ครึกๆ

ตุบๆ

เสียงรถม้าเคลื่อนไปตามถนนดังขึ้นระรัวประสานไปกับใจของผมที่เต้นตุบตับ มือของผมที่จับกับขอบเก้าอี้สั่นรุนแรงจนเสียวดึงแผ่นไม้หลุดหงายหลังล้ม

นี่มันอะไรกัน มันเกิดเรื่องบ้าแบบนี้ได้ไงกัน….

ผมจำได้ว่าโดนเรียกไปคุยอะไรบางอย่าง ซึ่งสุดท้ายไม่รู้ว่าคืออะไร….

ใช่ เพราะยังไม่ทันได้คุย แค่เพราะผมกลัวร้านขนมจะถูกปิดเพราะความลับที่ผมแอบกินขนมถูกมาเรียรู้เข้า เรื่องมันก็ดันบานปลายจนมาถึงจุดนี้

ถึงจุดนี้! จุดที่ผมโดนถีบส่งมาที่ราชวัง!

ราชวัง สำหรับตัวผมที่เป็นนักบุญผู้ช่วยให้ศาสนจักรซึ่งเป็นศัตรูกันมาชาติเศษให้กลับมามีชื่อเสียงและความศรัทธาอีกครั้งหนึ่งแล้วนั้น คงเป็นอะไรไม่ได้นอกจากถิ่นของศัตรู

ถูกต้อง ตอนนี้ผมกำลังซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยหนักกว่าเดิม นี่เจอพวกสติไม่เต็มในมหาวิหารว่าแย่แล้ว ดันมาเจอพวกสติไม่เต็มพวกนั้นหามผมมาส่งถึงแดนศัตรูแบบนี้ยิ่งแย่ไปกว่าเก่า

นี่แค่อยู่แถวมหาวิหารก็รู้สึกเหมือนโดนใครไม่รู้แอบจ้องคล้ายหาจังหวะลอบฆ่าอยู่ตลอดเวลา ถ้าต้องไปอยู่ราชวังแบบนี้ แม้แต่อาหารหรือขนมที่เสิร์ฟมาผมจะสามารถทานได้แบบวางใจอยู่ไหม…

ขนม…

เดี๋ยวนะ ขนม…

ขึ้นชื่อว่าราชวังก็เป็นแหล่งรวมของเหล่าขุนนางและคนรวยมากมาย ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกคนรวยหรือชนชั้นสูงแล้ว สิ่งที่ควรจะนึกถึงก็คือของฟุ่มเฟือย และหนึ่งในของฟุ่มเฟือยนั่นก็คือ…..ขนม!!!

แถมขนมของพวกคนรวยมันจะต้องอร่อยแน่ๆ โอ้มาการองชั้นดี ไหนจะขนมสโคนหอมกรุ่นอีก นี่ยังไม่นับเเพนเค้กรสนุ่มอีกนะ

เพียงแค่คิด กลิ่นแป้งอันแสนนุ่มนวลของแพนเค้กอันแสนคิดถึงก็ลอยเข้ามาภายในหัวจนรู้สึกน้ำลายของผมเริ่มไหลเป็นทางยาว

ตอนนี้ความเครียดและความกังวลทั้งมวลของผมได้มลายหายไป และถูกแทนที่ด้วยภาพขนมจำนวนมหาศาลที่เอ่อล้นอยู่เต็มสมอง

อา……ราชวังเป็นสถานที่ของมหามิตร!

และเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความฝันอันแสนหวานก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนผมเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้งก็เห็นว่าสองข้างของถนนรายล้อมไปด้วยผู้คนที่กำลังยืนกู่ร้องยินดีกันอย่างมีความสุขคล้ายกับครั้งแรกที่ผมมาที่เมืองหลวง

แต่คราวนี้มันต่างออกไป เพราะแต่ละคนที่มายืนต้อนรับนั้นไม่ใช่คนมากหน้าหลายตาหลายชนชั้น เพราะถ้าสังเกตดูดีๆ ชุดที่พวกเขาใส่อยู่นั้นจะดูดีเกินกว่าของพวกคนที่มางานก่อนหน้านี้มาก แล้วแต่ละคนที่มาก็ไม่ธรรมดา หลายคนต่างมีไม่นักรบก็อัศวินประจำตัวยืนอยู่ใกล้ๆ บางคนก็มีเหล่าคนใช้กำลังโปรยดอกไม้มาให้ผมมากมายหลายสี

“เวอร์กันจริงๆ วุ้ย”

ผมถึงกับอุทานออกมากับการกระทำของเหล่าขุนนางที่เล่นใช้เงินกันเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับแค่งานต้อนรับนักบุญคนเดียว สู้เอาไปซื้อขนมแล้วเอามาบริจาควัดบริจาควายังจะดีซะกว่าอีก!

แต่ก็สมกับที่ถูกเรียกว่าขุนนางล่ะนะ ยิ่งขุนนางในเมืองหลวงด้วยแล้ว ในนิยายส่วนใหญ่ก็บรรยายถึงการใช้ชีวิตหรูหราและเต็มไปด้วยการแข่งขันทางการเงินเต็มไปหมด

แถมมากันซะเอิกเกริกแบบนี้ ไม่ต้องถามเลยว่าต้องการอะไร หวังสร้างความดีความชอบอวดออโรร่าน้อยคนนี้ใช่ไหมล่ะ หึ เสียใจด้วยนะ กับงานต้อนรับเวอร์วังอลังกาน่ะใช้กับผมไม่ได้หรอก ออโรร่าคนนี้ไม่ใช่คนที่จะซื้อตัวได้ง่ายๆ หรอกนะ

แต่ถ้าเป็นขนมล่ะก็….จะคิดดูแล้วกันนะ

ผ่านไปไม่นาน ในที่สุดรถม้าของผมก็มาถึงราชวัง ระดับความหรูหราของหน้างานนับว่าไม่น้อยหน้าตอนงานต้อนรับครั้งแรกของผมที่มหาวิหาร ไม่สิ ต้องเรียกว่าหรูหรากว่าด้วยซ้ำ

พรมแดงถูกปูยาวจนไปถึงทางเข้าวัง ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยเหล่าอัศวินยืนเรียงรายกันอย่างเข้มแข็งเหมือนกำแพงเหล็กที่คอยอารักขาทางเดินนี้ให้ปลอดภัย

เบื้องหลังของเหล่าอัศวินที่คุ้มกันก็เต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูงซึ่งชุดหรูหรากว่าพวกด้านหน้าเป็นกอง แถมพร๊อพที่ใส่ก็เรียกได้ว่าอย่างกับมางานเดินแบบอย่างหมวกใบโตติดขนนก ผ้าพันคอยาวจนแทบจะลากพื้น หรือชุดฟูฟ่องจนอย่างกับเป็นมนุษย์ลูกโป่งจนผมรู้สึกว่าพวกเขาไม่รู้สึกหนักกันบ้างเหรอไง

ให้บอกตามตรง ผมยังรู้สึกเขินๆ กับพิธีการยิ่งใหญ่ที่มีคนมารุมจ้องผมแบบนี้อยู่ดี พอมีคนมาเพ่งความสนใจที่ผมกันแบบนี้แล้วมันรู้สึกตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกเลยให้ตายสิ

และที่ทำให้เหนื่อยใจสุดคงจะไม่พ้นอย่างอื่นนอกจากชุด!

ชุด! ชุดมันทำไมน่ะเหรอ? ชุดนี่มันออกแบบได้ไม่แคร์คนใส่สุดๆ เลยน่ะสิ มาดูทีล่ะส่วนนะ เริ่มจากเจ้าชุดสีขาวผ่องนี่น่ะนอกจากจะยาวลากพื้นไม่รู้กี่เมตรจนเสี่ยงต่อการสะดุดขาตัวเองแล้ว ส่วนเครื่องประดับดันมีติดไว้เต็มจนอยากถามคนทำชุดเหลือเกินว่านี่ใช่ชุดที่ให้เด็กจริงๆ เหรอ? ไม่กลัวว่าออโรร่าน้อยคนนี้จะล้มกลางงานจนร้องไห้ฟ้องพ่อเหรอ?

มาส่วนหัวก็ยิ่งกว่า เครื่องประดับทั้งผ้าที่โพกเอาไว้ ทั้งพวกอัญมณีกับสายอะไรไม่รู้ติดอยู่เต็มไปหมด รวมๆ น้ำหนักก็น่าจะเกือบครึ่งกิโลได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมบ่นได้ไง นี่ไม่กลัวว่าออโรร่าน้อยจะเป็นโรคคอเสื่อมบ้างเหรอ

จะสวยทั้งทีก็ถามสภาพคนใส่มั่งสิ!

ผมค่อยๆ สาวเท้าเดินไปตามพื้นพรมแดงที่ทอดยาวไปไกลจนเกินกว่าขอบเขตสายตาของผมจะมองเห็น ผ่านบานประตูขนาดใหญ่สูงจนแม้แต่ยักษ์ยังผ่านได้อย่างง่ายดาย และตรงหน้าคือบัลลังก์ขนาดใหญ่ที่ถูกยกสูงขึ้นจนไม่ว่าผู้ใดที่จะจ้องมองมัน จำต้องแหงนมองหน้าทุกคน

ที่บนบัลลังก์มีชายวัยวัยกลางคนกำลังนั่งจ้องมองผมอย่างสนใจ ผมสีทองปนขาวหงอกบ่งบอกถึงอายุได้อย่างดี แม้ใบหน้าจะเริ่มมีรอยย่นบ่งถึงอายุ แต่รัศมีความยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้ด้อยลงไปแม้แต่น้อย

ผมย่างเท้าผ่านฝนดอกไม้สีขาวที่ถูกโปรยลงมาจนให้อารมณ์เหมือนอยู่ในพิธีเฉลิมฉลองชัยชนะหลังมหาสงครามครั้งใหญ่ เสียงดนตรีบรรเลงยิ่งใหญ่อลังการดังมาอย่างไม่ขาดสายในทุกย่างก้าว

“ดูนั่นสิ ช่างสง่างามเสียจริง ไม่ว่าจะหน้าตา ความสงบนิ่ง หรือแม้แต่ก้าวเดินยังงดงามจนข้ามิอาจละสายตาได้”

“ท่านนักบุญศักดิ์สิทธิ์ ช่างงดงามดั่งบุปผาแห่งป่าศักดิ์สิทธิ์ ทุกย่างก้าวราวกับมีดอกไม้สีขาวอันงดงามบริสุทธิ์งอกออกมาจากพื้นดินเพื่อรองรับนางจริงๆ”

เดี๋ยวๆ บางทีพวกนายอาจจะเวอร์ไปนะ นี่ผมเดินแบบเก้ๆ กังๆ จะล้มมิล้มแหล่อยู่แล้วนะ ยังมองว่ามันสวยงามได้อีก ผมว่าพวกนายควรเปิดร้านขายแว่นแล้วเข้าไปวัดสายตากันได้แล้ว

เท้าของผมก้าวไปอย่างเชื่องช้าทว่าสายตาทุกคู่เหมือนจะมองว่ามันช่างงดงามแต่สำหรับผมมันเป็นการเดินที่แสนทรมานเพราะต้องคอยประคองร่างของตัวเองไม่ให้ล้มจากน้ำหนักของเครื่องประดับที่เทไปซ้ายทีขวาทีอยู่ตลอดเวลา

ฮือออ หนักแบบนี้หลังกับข้อเข่าผมจะเสื่อมก่อนวัยอันควรไหมเนี่ย

และสุดท้ายผมก็มาถึงปลายทาง นั่นคือใจกลางของห้องซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์เรสเวนทับบนตราแห่งศาสนจักรซึ่งอยู่เป็นพื้นหลัง ทั้งสองสอดประสานกันอย่างลงตัวงดงาม

ตามหลักแล้วเมื่อผมมาถึงตรงจุดนี้ผมต้องคุกเข่าแล้วโค้งคำนับราชาก่อนรายงานตัว แต่ความซวยคือความหนักของเจ้าชุดนี่ที่ผมใส่อยู่ทำให้ขาของผมมันแข็งไปหมดแล้ว แถมสมดุลที่แทบไม่มีจนจะล้มมิล้มแหล่ยิ่งทำให้ผมคิดว่าหากนั่งตอนนี้ล่ะก็ ได้หน้าทิ่มกลางงานพิธีแน่ๆ

บรือ!

จู่ๆ ผมก็หนาวสั่นหลังขึ้นมาพร้อมรู้สึกได้ถึงรังสีอาฆาตแผ่พุ่งตรงใส่เข้ามาอย่างจงใจทำเอาผมต้องรีบกลอกตามองไปหาต้นทางของรังสีอย่างฉับไว

ครืนนนน

จุดกำเนิดของรังสีที่ว่านั่นก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล ห่างจากองค์ราชาเพียงแค่บันไดไม่กี่สิบขั้นกับระยะห่างอีกไม่กี่เมตรซึ่งมีบุคคลยืนอยู่เพียงสองคน

คนแรกก็เป็นคนที่ผมคุ้นตาดี นั่นคือเจ้าองค์ชายอันดับสองขี้มโนที่ดันเอาคำพูดของท่านสังฆราชไปแปลผิดๆ จนทำเอาผมเข้าใจผิดซะเกือบได้ลอบสังหารคนไปแล้ว

ไม่รู้ว่าเพราะเป็นงานฉลองขนาดใหญ่หรือเปล่า เจ้าตัวเลยดูดีใจเป็นพิเศษ ปากตอนนี้แทบจะยิ้มบานจนเป็นกระด้ง แถมแววตาสีฟ้าใสที่เป็นประกายเหมือนแสงสะท้อนของน้ำยิ่งทอประกายกว่าเดิมจนแทบจะกลายเป็นแสงของพระอาทิตย์ในทันทีที่ผมเหลือบตาไปมองเขา

แน่นอนว่ารังสีอาฆาตที่ว่านั่นคงไม่ได้มาจากเจ้าชายคนนี้แน่ กลับกันรังสีแสงสว่างอันเจิดจ้าของความสุขดันแผ่กระจายออกมาจนรู้สึกได้

เพราะงั้นเจ้าความรู้สึกสยองขวัญจนขนลุกนี่ต้องมาจากเจ้าเด็กหนุ่มที่ยืนข้างกันไม่ผิดแน่ เขาคือเด็กชายวัยรุ่นอายุน่าจะสักประมาณสิบปลายๆ แม้เค้าหน้าจะคล้ายกับชาร์ลแต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้นั้นต่างกันอย่างชัดเจน

ใบหน้าคมเข้มที่ไม่ว่าเดินผ่านไปที่ไหนก็คงต้องมีแฟนคลับเพิ่มแบบกราฟเอกซ์โพเนนเชียล ดวงตาสีน้ำเงินทะเลลึกที่แหลมคมเหมือนเหยี่ยวที่เหมือนจะมองทะลุทุกคนได้ยิ่งทำให้หน้าดูเท่มากขึ้นไปอีก เท่จนผมยังรู้สึกอิจฉาว่าถ้าชาติก่อนหน้าผมได้สักเศษเสี้ยวของหมอนี่ ผมคงยิ้มหน้าบานทั้งวัน

และเพราะเจ้าดวงตาที่คมเหมือนเหยี่ยวนั่นมันกำลังจ้องมาที่ผมอย่างจงใจเหมือนกับสิงโตที่กำลังจ้องมองเหยื่อเพื่อรอคอยโอกาสปลิดชีพนั่นยิ่งทำเอาผมเสียวสันหลังเข้าไปใหญ่ จนผมต้องรีบหลบตาของตัวเองออกเพราะหากสบไปนานๆ ร่างของผมได้พรุนจากความคมของตานั่นแน่นอน

เสียวง่ะ ฮืออ ใครก็ได้ปล่อยผมออกไปที

จะว่าไปผมของเจ้าชายคนนี้ดูจะสะดุดตาที่สุดเนื่องจากผมของคนในอาณาจักรนี้มักจะเป็นสีทองกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับมีผมสีดำซึ่งแม้จะไม่เข้ากับคนอื่นที่ยืนอยู่ด้วยแต่มันช่างเข้ากับบรรยากาศรอบตัวของคน ๆ นี้ได้อย่างเหมาะเจาะ

ยิ่งรังสีสีดำมืดที่จงใจปล่อยออกมาราวกับผมไปเผลอฆ่าเขาตายเมื่อชาติจนทำเอาบรรยากาศรอบตัวของเขาน่ากลัวขึ้นไปอีก

นี่ผมไปเผลอทำอะไรให้คุณพี่แค้นเหรอครับ! ไม่ว่าจะไอ้สายตาที่จ้องปานผีจะกินเหยื่อกับไอ้รังสีชวนขนลุกที่ล้นทะลักราวน้ำไหลบ่าจากเขื่อนนี่ ไม่ว่ามองยังไงมันก็คิดได้แต่ว่าคุณพี่รอเจื๋อนผมแน่ๆ

จากตำแหน่งที่ยืน มีเพียงคนเดียวที่จะยืนอยู่ข้างๆ ชาร์ลที่เป็นองค์ชายอันดับสองได้ ไม่ต้องสืบเลย เจ้าหมอนี่มันต้องเป็นองค์ชายอันดับหนึ่งแน่ๆ

ซึ่งถ้าถามว่าองค์ชายอันดับหนึ่งคือใคร มันก็คือคนที่จะขึ้นเป็นราชาในอนาคตยังไงเล่า และด้วยตำแหน่งที่ว่านั่น เขาต้องมีอำนาจในวังแห่งนี้ไม่น้อย หากคนแบบนั้นอยากสับผมเป็นชิ้นๆ ล่ะก็… งานนี้บอกได้เลยว่า…ซวย

น่ากลัว น่ากลัวโคตรๆ ในวังมันมีคนน่ากลัวแบบนี้ด้วยเหรอ! แล้วนี่ผมไปทำอะไรให้มันแค้นเนี่ย วันๆ ผมก็นั่งกินนอนกินขนมอยู่ในวิหาร ไม่ก็ไปรับจ็อบพิเศษหาเงินด้วยการโบกมือไปมาแค่นั้นเอง ไม่น่าจะไปทำอะไรให้เฮียแกโมโหได้นี่นา

….

ใจเย็นไว้ออโรร่า ใจเย็นไว้ บางทีเราอาจจะคิดไปเองก็ได้ เพราะงั้นค่อยๆ หายใจเข้าออก ใจร่มๆ แล้วก็ทำพิธีการให้มันเสร็จๆ เสร็จแล้วจะได้ไปทานขนมอร่อยๆ พอทานเสร็จก็ไปปิดไฟนอนซะ เห็นไหม ง่ายนิดเดียว อย่าไปจ้องตาของเจ้าปีศาจกินเลือดนี่แล้วหันไปหาองค์ราชาก่อนดีกว่า

“ตัวข้า ออสวาร์ลที่ห้า แห่งราชวงศ์เรสเวน ขอกล่าวต้อนรับท่านนักบุญว่าตัวข้าและเหล่าข้าราชบริพารทุกคน ต่างมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสต้อนรับท่านนักบุญผู้ได้รับพรสูงสุดจากพระเจ้า สู่ศูนย์กลางแห่งราชอาณาจักรเรสเวน ปราสาทเรสเวลเนียแห่งนี้”

สงสัยเพราะผมตื่นตระหนกจนมองเจ้าองค์ชายหัวดำนั่นนานไปหน่อย จนผมลืมที่จะเป็นฝ่ายกล่าวทักทายก่อน แถมยังนิ่งไปนาน องค์ราชาเลยเป็นคนกล่าวเปิดซะเอง

ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวมาแบบนี้แล้วหากผมไม่ตอบกลับหรือทำท่าแสดงความเคารพกลับตามมรรยาทแล้ว มิวายผมคงโดนคนอื่นสบประมาทเป็นแน่

เนื่องจากชุดมันหนักเกินกว่าที่ผมจะยกไหว ดังนั้นผมเลยแค่จับผ้ากระโปรงสีขาวแล้วยกมันขึ้นเพียงนิดหน่อย พร้อมกับก้มหน้าลงเพียงนิดเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้หน้าผมคว่ำลงมาพร้อมกับเครื่องประดับบนหัว

หึยยย ถึงจะไม่อยากพูดว่าศรัทธาและเป็นสาวกของพระเจ้าบ้านั่น แต่ตามพิธีการแล้วผมต้องพูด! อ๊ะ….

“ค่ะ หนู ออโรร่า สาวกธรรมดาผู้…..ศรัทธาในพระเจ้าอย่างเหลือล้นจนมิอาจห้ามใจมิให้พูดเอ่ยถึงพระองค์ท่านในวาจาของข้าได้ค่ะ”

อ้ากกกก งานงอกแล้วไงล่ะ ออโรร่า ดันเผลอไปพูดบ่นเจ้านั่นซะได้ ซวยแล้วไง นี่เมื่อกี้ผมพูดบ้าอะไรออกไปเนี่ย ประโยคนั่นมันแปลกสุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอไง? มีไอ้บ้าที่ไหนมันมาพูดระหว่างแนะนำตัวเองว่าศรัทธาพระเจ้าจนห้ามใจที่ไม่พูดถึงไม่ได้กันเล่า

ตายๆ นี่ผมต้องถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดแน่ๆ เลย

ดูสิ ตอนนี้ราชาแกจ้องผมตาค้างแล้วไง นี่ต้องคิดว่าผมเป็นพวกคลั่งศาสนาแล้วแน่ๆ โอ้ย ๆ อับอาย อับอายมากๆ นี่มันโคตรจะอับอายขายขี้หน้าชาวบ้านสุดๆ เลยนี่นา ป่านนี้พวกชาวบ้านคง……

“ดั่งที่คำเล่าลือบอกไว้เลย สมแล้วที่เป็นท่านนักบุญ วาจาที่เอ่ยออกมาช่างลึกซึ้ง”

หา ลึกซึ้ง? ที่ผมพูดมามันมีอะไรให้ลึกซึ้งไม่ทราบ! แล้วคำเล่าลือที่ว่านั่นมันคืออะไร นี่ใครมันเอาผมไปพูดถึงแบบแปลกๆ อีกแล้วใช่ไหม?

เหล่าคนในงานต่างพูดกันในแนวทางตรงข้ามกับสิ่งที่ผมคิด ไม่ใช่แค่ไม่นินทาแต่ดันเอาไปพูดชมเสียเกินจริงจนผมเริ่มชักไม่มั่นใจในสติสตางค์ของคนประเทศนี้จริงๆ

“อา…. ท่านนักบุญผู้นี้ช่างถ่อมตนเสียนี่กระไร ประกาศตนว่าเป็นเพียงสาวกธรรมดาๆ ผู้นับถือพระเจ้าดั่งเช่นพวกเรา ข้าล่ะซึ้งใจโดยแท้”

จับประเด็นแค่ตรงนั้นเองเหรอ?

“โอ้ น้ำเสียงของนางช่างไพเราะยิ่งนัก แค่ได้ยินข้าก็เคลิ้มจนมิอาจจับใจความเนื้อหาอันใดได้”

นี่เอ็งไม่ได้ฟังเลยนี่หว่า แอบหลับก็บอกมาเถอะ

“ออโรร่า…….ข้า ข้าต้องพยายามให้มากกว่านี้”

นั่นท่านองค์ชายพูดอะไรออกมากันน่ะ พยายาม พยายามอะไร? นี่สมองท่านโดนปั่นใส่สเลอปี้จนพูดไม่เป็นภาษาแล้วเหรอ?

“ภาพนี่มันสุดยอด! ผมสีขาวบางเบาที่ร่วงลงมาสัมผัสกับไหล่บางเล็กของดอกไม้แรกแย้มอันงดงาม นี่มันภาพชั้นเลิศ ภาพชั้นเลิศจริงๆ ต้องรีบจดจำเอาไว้!”

ผีนักเวทที่ไหนมันออกมาเพ่นพ่านตอนกลางวันแสกๆ!

แม้ประโยคอื่นๆ จะทำเอาผมสะดุด แต่เจ้าประโยคสุดท้ายที่แสนจะคุ้นเคยไม่ว่าจะเนื้อหาหรือน้ำเสียง ทำเอาผมต้องรีบเหล่ตามองไปมา แต่ก็ไม่พบเจ้าของเสียงจนสงสัยว่าเจ้าผีตนนั้นมันต้องสร้างมนต์ประหลาดเพื่อตอบสนองรสนิยมแปลกๆ ของมันแน่

ช่างน่าเสียดาย เจ้าบ้านั่นไม่น่าเกิดมาเป็นนักเวทอัจฉริยะเลย

ครืนนนน

บรึยยยยย

ไม่ทันจะได้หายเสียวสันหลังจากความรู้สึกแปลกประหลาดแบบหมีๆ ความรู้สึกสยองประดุจโดนสัตว์กินเนื้อจ้องมองก็กลับมาอีกครั้งจนผมต้องรีบเหล่ตามองอย่างรวดเร็ว

ดวงตาคมกริบที่คมจนจะทิ่มผมตายได้ บัดนี้มันหรี่ลงจนคมขนาดรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจ่อคอหอย ด้วยความคมของมันในตอนนี้คงคมพอที่จะทิ่มคนทั้งงานตายตาที่ได้ แถมเปลวไฟแห่งความไม่พอใจในตามันก็ลุกโชติรุนแรงขนาดทำเอาปราสาททั้งหลังนี้ไหม้หายไปได้ในพริบตา

นั่นมันปีศาจฆาตกรที่ไหนกัน!?

รังสีสีดำแห่งความเกลียดชังที่แผ่ออกมาราวกับเขื่อนแตก ตอนนี้มันแผ่ขยายออกมาเหมือนกับแบล็คโฮลอันไร้ที่สิ้นสุด

นี่ผมไปทำอะไรให้อาเฮียไม่พอใจไม่ทราบครับ! ขอร้องล่ะ เฮียอย่าจ้องผมแบบนี้เลย ผมกลัว กลัวจนขามันสั่นขยับไม่ได้แล้วเนี่ย

“โอ้ ดูนั่นสิ องค์ชายท่านคาร์ลท่านจ้องท่านนักบุญไม่วางตาเลยนะท่านเห็นไหม ตาของพระองค์เป็นประกายเชียว สงสัยเพราะความงามอันมากล้นของท่านนักบุญเป็นแน่”

ไม่ทราบว่าพวกคุณพี่ใช้ส่วนไหนของร่างกายถึงเห็นว่าเฮียแกจ้องผมตาเป็นประกายไม่ทราบ ไม่ว่าจะตะแคงดูยังไง แววตาของเฮียแกมันมีแต่แรงอาฆาตที่เผาจนร่างจะติดไฟอยู่แล้ว

“โอ้ นั่นไง สงสัยความงามของท่านนักบุญจะมากเกินทน ดูนั่นสิ พระองค์กำดาบแน่นเชียว ดูท่าอยากจะยื่นดาบให้ท่านนักบุญอยู่เต็มแก่แล้ว”

ยื่นดาบให้? ถ้าจำไม่ผิดนั่นคงหมายถึงขอเป็นอัศวินของคนๆ นั้นไม่ก็แต่งงาน….

ขอโทษเถอะ บางทีผมอาจจะพูดผิดไป ร้านแว่นคงไม่จำเป็นสำหรับพวกนายแล้วล่ะ จ้างหมอมาเปลี่ยนสมองเลยน่าจะง่ายกว่า ไม่ทราบว่าไอ้อาการกำดาบแน่นจนแทบจิกเล็บเลือดออกแบบนั้น ประกอบกับตาที่เต็มไปด้วยไฟแบบนั้น มันดูเป็นอาการของคนที่อยากคุกเข่ายื่นดาบขอแต่งงานให้ตรงไหนไม่ทราบ นี่มันยื่นดาบกะเสียบไส้แตกชัดๆ!

ตอนนี้ท่านองค์ชายอันดับหนึ่งผู้แสนเก่งกาจและเป็นที่รักของทุกคนกลายเป็นปีศาจร้ายที่พร้อมกะซวกไส้ผมได้ตลอดเวลาไปเสียแล้ว

นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!?

ไอ้ประโยคเมื่อกี้ที่ผมพูดก็มีแต่คำพูดบ้าๆ บอๆ ที่ไม่น่าทำให้ใครรู้สึกอะไรนอกจากเอือมระอาไม่ใช่เหรอ? แล้วไหงจู่ๆ รังสีทมิฬนี่มันถึงพุ่งทะลุขีดจักรวาลไปได้เล่า

ฮือออ ใครก็ได้ปล่อยผมไปที ขืนอยู่แบบนี้ต่อไป ร่างของผมมันจะพรุนจนไม่เหลือรูให้พรุนแล้วนะ ดูสิ ตอนนี้รอบตัวเฮียแกมีของโปรยปรายเหมือนผมเลยล่ะ ต่างกันแค่ของผมมันเป็นดอกไม้สีขาวงดงาม แต่ของเฮียแกมันดันเป็นอักษรคำว่า ตายๆ โปรยปรายอยู่เต็มฉากเลย

จบงานนี้ไป ผมจะโดนแกเอาดาบมาเสียบตายคากำแพงไหมเนี่ย…..? อยากกลับ อยากกลับไปที่บ้านแล้ว ท่านสังฆราช ไรน์….ท่านพ่อ ใครก็ได้ ช่วยเอาผมออกไปจากที่บ้าๆ นี่ที

และตลอดทั้งชั่วโมงของงานต้อนรับที่เต็มไปด้วยรังสีอาฆาตก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้า โดยผมก็ได้แต่อธิษฐานขอให้ตัวเองรอดปลอดภัยกลับบ้านไปครบสามสิบสอง

……ฮือออ จะไม่แอบหลับระหว่างสวดภาวนาอีกแล้ว

 

————————————————————————————————-

เปิดตัวละครใหม่สุดแสนจะน่ารักและทรงเสน่ห์ ชะตากรรมของออโรร่าจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามได้ตอนต่อไปจ้า