บทที่ 29 ออโรร่าน้อยกับความผิดบาปของเหล่านักบวช

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

“ท่านเรียกหนูอย่างงั้นเหรอคะ?”

ผมเดินเข้ามาในห้องทำงานของท่านสังฆราชอันแสนคุ้นเคย ของทั้งหมดในห้องยังจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม ถ้าถามว่ามีอะไรแตกต่างไปจากเดิมก็คงเป็นท่านสังฆราชที่ตอนนี้นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับยกภูเขาบางอย่างออกจากอก

“ใช่แล้วล่ะ ท่านนักบุญ ตัวข้ามีเรื่องบางอย่าง อยากจะถามท่านเล็กน้อยน่ะ”

เรื่องอะไร? …… หรือว่าเรื่องที่เราแอบหอบขนมกลับมาจากตอนทำภารกิจแล้วนั่งกินในห้องมันจะความแตกขึ้นมา ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็ตอนนั้นเราแอบกินใต้ผ้าห่มพร้อมกางบาเรียศักดิ์สิทธิ์ป้องกันไม่ให้เสียงเคี้ยวหลุดออกมากันเหนียวแล้วด้วย

ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็เล่นติดสินบนขนมใส่พวกทหารหมดแล้วนี่นา ไม่น่ามีใครกล้าปากโป้งเอาเรื่องนี้ไปฟ้องแน่นอน

ไม่สิ ยังมีตัวอันตรายอยู่หนึ่งตัวนี่นา ก็สาวน้อยมาเรีย รูมเมทของผมยังไงเล่า ใช่ นี่ผมลืมไปได้ไงกันนะว่าที่เธอเข้ามาอยู่ในห้องนี้กับผมก็เพราะแผนการอันน่ากลัวของตระกูลที่ใช้ให้เธอหาทางลากผมมาแต่งงานเข้าตระกูลของเธอ

หึ นึกไม่ถึงว่าจะเริ่มเดินหมากรวดเร็วเช่นนี้ ออโรร่าคนนี้ประมาทไปจริงๆ

ว่าแต่ถ้าถูกถีบออกจากตำแหน่งนักบุญก็ดีสิ! จะได้มีอิสระ …ใช่ จะได้ซื้อขนมได้ตลอดเวลาแบบไม่ต้องหลบซ่อน!

เหมือนมีความคิดบางอย่างผ่านเข้ามาในหัวของผมชั่วขณะ แต่ผมก็รีบส่ายหัวโดยเร็วเมื่อตาชั่งบางอย่างมันเริ่มโน้มเอียงเปลี่ยนน้ำหนัก

ใจเย็นๆ ออโรร่า ถึงเจ้าตำแหน่งนี่มันจะโดนจำกัดอิสระหลายๆ อย่าง แต่เงินตอบแทนมันก็เยอะ แถมงานก็สบายๆ ไม่ต้องทำอะไร แค่นอนขี้เกียจ เดินออกไปโบกมือให้ชาวบ้านเป็นครั้งคราวก็ได้เงินมาแล้วนะ เงินเยอะขนาดซื้อขนมได้ทั้งร้านเลยนะ!

“เอ่อ ท่านนักบุญ?”

“คะ?”

เสียงของสังฆราชดังเรียกสติของผมที่เริ่มออกทะเลไปไกลแสนไกลให้กลับมาเข้าฝั่ง

“คือเรื่องที่ข้าต้องการถามก็คือ…”

มาเลยท่านสังฆราช มาเลยมาเรีย ไม่ว่าอะไรที่รอผมอยู่ ผมพร้อมรับมือแล้ว!

“เรื่องงานของท่านเมื่อไม่กี่วันมานี้น่ะ ท่านนักบุญ”

อ้าว…..ไม่ใช่เรื่องขนมหรอกเหรอ? ว้า อุตส่าห์เตรียมใจ

“หือ มีอะไรอย่างนั้นเหรอ ท่านนักบุญ? สีหน้าท่านดูตื่นๆ นะครับ”

“เอ่อ…”

สงสัยผมจะเหวอมากไปจนหน้ามันโชว์ออกมาซะชัดเจน งานนี้ต้องรีบแก้ตัว ขืนตอบช้าไปรับรองได้ถูกถามยาวจนเรื่องที่ปกปิดไว้แดงออกมาแน่นอน

“ไม่มีอะไรค่ะ แค่นึกว่าท่านจะถามเรื่องที่ข้าใช้พลังไปตอน…อ๊ะ”

งานงอกแล้วไง ออโรร่า นี่เธอทำบ้าอะไรลงไปน่ะรู้ไหม? ก็บอกว่าให้แก้ตัวเพื่อปิดเรื่องนี้เป็นความลับไม่ใช่หรือไงเล่า แบบนี้เท่ากับเธอทำให้แผนของมาเรียมันง่ายขึ้นนะรู้ไหม?

ไม่สิๆ บางทีอาจจะเป็นเรื่องอื่น

“อ่อ เรื่องนั้น….นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในศาสนจักรของเราเลยจริงๆ ไม่ว่าจะข้าหรือนักบวชชั้นสูงคนอื่นๆ ต่างก็เป็นกังวลกันมากเหลือเกิน”

โอเค จบ…. ไม่ต้องถามเลยครับ รับรองว่าผมเดาถูกแล้วแน่นอน สังเกตได้จากหน้าของท่านสังฆราชที่พอเจอผมพูดแบบนี้ไป หน้าที่ปกติจะยิ้มแบบใจดีๆ ดันกลายมาเป็นเค่งเครียดเหมือนโดนหวยกินทุกรอบแบบนี้ แสดงว่าเรื่องนี้ใหญ่พอควร แถมบวกกับที่ท่านบอกว่าทำเอานักบวชชั้นสูงคนอื่นๆ ต้องกุมขมับ ถ้าไม่ใช่เรื่องของผมแล้วมันจะเป็นเรื่องของใคร

“สิ่งที่หนูทำ มันใหญ่โตขนาดทำให้ทุกคนกังวลใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

“ทำเอาพวกข้าต้องประชุมกันสามวันสามคืนเลยล่ะ ท่านนักบุญ”

นี่การที่ผมแอบเอาขนมมานั่งกินในห้อง มันถึงขั้นต้องเป็นวาระประชุมแห่งชาติจนต้องคุยกันสามวันสามคืนติดต่อกันจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยเหรอ?

โอ้พระเจ้า นี่ถ้าผมไปเหมาขนมมากินกันตรงลานสวดภาวนา ไม่ถึงขั้นต้องเรียกนักบวชทั่วศาสนจักรมาประชุมกันทั้งอาทิตย์เลยหรืออย่างไร?

“มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

ผมเริ่มน้ำเสียงสั่น เพราะดูจากความอลังการของงานประชุม รับรองว่าโทษไม่จบแค่โดนเตะออกจากโบสถ์แน่…

แขวนคอ!

ไม่ๆ นั่นมันแรงเกินไป ไอ้ผมก็ทำความดีความชอบมาเยอะ พวกเขาคงไม่ทำอะไรผมขนาดนั้น แถมผมยังเป็นเด็กดีและน่ารัก พวกเขาต้องให้อภัยแน่ๆ แล้วถ้างั้น ไหงมันถึงได้คุยกันสามวันสามคืน

กำจัดต้นตอ…

ใช่ ต้องใช่แน่ๆ พวกเขาต้องประชุมกันว่าหากไม่สามารถทำอะไรนักบุญได้ เพราะออโรร่าคนนี้ยังเป็นผ้าขาวแสนบริสุทธิ์ที่สามารถถูกโคลนตมมาเปรอะเปื้อนได้ ดังนั้นพวกเขาจะไม่โทษผม สิ่งที่พวกเขาจะโทษคือต้นตอแห่งความชั่วร้ายที่ทำให้นักบุญหลงผิด

ร้านขนม!

จากการคาดเดา พวกเขาต้องประชุมกันเพื่อหาทางทำให้ขนมอยู่ห่างไกลผมที่สุด และคำตอบที่ได้จากการประชุมก็คือการกำจัดขนมหวาน

“อืมมม นับเป็นเรื่องที่หนักนักมาก ท่านนักบุญ หนักขนาดที่แม้แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีจริงๆ”

ขนาดท่านสังฆราชยังต้องคิดหนัก แสดงว่าต้องมีการใช้อำนาจของตัวเองในการกำจัดขนมแน่ๆ …. ไม่นะ นี่เขาจะตีตราว่าขนมเป็นผลิตภัณฑ์ของปีศาจและต้องกำจัดออกไปจากอาณาจักร ผลก็คือร้านขนมทั้งเมืองหลวง ไม่สิ ทั้งอาณาจักรจะต้องถูกปิด

โอ้ ไหงมันกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ไหงขนมสุดเลิฟของผมต้องมามีจุดจบเช่นนี้ด้วย เหตุใดต้องถูกขับไล่ด้วยเรื่องเล็กๆ แบบนี้ ไอ้พระเจ้าบ้า เพราะคนของนายมันบ้าบอคอแตกชัดๆ เลย รู้ไหมว่ามาตั้งกฎแบบนี้กับสวีทเลิฟเวอร์เท่ากับฆ่ากันชัดๆ นี่มันคือการทรมานทางจิตใจชัดๆ

“โอ้พระผู้เป็นเจ้า เหตุเพราะสาวกผู้ภักดีของท่าน ด้วยกฎที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ตัวข้าผู้โปรดปรานในสิ่งหอมหวาน นับเป็นการทดสอบอันแสนสาหัสต่อจิตใจอันแสนเปราะบางของตัวข้าผู้นี้ยิ่งนัก”

“ไม่!! ท่านนักบุญ นั่นไม่ใช่ความผิดของท่าน ตัวข้าเข้าใจดีว่าการสวดภาวนาสร้างสะพานโดยตรงสู่พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ นับว่าเป็นความสุขอันแสนหอมหวาน แต่ตัวท่านไม่ควรต้องมาทรมานจิตใจเพราะพวกเราเลย”

ด้วยสติของผมที่บินไปไกล คำพูดของท่านสังฆราชจึงไม่เข้าหูผมสักนิด ตอนนี้ผมได้แต่บ่นไปมาในหัวคร่ำครวญถึงของล้ำค่าที่สุดในชีวิตของผม

ฮือออ เจ้าพระเจ้าบ้า นี่ผมแค่อยากกินขนมหวานที่เป็นความสุขเดียวของผมแท้ๆ แล้วไหง แล้วไหงเหล่าขนมหวานที่แสนดีพวกนั้นจะต้องถูกทำลายออกไปด้วย ไม่นะ แค่คิดน้ำตามันก็จะไหลแล้ว อา ชีวิตผมที่ขาดซึ่งขนมหวาน

“พระองค์ท่านผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง การทำเพื่อความสุขเพียงหนึ่งเดียวของข้าถึงกับทำให้เหล่าผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายต้องผิดบาป โอ้ ช่างน่าเศร้าใจ น่าเศร้าใจจนข้ามิอาจหักห้ามมิให้น้ำตาไหลออกมาได้”

“ท่านนักบุญโปรดสงบใจด้วย พวกข้าเข้าใจดีถึงความรักของท่านที่มีต่อพระเจ้า ทั้งหมดนี้คือความผิดของพวกข้าเองที่ล่วงเกินท่านขณะท่านกำลังสวดภาวนาให้กับพระเจ้า”

“ฮือ..ขน….”

 

รู้สึกว่าได้ยินอะไรแปลกๆ ผมที่กำลังสติหลุดลอยอยู่จึงรีบเบรกคำพูดของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วลากสติกลับมาให้ตามเรื่องราวตอนนี้ให้ทัน

ขณะนี้ท่านสังฆราชกำลังคุกเข่าจับมือผมแล้วร้องไห้ ราวกับพวกเขาทุกคนต่างทำความผิดอันใหญ่หลวงต่อผม ทั้งที่จริงๆ แล้วคนที่ทำผิดน่ะมันผมชัดๆ

“เป็นเพราะพวกข้าขัดขวางท่านระหว่างการสวดอ้อนวอน ทำให้เหล่าสาวทั่วทั้งมหาวิหารนั้นโดนคำสาปจากพระองค์ท่าน เช่นนั้นแล้วนั่นจึงเป็นความผิดของพวกเรา ไม่ใช่ความผิดของท่านเลย”

…..

พวกนี้มัน… พูดอะไรกันนั่น?

เดี๋ยวนะ ฟังแล้วรู้สึกเหมือนมีเพิ่งมีอะไรคล้ายๆ นี้เกิดขึ้นเมื่อไม่นาน

ผมค่อยๆ หลับตาคิดทวนความจำ เพราะถึงจะคุ้นๆ แต่ก็ช่างเลือนรางจนเดาได้ว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเกิดช่วงที่ผมง่วงแบบไม่ต้องสืบ

“โอ้ ท่านนักบุญศักดิ์สิทธิ์ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักต่อพระองค์ท่านอย่างเหลือล้น ท่านมิจำเป็นต้องช่วยเหลือพวกเราด้วยการหักห้ามใจตนเองในการสวดภาวนาเพื่อทัดทานพระองค์ท่านที่กำลังพิโรธจนสาปส่งพวกเรา นี่บาปของพวกข้า เป็นบาปของพวกเราที่ต้องแบกรับไว้ ไม่ใช่บาปของตัวท่านแม้แต่น้อย”

มิทราบว่าคุณท่านพูดอะไรของคุณท่านกันครับ!?

นี่พูดถึงเรื่องอะไร คำสาป? คำสาปไหน? แล้วไหนยังเรื่องหักห้ามใจในการสวดภาวนาให้กับเจ้า…..กับพระเจ้านั่นอีก ผมเนี่ยนะต้องหักห้ามใจ เหอะ สวนทางกันเลย กล้ำกลืนฝืนใจสวดภาวนาต่างหากเล่า

“คำสาปงั้นเหรอคะ?”

ว่าแต่บาปที่พวกนั้นมันพูดมันคืออะไรกันหว่า? ถ้าจำไม่ผิดที่เรื่องที่พอจะทำให้พวกเขามายุ่งกับผมจนสติหลุดลอยไปกับสาระเหยก็มีแต่….

ภาพของเหล่าสาวกเกือบทั้งวิหารกำลังก้มกราบพร้อมเอ่ยบทสวดขอโทษที่ฟังแล้วรู้สึกอายจนอยากเอาหัวไปยัดกับปี๊บก็เริ่มลอยเข้ามา

หรือว่า!?

ผมหันควับมองท่านสังฆราชที่ตอนนี้กำลังกุมมือผมร้องห่มร้องไห้ประดุจเด็กน้อยตอนถูกครูลงโทษ จนผมเริ่มเหงื่อตกสงสัยว่าใครหน้าไหนมันไปมโนแต่งเรื่องแต่งราว จนมหาวิหารวุ่นวายกันได้ปานนี้

“ครับ ท่านนักบุญ คำสาป มีรายงานไม่หยุดไม่หย่อนถึงคำสาปที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น”

ผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นสารระเหย!

“รายงานว่าอย่างไรบ้างงั้นเหรอคะ?”

“โอ้ มีแต่เรื่องร้ายๆ ทั้งนั้นเลยครับ ไม่ว่าจะแท่นตราศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิหารที่ปรกติจะส่องสว่างอร่ามอยู่ตลอดเวลา แต่บัดนี้คนทำความสะอาดรายงานมาว่ามันหมองลงไป ไม่ว่าจะเช็ดอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้มันงดงามได้เฉกเช่นก่อนหน้านี้ แล้วยังมีเหล่าทหารที่ปรกติจะฝึกกันด้วยความฮึกเหิม ทว่าช่วงนี้แต่ละคนดูหมดเรี่ยวหมดแรงกันดุจโดนคำสาปให้ไร้ซึ่งพละกำลังใดๆ”

…..

เดี๋ยวนะ พวกนายลองวางถุงกาวแล้วหยิบถุงสติขึ้นมาดมก่อนจะได้ไหม? ลองจับสมองที่บินไปไกลกลับมาใส่หัวก่อนแล้วลองคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลดูนะ อย่างเจ้าตราศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าหมองลงเนี่ย… เจ้านั่นมันตั้งอยู่กลางห้องสวดภาวนาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยปี มันจะหมองคล้ำไปก็ไม่แปลกอะไรไม่ใช่เหรอ? ที่ปรกติไม่เห็นก็เพราะเจ้าคนทำความสะอาดมันมักง่ายเช็ดๆ ถูๆ เอาพอผ่านจนไม่ทันสังเกตชัดๆ

แล้วไอ้ทหารหมดเรี่ยวแรงนั่นมันอะไร? มันก็แค่พวกนายกังวลเรื่องคำสาปจากที่คนอื่นเล่าปากต่อปากกันมาจนไม่มีสมาธิกับการฝึกไม่ใช่เหรอไง? อุปทานหมู่ชัดๆ!

“ยังมีอีกนะครับ”

ยังมีอีกเหรอ!?

“ไหนจะเหล่านักบวชชั้นสูงที่ปรกติไม่ว่าจะบทสวดภาวนายากเพียงใด ก็สามารถสวดได้อย่างคล่องปาก ทว่ายามนี้กลับหลงลืมราวกับมีเมฆหมอกมาบังความทรงจำ จนไม่สามารถท่องได้ต่อเนื่องแบบทุกครา”

นั่นมันก็อุปทานหมู่ พวกนายแค่มโนกันจนไม่จดจ่อกับการสวดแค่นั้นเองนะ ไม่สิ สำหรับเจ้าพวกนี้จะบอกพูดว่าอุปทานหมู่คงไม่พอ สติแต่ละคนยิ่งไม่ค่อยเต็ม ยิ่งชะงักทียิ่งลากกันลงเหว ศูนย์รวมความบรรลัยชัดๆ

“ทางเดินห้องโถงที่ควรจะสะอาดเงางามดุจท้องพระโรงแห่งสวรรค์ตลอดเวลากลับไม่มันวาวงดงามเฉกเช่นทุกที”

เฮ้ย ไอ้คนทำความสะอาด อู้แล้วเอาคำสาปมาอ้างนี่หว่า

“รสชาติของอาหารในมหาวิหารที่ควรเลิศรสกลับไร้ซึ่งรสชาติใดๆ แสดงถึงความโกรธาแห่งองค์เทพที่ขาดซึ่งคำสวดภาวนาอันแสนหอมหวานของท่านนักบุญ”

งานนี้ผมว่าเป็นหนักอ่ะ พวกนายแค่เครียดจนกินอาหารไม่อร่อยแต่ดันเอาไปเทียบกับคำสาปซะได้ ไม่พอยังเอาผมมาเป็นเปรียบเทียบอีก นี่มีใครทำกระป๋องกาวหกทั่ววิหารเหรอเปล่าเนี่ย

แล้วอีกอย่างนะ ไอ้ที่บอกว่าเจ้าพระเจ้านั่นมันโกรธน่ะคงไม่จริงหรอก แค่ที่พวกนายทำอยู่ ณ ตอนนี้ เจ้าหมอนั่นมันก็นั่งขำดีใจจนน้ำตาไหลร้องชื่นชมพวกนายรัวๆ แล้ว

 

ว่าแต่เรื่องนี้มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว นี่แค่มีคนปลุกตอนผมแอบหลับเท่านั้นเองนะ พวกนายเล่นเอาเรื่องนี้ลือกันเป็นตุเป็นตะขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่ไหว สมองบินไปกับสายลมกันหมดจนไม่เหลืออะไรมาคิดเหตุคิดผลเลย

ส่วนท่านสังฆราช ท่านน่ะตัวดีเลย อันที่จริงในยามที่ชาวบ้านชาวช่องกำลังสติหลุดกันแบบนี้ ท่านควรเป็นคนมีสติแล้วลากมันกลับมา ไม่ใช่ไปเข้าร่วมกับพวกบ้านั่นแล้วพากันดิ่งลงเหวกว่าเดิม

“โอ้ ข้าเห็นสายตาที่เศร้าหมองของท่าน คงปวดใจทรมานมากสินะขอรับ ทรมานที่ต้องกล้ำกลืนฝืนใจไม่สวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อช่วยพวกเราแบบนี้ พวกข้าเข้าใจดี”

ไม่เลย ท่านน่ะ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง! แววตาที่ผมส่งไปน่ะไม่ใช่แววตาของสาวน้อยที่เศร้าหมองจากการหักห้ามใจตัวเอง แต่เป็นแววตาที่เศร้าหมองอันเกิดจากความไร้สติซึ่งผ่านการดมถังสารระเหยของพวกท่านต่างหาก

“ทรมานมากสินะครับ?”

ใช่ มากจนไม่สามารถบรรยายได้เลยล่ะ ยิ่งพูดกับท่านด้วยแล้ว ผมยิ่งทรมานจิตใจจนอยากหาปี๊บมาคลุมหัวสักใบแล้ววิ่งออกจากวิหารมันตอนนี้เลย

“ค่ะ เกินกว่าที่คิดอีกค่ะ”

ใช่ ว่าตอนแรกพวกนักบวชคนอื่นๆ หนักแล้ว นึกไม่ถึงว่าท่านสังฆราชจะหนักยิ่งกว่า

“นั่นสินะครับ มากเหลือเกิน ท่านนักบุญช่างเสียสละให้กับพวกเรามากมายเหลือเกิน เช่นนั้นเห็นทีพวกข้าคงต้องแก้ไขความผิดร้ายแรงที่พวกเราเป็นผู้ก่อเสียแล้ว”

น่าดีใจเสียจริงๆ ในที่สุดพวกเขาก็หาทางแก้ไข….ทางแก้ไข เดี๋ยวนะ ขึ้นชื่อว่าสาวกของเจ้าพระเจ้านั่น….ทางแก้ไขมันจะออกมาในรูปแบบปรกติชนจริงๆ เหรอ?

เมื่อตระหนักได้ถึงบางสิ่งที่น่ากลัว ทำให้เหงื่อเม็ดใหญ่เท่านิ้วโป้งไหลลงมารัวๆ จากศีรษะ มือของผมเริ่มสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ

“โอ…มือของท่านถึงกับสั่นเพียงนี้เลยเหรอขอรับ ท่านนักบุญ? .ท่านมิจำเป็นต้องเศร้าเสียใจ พวกเรามีความยินดีที่จะรับบาปนี้ไว้เอง”

ไม่ๆ อย่านะ ถึงพวกนายบอกจะรับบาปให้ แต่ฟังจากน้ำเสียงและคำพูดแล้ว งานนี้ผมได้ขี้กองยักษ์แน่ๆ ซวยแล้ว ๆ

“เพื่อให้ท่านสามารถสวดภาวนาให้กับพระองค์ท่านได้อย่างเบาใจ ไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะทำให้พวกเราได้รับบาปหรือคำสาป…”

โอ้ ชัดเลย ขึ้นมาด้วยประโยคแบบนี้ ไม่ต้องสืบเลยครับว่าความบรรลัยกำลังมาเยือนตัวผมแน่ๆ

“ถึงนี่จะเป็นคำเรียกร้องที่พวกเราเคยปฏิเสธไปในยามแรก แต่เพื่อให้พวกเรามีเวลาสวดขอประทานอภัยจากพระองค์ท่านและปรับปรุงตนเพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาอันใดต่อท่านนักบุญ”

นี่ผมกำลังถูกถีบส่งออกจากมหาวิหารงั้นเหรอ? นี่ผมต้องออกจากวิหารเพราะความเข้าใจผิดบ้าๆ ตอนผมเผลอหลับใช่ไหม!?

“พวกเราจึงจำต้องเชิญท่านไปอยู่ที่ราชวังสักพักใหญ่ตามคำเรียกร้องขององค์กษัตริย์ ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ ท่านนักบุญ เมื่อยามท่านกลับมา ท่านจะสามารถสวดภาวนาต่อพระองค์ท่านได้โดยไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดทั้งนั้น”

จำเริญแล้วไง โดนถีบส่งเข้าแดนศัตรูเลยนี่หว่า

ว่าแต่สรุปว่านี่ท่านสังฆราชเรียกผมมาคุยเรื่องอะไรกันเนี่ย!

——————————————————————

จบไปแล้วกับปฐมบทของพาร์ทสองของภาคแรกนะครับผม เอาล่ะ มาดูกันเถอะว่าออโรร่าจะเป็นยังไงต่อ