ตอนที่ 24 การหาเรื่องที่ไม่มีเหตุผล

โชคดีที่ความวุ่นวายที่จางปาเหลี่ยงก่อขึ้นไม่นานก็สงบลง บรรดาชาวบ้านเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ก็เข้ามาต่อแถวซื้อของต่อ นอกจากนี้ เมื่อพวกจางปาเหลี่ยงพาลูกน้องไปช่วยเรียกลูกค้ามา ก็ทำให้เงินที่ได้จากการขายเจียนปิ่งกั่วจือในวันนี้เพิ่มเป็นสองเท่าจากเมื่อวาน

จี้จือฮวนขายหมดก็เตรียมจะเก็บร้าน จางปาเหลี่ยงเห็นดังนั้นก็คิดที่จะหนี แต่จี้จือฮวนกลับกระแอมขึ้นมาเสียก่อน เขาจึงได้แต่เดินคอตกกลับมา

“ข้าเรียกลูกค้าให้แล้ว ยังไปไม่ได้อีกหรือ?” จางปาเหลี่ยงรู้สึกอัดอั้นตันใจยิ่งนัก เขาปวดขา ปวดหัว ปวดคอ อยากไปหาหมอจะแย่อยู่แล้ว!

จี้จือฮวนบอกให้อาอินเก็บเงินให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปหาพวกเขาและถามออกมา “เถ้าแก่ฉือจ้างพวกเจ้าให้มาไล่ข้าเท่าไร”

จางปาเหลี่ยงนิ่งไป “ห้าตำลึง หลังจากทำงานสำเร็จแล้ว จะให้เพิ่มอีกห้าตำลึง”

เขาเป็นอันธพาลที่ดีที่สุดในตำบล จึงคุ้มค่าที่จะจ่ายในราคานี้

จี้จือฮวนยื่นมือออกไป “เอามา”

“อะไร เจ้าจะปล้นกันหรือ?”

“เจ้าทำงานแต่ไม่สำเร็จมีสิทธิ์รับเงินด้วยอย่างนั้นหรือ จะให้ไม่ให้?” จี้จือฮวนกระดิกนิ้วอย่างหมดความอดทน

จางปาเหลี่ยงสู้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงเอาให้เงินนางไปด้วยความโมโห “เช่นนั้นตอนนี้ข้าไปได้แล้วใช่หรือไม่?”

จี้จือฮวนเก็บเงิน ก่อนจะทำเสียงจิ๊จ๊ะออกมา “เถ้าแก่ฉือผู้นี้ทำให้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บ พวกเจ้าจะปล่อยเขาไปแบบนี้หรือ?”

จางปาเหลี่ยงไม่เคยเห็นสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่เจ้าเป็นคนทำให้พวกเราบาดเจ็บเองแท้ ๆ

“เจ้าไปบอกเถ้าแก่ฉือว่าไล่ข้าออกไปแล้ว ให้เขาจ่ายเงินที่เหลือให้เจ้า รวมถึงค่ารักษาของพวกเจ้าด้วย”

“เจ้าจะไม่กลับมาจริง ๆ หรือ?” จางปาเหลี่ยงไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด

“ข้าต้องกลับมาอยู่แล้ว แต่ข้าจะเอาเงินด้วย ดังนั้นอีกห้าตำลึงที่เหลือให้พวกเจ้าเก็บไปสองตำลึงเอาไว้รักษาตัว หากจะไม่ให้ข้าก็ได้ แต่ระวังของสงวนด้านล่างของพวกเจ้าเอาไว้ให้ดี เพราะจะถูกข้าตัดทิ้งไม่วันใดก็วันหนึ่ง” จี้จือฮวนทิ้งคำขู่เอาไว้ ก่อนจะตบลงที่บ่าของจางปาเหลี่ยง “พรุ่งนี้อย่าลืมเอาเงินมาให้ข้าด้วยล่ะ”

“…”

นางเป็นใครกันแน่ นางเป็นใครกัน!!! ทั้ง ๆ ที่ข้าจะมาขูดรีดนาง เหตุใดถึงกลายเป็นว่าข้าถูกนางขูดรีดไปได้!

อาอินไม่รู้ว่าจี้จือฮวนพูดอะไรกับจางปาเหลี่ยง แต่แค่เห็นว่าสีหน้าของจางปาเหลี่ยงนั้นย่ำแย่เป็นอย่างมาก

“เอาไปเก็บให้ดี”

อาอินรับมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะพบว่ามันเป็นเงินถึงห้าตำลึง “เก็บไว้ที่ข้าอย่างนั้นหรือ?”

“อืม ต่อไปเจ้าเป็นคนดูแลเรื่องเงินทั้งหมด”

อาอินตกตะลึง จนกระทั่งตามจี้จือฮวนออกจากตำบลแล้ว นางก็ยังรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองนั้นยังคงร้อนจนเจ็บไปหมด

ทั้ง ๆ ที่นางเคยขโมยเงิน ทว่าจี้จือฮวนก็ยังให้เงินนาง…เมื่อครู่ตอนที่เจอพวกอันธพาลก็ยังดึงนางให้หลบอยู่ด้านหลัง

อาอินกัดฟันอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่จี้จือฮวนที่กำลังเข็นรถอยู่แล้วเอ่ยขึ้นมา “ท่านไม่ต้องเอาเงินทั้งหมดให้ข้าหรอก ข้า…”

จี้จือฮวนรอนางพูดประโยคต่อไปเงียบ ๆ ถนนในชนบทที่พวกนางใช้กลับบ้าน เดิมก็ไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว ดวงอาทิตย์ที่ร้อนระอุลอยอยู่เหนือศีรษะ แต่จู่ ๆ อาอินกลับรู้สึกว่าขอบตาตนเองร้อนผ่าวขึ้นมา

“ข้าขโมยเงินท่านไป ท่านไม่ต้องเอาให้ข้าแล้ว” นางปลดถุงเงินออก และวางลงบนรถเข็น

แผ่นหลังบางและดื้อรั้นของสาวน้อยตั้งตรง แค่ยอมรับออกมาว่านางขโมยเงิน ก็สูบพลังของนางไปจนหมดแล้ว

จี้จือฮวนถอนหายใจออกมา “ข้ารู้ แต่ว่าข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่านั่นเป็นส่วนที่เจ้าควรจะได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็คิดที่จะแบ่งเงินให้กับพวกเจ้าด้วย”

อาอินสั่นสะท้านขึ้นมา นางมองจี้จือฮวนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

จี้จือฮวนไม่ได้ก้มลงมาพูดกับนาง และไม่ได้มีท่าทางเรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง แต่นางกลับย่อตัวลงมามองในระดับเดียวกัน “เมื่อก่อนข้าทำไม่ดีกับพวกเจ้า การที่เจ้าไม่เชื่อข้าก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรต้องละอายแก่ใจ เจ้ากล้าสารภาพกับข้า ข้าเองก็ต้องขอโทษแทนตัวข้าในเมื่อก่อนด้วย”

อาอินคิดไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ออกมา “ท่านไม่โทษข้าหรือ ก่อนหน้านี้ข้ายังเอาท่านไปขายด้วยนะ”

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อีก แต่การที่เจ้ายอมสารภาพกับข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว” จี้จือฮวนลุกขึ้นยืน นางเข้าใจความดื้อรั้นและหยิ่งในศักดิ์ศรีของสาวน้อยดี

“ไปเถอะ กลับบ้านกัน”

อาอินมองนางนิ่ง ๆ จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินตามไป ครั้งนี้ คนหนึ่งไม่ได้เดินนำข้างหน้าอีกคนเดินตามหลังอีกแล้ว แต่กลับเดินเคียงข้างกันไป

“เมื่อครู่ข้าเรียกเช่นนั้นจริง ๆ” ผ่านไปเนิ่นนาน ก็ได้ยินนางสารภาพออกมาอีกว่าได้เรียกท่านแม่จริง ๆ

ช่างเป็นตัวน้อยที่หยิ่งทะนงจริง ๆ มุมปากของจี้จือฮวนโค้งขึ้นเล็กน้อย “ข้ารู้”

ครั้งนี้แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก แต่บรรยากาศกลับดีกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า

เพิ่งจะเข้ามาในหมู่บ้านก็เห็นว่ามีคนมุ่งหน้าไปศาลบรรพชนด้วยความรีบร้อน เมื่อพวกเขาเหลือบเห็นจี้จือฮวนสองแม่ลูก ก็ตะโกนขึ้นมา “นี่ บ้านพวกเจ้าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าจะไล่พวกเจ้าออกไป!”

อาอินขมวดคิ้ว “เหตุใดต้องไล่พวกเราด้วย?”

“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าก็ได้ยินคนเขาพูดมาอีกที”

จี้จือฮวนและอาอินสบตากัน ก่อนจะรีบเข็นรถไปทางศาลบรรพชน เพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของอาชิง และมีเสียงท่านป้าหยางคอยปกป้องอยู่

ชาวบ้านที่เหลือเมื่อเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง บ้างก็นั่งยอง ๆ บ้างก็ยืน รอคอยดูเรื่องสนุกตรงหน้า

เผยจี้ฉือปกป้องอาชิงที่อยู่ในอ้อมกอด ขณะจ้องหวังกุ้ยฟางตรงหน้าเขม็งราวกับลูกหมาป่าก็มิปาน แม้ร่างกายจะผอมแห้ง แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะถอยแม้แต่นิดเดียว ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ “ข้าบอกแล้วว่า พวกเราไม่ได้ขโมยของของพวกเจ้า”

หวังกุ้ยฟางยืนเท้าเอว “ฟังดูสิ ทุกคนฟังดู ครอบครัวพวกเจ้าไม่ได้ขโมยของ เช่นนั้นไก่ของบ้านเฉินซานจะหายไปได้อย่างไร แป้งกับข้าวสารในบ้านของพวกเจ้านั่นล่ะ เอามาจากที่ใดกัน?”

ท่านป้าหยางโมโหเป็ยอย่างมาก “หวังกุ้ยฟาง เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ข้าบอกแล้วว่านั่นเป็นเงินที่สะใภ้ตระกูลเผยไปขายของกินที่ตำบล เจ้าใส่ร้ายเด็กสองคนเจ้าไม่ละอายแก่ใจบ้างเลยหรืออย่างไร!”

“ข้าต้องละอายใจด้วยอย่างนั้นหรือ ละอายใจเรื่องอะไรกัน ท่านต่างหากที่เอาแต่ปกป้องหัวขโมย มีแผนการอะไรกันแน่ วันนี้บ้านหลังนี้ไก่หายไป หากพรุ่งนี้มีแกะหายไป ท่านกล้ารับผิดชอบหรือไม่!” หวังกุ้ยฟางอาศัยที่ลูกตนเองเป็นถงเซิง จึงโอ้อวดว่าตนเองสูงส่งกว่าคนอื่น ดังนั้นนางจึงไม่กลัวท่านป้าหยาง

นางยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีเหตุผล มือก็ยกกระบองขึ้นและเอ่ยออกมา “ไอ้เด็กเหลือขอ ยังไม่พูดออกมาอีกว่าเจ้าขโมยของไปทั้งหมดเท่าไร ไม่อย่างนั้นข้าจะตีเจ้าให้ตายเลยคอยดู!”

หวังกุ้ยฟางรู้สึกว่าตัวเองเก่งที่สุด และยังมีจางชุ่ยเฟิงเข้ามาร่วมด้วย “ก็ใช่น่ะสิ คนแบบนี้ควรรีบไล่ออกไปถึงจะถูก”

เมื่อมีคนสนับสนุน เช่นนั้นตนเองก็ทำถูกแล้ว หวังกุ้ยฟางพูดไปและกำลังจะดึงอาชิงมาทุบตี

“ปล่อยมือสกปรกของเจ้าซะ” จี้จือฮวนผลักคนที่มามุงดูออก พลางเอ่ยเสียงเย็น

จางชุ่ยเฟิงพอเห็นว่าเป็นนางก็ตกใจจนรีบหลบเข้าไปในกลุ่มคน นางเคยเจอความร้ายกาจของจี้จือฮวนมาแล้ว จึงไม่กล้าเข้าไปยุ่งอีก

หวังกุ้ยฟางกำลังรอจี้จือฮวนอยู่ พอเห็นว่าในที่สุดนางกลับมาแล้ว ก็แค่นหัวเราะเสียแหลม “โอ้โห ข้าก็คิดว่าใคร ทำไม ไปขโมยของที่ไหนมาอีกอย่างนั้นหรือ ให้ข้าดูของที่ขโมยมา…โอ๊ย!”

หวังกุ้ยฟางยังพูดด้วยสีหน้าได้ใจไม่ทันจบ จี้จือฮวนก็จิกเข้าที่ผมของนางและกระชากอย่างแรงสองครั้ง ราวกับลากสุนัขตัวหนึ่งก็มิปาน จากนั้นก็แย่งกระบองของหวังกุ้ยฟางมาและทุบเข้าที่ท้องของนางแทน

พูดถึงเรื่องทำร้ายคน จี้จือฮวนรู้ดีที่สุดว่าตรงไหนจะเจ็บปวดที่สุด และอันตรายที่สุด

หวังกุ้ยฟางคิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะกล้าทำเช่นนี้ ทำให้อาหารที่กินไปตอนเช้าและยังย่อยไม่หมดถูกนางอาเจียนออกมาจนหมด เจ็บจนเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง

อาชิงเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมกอดของเผยจี้ฉือ เด็กน้อยร้องไห้จนตัวสั่นเทา ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาจี้จือฮวนด้วยความเสียใจ และกอดจี้จือฮวนเอาไว้แน่น “ท่านแม่ อาชิงไม่ได้ขโมยของ อาชิงไม่ได้ทำจริง ๆ อย่าให้พวกเขาไล่พวกเราออกไปนะขอรับ!”

ลำบากมาตั้งเท่าไรกว่าจะมีข้าวกิน มีผ้าห่มที่อบอุ่น อาชิงไม่อยากจากไปจริง ๆ