
อินกองพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่นางบอก เคทลินยังคงอธิบายต่อ
“เคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูรใช้ลมปราณจากทั้งภายนอกและภายใน วันนี้ฉันจะสอนเธอควบคุมลมปราณขั้นต้นเพื่อเสริมกำลังภายในก่อน”
เคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูรไม่ใช่วิชาทั่วไปที่ใช้แต่เพียงความแข็งแกร่งของร่างกาย ด้วยวิธีการควบคุมลมปราณที่พิเศษ ทำให้สามารถกระตุ้นพลังทำลายล้างของร่างกายออกมาได้ถึงขีดสุด
‘นี่มันก็เหมือนกระบวนท่าต่างๆแบบในนิยายจีนสินะ?’
มันค่อนข้างจะใกล้เคียง สามารถคิดได้ว่าวิธีควบคุมลมปราณก็คือเคล็ดฝึกยุทธชนิดหนึ่ง
“เฟลิซีออนนี่อยากจะเรียนด้วยไหมคะ? ออนนี่ต้องนำมันไปใช้ประโยชน์ได้แน่นอนค่ะ”
เคทลินถามเฟลิซีที่เฝ้ามองอยู่จากมุมหนึ่ง ทั้งอินกองและเฟลิซีต่างก็ประหลาดใจกับคำถามของนาง
“ฮ่ะ? อ่า… ฉันขอแค่ดูก็พอ”
เฟลิซีหัวเราะออกมาอย่างอึกอักพลางโบกมือปัดปฎิเสธ แต่การกระทำของนางก็ดูอ่อนโยนกว่าที่นางมีให้กับคริสต์
‘คิดดูแล้วก็ตลกดี’
โดยพื้นฐานแล้ว ลูกของจอมมารจะไม่ค่อยญาติดีต่อกันเท่าไร จะเว้นก็แต่ในกรณีที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เฟลิซีกับคริสต์ต่างก็กัดกันอยู่
แต่เคทลินต่างออกไป ดูเหมือนนางต้องการจะผูกมิตรกับพี่น้องต่างมารดาคนอื่นจากใจจริง เห็นได้ชัดจากการกระทำของนางที่มีต่ออินกอง
‘แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว นางก็ไม่ใช่ลูกสาวจอมมาร’
เคทลินจะไม่รู้จริงหรือ ว่านางไม่ใช่บุตรีจอมมาร?
“เอาละฉัตร ทีนี้ก็เคลื่อนลมปราณตามที่ฉันทำ”
เคทลินเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เขา อินกองประสานมือกับนางแล้วพยักหน้า เคทลินพูดขึ้นมาต่อ
“พอเธอหลับตารวบรวมลมปราณเสร็จแล้ว ฉันจะเริ่มละนะ”
ลมปราณสีน้ำเงินของเคทลินเริ่มที่จะนำทางให้ลมปราณสีขาวของอินกอง
ลมปราณ
พลังชีวิตที่เค้นออกมาใช้งานได้เหมือนวิญญาณ และเมื่อฝึกจนถึงขีดสุด มันก็สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนวิญญาณราวกับมีความคิดต่างหาก
[คุณได้เรียนรู้ทักษะติดตัว กายาชาตรี ขั้น1]
주인공지체 ตอนแรกคิดว่าหมายถึงพระเอกมาตอนจบ แต่ดูๆแล้ว มันไม่น่าจะใช่ เลยพึ่งอากู๋เอา
‘ฮ่ะ?’
อินกองสะดุ้งขึ้นมาระหว่างที่กำลังเคลื่อนย้ายลมปราณ
‘อะไรเนี่ย?’
กายาชาตรี
อินกองลืมตาขึ้นแล้วรีบเปิดหน้าต่างทักษะของเขาขึ้นมา
คำฝากจากผู้เขียน:
ถึงมุมตอบคำถาม… ชื่อฉัตรคิดมาให้ดูเข้าเค้ากับท้าวธตรฐ(หนึ่งใน จตุรฺมหาราช ของศาสนาพุทธ เป็นผู้นำของเหล่าคนธรรพ์)
지국천왕 จีคุกชอนวาง ก็คือท้าวธตรฐในภาษาไทยเรานี่แหละ
ก็เลยสงสัยต่อว่า มีคนธรรพ์กับท้าวธตรฐ ทำไมไม่ใช้ยักษ์กับท้าวเวสสุวรรณ ทำไมใช้โอเกอร์แทน ? หรือว่ากลัวมันจะกลายเป็นนิยายพุทธฮินดู(ฮาาา)