เซร่า เธอควรจะเอาเดเลียเป็นตัวอย่างนะ ไม่ต้องเริศหรูแต่ดูนอบน้อม
เช่นเดียวกับที่ใต้ร่มเงากษัตริย์เสริมขึ้นมาในหมวดอาณัติ กายาชาตรีก็เสริมขึ้นมาข้างใต้ทักษะพลังพระเอก
[กายาชาตรี ขั้น1]
ขั้น1: เมื่อเรียนรู้ทักษะ ศักยภาพร่างกายต่อทักษะนั้นจะเพิ่มเป็นอย่างมาก
ขั้น2: ???
ขั้น3: ???
ขั้น4: ???
ขั้น5: ???
เมื่อทักษะเพิ่มระดับขึ้นอีก ความสามารถอย่างอื่นที่ถูกผนึกไว้ก็จะคลายออก
‘สมกับที่ชื่อว่าพลังพระเอก’
เขาไม่ได้มีร่างกายดุจเทพเจ้า หรือว่าร่างกายดุจเทพมาร แต่เป็นร่างกายของพระเอก มิหนำซ้ำถึงทักษะจะเป็นเพียงขั้นแรก แต่ผลของมันก็ไม่ต่างไปจากพระเอกที่ฝึกวิชาในนิยาย
‘แต่ทักษะไม่ได้โผล่มาตอนที่พลังพระเอกเลื่อนขั้น’
ดูเหมือนการฝึกเรียนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูรจะทำให้ทักษะนี้เปิดทำงาน
‘นี่ถ้าเราเพิ่มระดับให้มันไปเรื่อยๆ มันจะโกงกว่า ‘ร่างก่อกำเนิด’ ของแซเฟียร์กับ ’สายเลือดผู้กล้า’ ของล็อครึเปล่านะ?’
ทั้งคู่เป็นทักษะติดตัวที่เสริมพลังให้ร่างกายผ่านพลังเวทและรัศมีเทพตามลำดับ
[คุณได้เรียนรู้ เคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร ขั้น1]
จนถึงตอนนี้วิธีการเรียนรู้ทักษะของเขาไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก มันเหมือนที่เขาเรียนวิชาดาบพื้นฐานจากการฟันดาบ แค่บางทีความเร็วในการฝึกฝนอาจจะเป็นปัจจัยในการเรียนรู้ทักษะ
“ฉัตร ตั้งใจหน่อย”
เคทลินพูดขึ้นพลางบีบมือของเขา นางยังคงหลับตาอยู่ด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม
อินกองรีบหลับตาลงอีกครั้งและตั้งสมาธิเฝ้ามองลมปราณของเคทลิน หลังจากมันเคลื่อนที่วนได้ห้ารอบ นางก็คลายมือออก
“เคลื่อนลมปราณเหมือนที่ฉันทำ เดี๋ยวฉันจะแสดงท่าร่างพื้นฐานทั้งแปดของไอศวรรย์สัตว์อสูรให้ดู ตั้งใจจับจังหวะการหายใจให้ดีด้วย”
เคทลินล่าถอยออกไปเล็กน้อยก่อนจะเริ่มขยับร่าง นางไม่ได้ขยับอย่างรวดเร็วนัก เพื่อให้อินกองสามารถจับการเคลื่อนไหวของนางได้ทัน
อินกองไม่ได้ชำนาญเรื่องการรำมวยสักเท่าไร แต่เขาก็เข้าใจท่าร่างที่เคทลินแสดงให้ดู นางต้องมีความชำนาญมาก จึงจะสามารถแสดงท่าร่างออกมาอย่างเชื่องช้าได้ในลักษณะนี้
เคทลินแสดงท่าร่างออกมาสามกระบวนท่าก่อนจะหันมาทางอินกอง
“เธอยังไม่ต้องทำอะไรมาก เริ่มจากสามกระบวนท่านี้ก่อน”
อินกองเคลื่อนมือและเท้าของเขาตามที่เคทลินสาธิต เพราะเขาได้เรียนรู้ไอศวรรย์สัตว์เทพขั้นแรกแล้ว การเคลื่อนไหวดังที่นางแสดงจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ทว่าอินกองรู้สึกผิดแปลกไปจากตอนที่เขาฝึกวิชาดาบพื้นฐานหรือวิชามีดบิน
ลมปราณของเขาเคลื่อนที่ตามการเคลือนไหวไปด้วย
‘นี่สินะที่เรียกว่าลมปราณ’
มันเหมือนกับลมปราณตามที่เขาเคยได้ยิน พลังงานบางอย่างในร่างกาย ที่เคลื่อนไปตามกระดูกและกล้ามเนื้อจวบจนอวัยวะสำคัญทั้งหลาย
‘และนี่ก็คือเคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูร’
แม้มือจะว่างเปล่า แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างอยู่ในกำมือ เขารู้สึกราวกับว่าสามารถทุบก้อนหินให้แหลกละเอียดได้ด้วยมือเปล่า
นี่คือเพลงยุทธ
อินกองเริ่มจะเข้าใจว่าทำไมทั้งคริสต์และเคทลินจึงตกใจเมื่อเขาปลุกลมปราณขึ้นมาได้
ราวกับปาฏิหาริย์ แต่การมีอยู่ของลมปราณก็สามารถเปลี่ยนทิศทางการต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
อินกองตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ไอศวรรย์สัตว์อสูรยังเป็นเพียงขั้นหนึ่ง และลมปราณเขาก็อยู่ที่ขั้น 3 แต่อินกองก็มองเห็นเส้นทางอีกยาวไกลของเขา
เขาได้เห็นถึงความน่ากลัวของเคทลิน
ยิ่งไปกว่านั้น แซเฟียร์ที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา ยังถือว่าทรงพลังมากที่สุดในบรรดาลูกของจอมมาร
และเขายังรู้เวทมนตร์แค่เพียงไม่กี่ชนิด
แม้กระทั้งในโลกที่เขาจากมา ช่องว่างความแตกต่างระหว่างผู้คนก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ยิ่งในโลกนี้มีทั้งลมปราณและเวทมนตร์เข้ามาเกี่ยวเนื่อง ทำให้ความแข็งแกร่งบนจุดสูงสุดอยู่เหนือจินตนาการของเขาออกไปอีก
‘เราต้องรีบเก่งขึ้นให้มากกว่านี้’
ความต้องการอยู่รอดของเขาได้จุดประกายความมุ่งมั่นขึ้นมา เขาสงบสติอารมณ์แล้วจึงเห็นว่าทุกอย่างรอบตัวเงียบสงัด
เคทลินและเฟลิซีกำลังจดจ้องมาที่เขา
อินกองรีบถามเคทลิน
“เอ่อ มีอะไรผิดรึเปล่าครับ?”
หรือว่าท่าร่างของเขาผิดแปลกไป? หรือว่าหมัดและลูกเตะของเขายังคงดูอ่อนแอ?
เคทลินกระพริบตาอย่างตะลึงก่อนจะรีบตอบเขากลับมา
“ไม่เลย กระบวนท่าทั้งหมดร่ายรำออกมาได้อย่างถูกต้อง เธอสุดยอดมากฉัตร!”
เผื่อยังมีคนไม่ทันเอะใจ แต่นี่คือสาเหตุที่เคทได้ชื่อว่า พี่สาวสุดยอด!
กระบวนท่าทั้งสามแสดงการขับเคลื่อนของลมปราณอย่างชัดเจน ถึงจะเป็นเพียงกระบวนท่าพื้นฐาน แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้โดยง่าย
“เธอ… เธอคือฉัตร… ใช่ไหม?”
มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา เมื่ออินกองหันไป ก็พบกับใบหน้าอันสบสนงงงวยของเฟลิซี
ถึงนางจะใช้ลมปราณไม่ได้ แต่นางก็พอมีความรู้เกี่ยวกับมันอยู่ โดยซิลวานผู้เป็นพี่ชายของนาง ก็ถือว่าเป็นเอลฟ์รัตติกาลที่มีลมปราณแก่กล้า
ถ้ามองเพียงผิวเผิน วิชาลมปราณของอินกองก็ถือว่าปกติ เขาเพียงแค่ร่ายรำตามการสาธิตของเคทลินเท่านั้น
สิ่งที่ผิดปกติก็คือ การที่ ‘ฉัตร’ สามารถทำได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการลองทำครั้งแรกจากการสังเกตเพียงแค่ครั้งเดียว
‘ไม่ได้สิ จะคิดแบบนั้นมันก็ดูจะอคติเกินไป เมื่อวานเราก็ยังเห็นเขาสู้อยู่ต่อหน้าไม่ใช่รึไง? เราต้องแยกแยะระหว่างการเรียนลมปราณ กับวิชาศิลปะการต่อสู้ออกเป็นสองอย่าง’
ภาพโมเดลในหัวเป็นของมีอา(มิซานาเลีย บอร์เนียน)พูดรัวเป็นปืนกลเวลาตื่นเต้วล์ เผื่อไม่รู้จักแนะนำอ่าน เดธมาร์ช นะครับ ฉบับเว็บสนุกกว่า LN นะเอิ้ว ถึงจะแปลโดยเจ้าพ่อโซเซ็ตสิกะคนเดียว แต่แปลเร็วโคตร แถมครบรส
กลายเป็นนอกเรื่องไปเลย เอาเป็นว่านางเป็นสายพูดมากเวลาตื่นเต้น ( ̄ε ̄@)♡
เฟลิซีพยายามดึงมาดของนางกลับคืนมา พอตั้งสติได้แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ฉัตรก็เป็นลูกของจอมมารเหมือนกัน เขาเริ่มโตพอที่จะเผยเขี้ยวเล็บของเขาให้เป็นที่ประจักษ์
“เอ่อ เฟลิซีนูนะ?”
“ไม่มีอะไร ฉันประหลาดใจนิดหน่อย ฝึกต่อเถอะ”
เฟลิซีนั่งลงอย่างเขินอาย
“เอ่อ งั้นเราต่อกันเลยไหม?”
เคทลินพูดออกมาอย่างลำบากใจและอินกองพยักหน้า หูของเฟลิซีแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความอาย
ทุกคนรู้สึกกระอักกระอ่วนด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไป
“องค์ชาย! พวกเราจะเริ่มเดินทางแล้ว!”
เสียงห้วนๆลอยขึ้นมากลบบรรยากาศอึดอัดของการสนทนา อินกองหันไปยิ้มให้กับที่มาของเสียงนั้น
“เอ่อ… สายตาแบบนั้นหมายความว่าไง?”
ไม่ใช่แค่เพียงอินกอง แต่ทั้งเคทลินและเฟลิซีก็มองไปที่มันด้วย
อินกองหัวเราะให้กับท่าทางของเจ้าออร์ค
“ก็แค่ดีใจที่เจอนาย”
คารัคยังคงติดใจแต่ก็เลือกที่จะไม่เอ่ยปากถาม
&
หลังจากที่พวกเขาเดินทางผ่านประตูมิติดวอฟและซากฐานทัพของเผ่าสายฟ้าชาด ทหารทั้งหมดก็เริ่มเดินทางไปยังทิศตะวันออก
พลทหารทั้งหมดประกอบแค่เพียงออร์คและไลแคนโทรป ทำให้การเคลื่อนพลดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
อินกองเดินทางอยู่ข้างเคทลิน และด้วยผลของกายาชาตรี ถึงแม้จะเพิ่งผ่านมาแค่สามวัน แต่ไอศวรรรย์สัตว์ป่าก็เพิ่มขึ้นมาถึงขั้นสาม
เฟลิซียังคงจับตามองการฝึกของเขาทั้งสามวัน แต่นางไม่ได้พูดแทรกขึ้นเหมือนในวันแรกแต่อย่างใด
‘แววตาเฟลิซีดูเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ’
อาจเพราะนางคิดว่าเขาเข้าร่วมกับคริสต์ไปแล้ว? หรือเพราะนางต้องการความสามารถที่เขาแสดงออกมา?
‘เอ จะมีสาเหตุได้อีกมั้ย?’
เขาไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง และเขาก็ไม่สามารถไปถามจากคริสต์เอาได้ ทำให้อินกองเลือกใช้เวลาทำความรู้จักกับเฟลิซีและเคทลินให้มากขึ้นแทน เขาเลือกที่จะเฝ้ามองดูนางต่อไป
จนกระทั่งวันที่สี่ เขาก็ได้พบกับแวนเดล
‘ใหญ่โคตร’
ถึงค่ายของแวนเดลจะว่าใหญ่แล้ว แต่สิ่งที่ใหญ่ที่สุดก็คงไม่พ้นตัวของแวนเดลและกระโจมของมัน
กระโจมส่วนตัวของเจ้าโอเกอร์สูงราว 6 เมตร และภายใต้กระโจมอันมหึมานี้ ก็เป็นที่อยู่ของโอเกอร์แวนเดลผมแดง ด้วยไหล่ที่กว้างขวางทำให้มันดูมีขนาดใหญ่โตมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าดวงจันทร์ในยามค่ำคืนเป็นมงกุฏประดับศีรษะมัน
แค่ส่วนสูงของมันก็มากกว่าอินกองเกินสองเท่าได้ แวนเดลหันไปก้มหน้าต้อนรับผู้มาเยือน
“ยินดีต้อนรับ ข้าคือแวนเดล”
เสียงที่ดังราวกับคำรามดังขึ้นต้อนรับพวกเขา
คริสต์พยักหน้าเล็กน้อย ส่วนทางเคทลินก็ยิ้มอย่างร่าเริง
แวนเดลหันไปชำเลืองมองเฟลิซี
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ องค์หญิงหก”
“น้ำเสียงไม่เปลี่ยนเลย ใช่ เราไม่ได้เจอกันนานพอควร”
เฟลิซีตอบอย่างมั่นใจตามปกติของนาง ดูเหมือนทั้งคู่จะเคยพบกันอยู่หลายครั้ง
“นี่ก็… องค์ชายเก้า?”
แวนเดลเอียงคออย่างไม่มั่นใจ ดูเหมือนนี่จะเป็นการพบกันครั้งแรกของฉัตรและแวนเดล
‘แวนเดล’
หนึ่งในห้าทหารโปรดจากบทกวีแห่งผู้กล้าที่อินกองต้องการตัวมากที่สุด
เมื่อเทียบกับแวนเดลแล้ว ทหารที่เหลือทั้งสี่ก็เรียกได้ว่าเป็นสัตว์โลกน่ารักเลยทีเดียว อินกองยื่นมือของเขาออกเพื่อจับมือ
“ยินดีที่ได้พบครับ พลเอกแวนเดล ผมคือฉัตร”
แวนเดลมีสีหน้างุนงงก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วจับมือกับอินกอง
“ยินดีที่ได้พบเช่นกัน”
ขนาดมือของทั้งคู่ต่างกันโดยสิ้นเชิง คริสต์พยักหน้าด้วยความพอใจ ส่วนเคทลินก็ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น มีเพียงเฟลิซีเท่านั้นที่ดูสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หลังจากที่แวนเดลทักทายกับอินกองเสร็จ เขาก็ออกคำสั่ง
“พาพวกเอลฟ์รัตติกาลเข้ามา”
ไม่นานทางเข้ากระโจมก็เปิดขึ้นพร้อมกับเอลฟ์นางหนึ่ง
“องค์รัชทายาท!”
“เดเลีย!”
เอลฟ์รัตติกาลนางนั้นก้มคุกเข่าลงต่อหน้าเฟลิซี นางมีเส้นผมที่ดำสนิทและอยู่ในเครื่องแบบของเหล่าเอลฟ์รัตติกาล
“โชคดีที่ท่านปลอดภัย องค์รัชทายาท”
“เธอปลอดภัยก็ดีแล้ว เดเลีย”
เฟลิซีตอบทหารของนางอย่างอ่อนโยน
เป็นฉากที่ดูงดงาม แต่ก็อยู่เพียงไม่นานนัก
เฟลิซีปรับสีหน้าของนางก่อนจะเอ่ยปากออกมาอีกครั้งในเสียงที่หนักแน่น
“เดเลีย”
เดเลียเข้าใจถึงความหมายที่แฝงในเสียงของเฟลิซี นางก้มคำนับให้แก่อินกองและคณะ
“ขอประทานอภัยในความไร้มารยาท ข้าพระพุทธเจ้ามีนามว่า เดเลีย ไตรเด้นท์ องครักษ์ส่วนพระองค์ขององค์รัชทายาทเพคะ”
นางดูจะมีอายุมากกว่าเคทลินและเซร่าอยู่สามปี คริสต์ตอบออกมาแทนสมาชิกทั้งหมด
“เราให้อภัย”
จากนั้นเขาก็มองไปทางเฟลิซี นางตบไหล่เดเลียก่อนจะออกคำสั่ง
“รวบรวมกำลังพล พวกเรามีงานต้องทำ”
“รับทราบเพคะ องค์รัชทายาท”
เดเลียเช็ดน้ำตาของนางออกก่อนจะก้าวถอยออกไป
หลังจากที่นางออกจากกระโจมไปเรียบร้อย แวนเดลจึงพูดขึ้นมา
“เช่นนั้นข้าจะสรุปสั้นๆ”
เช่นเดียวกับสิ่งของทั้งหลายในกระโจม แผนที่สมรภูมิขนาดที่ใหญ่มากกางอยู่บนโต๊ะ แต่โต๊ะที่มันวางอยู่กลับมีขนาดปกติ
และแทนที่แวนเดลจะเคลื่อนหมากเอง มีทหารจำนวนหนึ่งทำหน้าที่เคลื่อนหมากบนแผนที่ให้มัน
อย่างที่คริสต์ได้อธิบายไปแล้ว พวกเผ่าสายฟ้าชาดกำลังไปรวมตัวกันที่ขอบเทือกเขาจิชก้า ซึ่งเยื้องไปอีกทางตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นบึงขนาดใหญ่ ข้ามบึงนั้นไปก็จะเป็นเขตแดนของโลกมนุษย์
“พวกมันนับประมาณได้ 3,000-5,000 ถ้านับผู้หญิงและเด็กด้วยก็จะมากกว่านี้ แต่นั่นก็น่าจะเป็นจำนวนทหารทั้งหมด”
“แล้วพวกมันมารวมตัวกันหรือยัง?”
แวนเดลขมวดคิ้วให้กับคำถามของคริสต์
“พวกมันรวมกันอยู่ตรงนี้ และตรงนี้ จะดีมากถ้าเราแยกตีมันแตกทั้งสองจุดได้ แต่ทหารมันเยอะ มันอาจจะแยกกระจายไปตามจุดต่างๆ”
สิ้นเสียงแวนเดล ตัวหมากบนแผนที่ก็ถูกกระจายไปทั่ว หนึ่งในบรรดากองทหาร มีกองหนึ่งที่เคลื่อนที่อย่างคล่องแคล่ว นั่นก็คือกองพลของไครัม
คริสต์จ้องไปบนแผนที่แล้วพยักหน้า
“งั้นพวกเราก็แค่ลงมือก่อนมันจะรวมตัว ถ้าพวกเราจัดการกับยาคุซันได้ เดี๋ยวพวกมันก็แยกย้ายกันเอง”
จุดประสงค์ของสงครามครั้งนี้ไม่ใช่การกวาดล้างเผ่าสายฟ้าชาด แต่เป็นการแสดงอำนาจให้เห็น ฉะนั้นแค่เพียงจัดการกับหัวหน้าที่มีอำนาจในการปลุกระดมได้ก็เพียงพอ
“พวกเราจะเปิดศึกได้เมื่อไร?”
เพื่อตอบข้อสงสัยของคริสต์ แวนเดลเลื่อนมือไปบนแผนที่
“พวกเราเคลื่อนพลได้เช้าพรุ่งนี้”
แวนเดลจับตัวหมากของเผ่าสายฟ้าชาดตะแคงลง
เหมือนในหมากรุก เป็นการข่มว่าหมากตัวนี้ตายแน่นอน