บทที่ 29 – ผู้กล้าเอริเนีย

 

แน่นอนว่าเมื่อทุกอย่างจบสิ้นลงแล้วที่เหลือก็แค่ทำให้ทุกอย่างกลับมาดำเนินต่ออย่างที่ควรจะเป็น ถ้าไม่มีไอ้สมองนั้นบางทีทุกอย่างคงไม่เละเทะขนาดนี้หรอก

แน่นอนว่าเมืองมองไปยังเมืองตอนนี้ทุกอย่างก็พังทลายหนักยิ่งกว่าใต้ดินในชั้นหนึ่งด้วยซ้ำเหนือสิ่งอื่นใดหลุมบ่อที่เกิดจากการยิงพลังของตัวเธอเองก็แทบจะทำให้ทุกอย่างวินาศสันตะโรอยู่แล้ว

ทว่ามิวไม่ได้สังเกตสิ่งนั้นเลย เธอตอนนี้กำลังลิ้มรสถึงความรู้สึกประหลาดอยู่กับตัวเองต่างหาก

มิวในตอนนี้กำลังตัวสั่นด้วยความรู้สึกประหลาด.. ความรู้สึกก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ได้คิดมาก่อน เพราะว่าในตอนนั้นมันยุ่งอยู่จนไม่มีเวลาให้คิด

ตลอดตั้งแต่เธอมีชีวิตรวมถึงชาติก่อน.. ทุกอย่างในชีวิตของเธอตั้งแต่เด็กจนโตมันก็ยังเป็นชีวิตที่ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้

ความรู้สึกแบบนี้มิวสัมผัสได้ครั้งแรกจากคมดาบของผู้กล้าเอริเนีย.. และนี่เป็นเพียงครั้งที่สอง

มันรู้สึกราวกับว่าความตาย หรือความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ไขมาเยือนเธอแล้ว หากเอริเนียเด็กน้อยนั่นตายคนที่เสียใจมากกว่าใครอาจจะเป็นมิวที่เป็นคนขี้สงสารคนอื่นมาแต่แรก

หากรินนะตายมิวก็คงจะรู้สึกแย่เพราะตนเองเป็นคนพาเธอขึ้นมายังชั้นนี้แทนที่จะส่งเธอออกไป

ความกดดัน.. ความรู้สึกที่ไม่อาจแก้ไขได้จึงต้องทุ่มสุดตัวเพื่อแก้ไข..

ร่างกายมิวเหมือนกับตอบสนองต่อความรู้สึกนั้น.. ยิ่งดวงตาที่มองมาที่เธอแบบกะทันหันนั้น.. ราวกับสามารถทำให้เธอตกอยู่ในที่นั่งลำบาก—

“นายท่าน…?”

ทว่าในตอนนั้นเองเสียงของผู้กล้าเอริเนียก็ดังสะท้อนขึ้นด้านหลังมิวปลุกเธอขึ้นมาจากภวังค์ประหลาด

“หะ… หืออะไรเหรอ?”

“…เปล่า ข้าแค่เอาสิ่งนี้มาให้”

ในมือของผู้กล้าเอริเนียถือดาบดำยาวเล่มหนึ่งอยู่เธอยื่นมันให้กับมิวทั้งแบบนั้น.. แม้จะมีสีดำยาวเหมือนเดิม แต่ก็เห็นชัดว่าดาบมันเล็กลง

แถมไม่มีความรู้สึกอัปมงคลเหมือนตอนแรกอยู่แล้วด้วย ทว่าดาบเล่มนี้ยังมีความรู้สึกประหลาดนี้ราวกับมันเองก็จ้องมองมิวเมื่อจ้องมองมัน

“เจ้านี่มัน…”

“ต้นกำเนิดมหาคำสาปที่ยิ่งใหญ่ ‘ดาบมารกรีมัวร์’ นั่นแหละคือชื่อที่แท้จริงของมัน”

“หือ หมายความว่าไง..”

มิวขมวดคิ้วแล้วรับดาบมาก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนพื้นกลับไปยังบ้านเจ้าทราฟในขณะที่รินนะเองก็อธิบายอย่างเป็นระบบ

“เดิมทีดาบเล่มนี้ที่เคยปะทะกับท่านคือดาบที่เติบโตเป็นคำสาปที่ยิ่งใหญ่ไปแล้ว แรกเริ่มมันคือดาบในตำนานที่มีอยู่แค่เล่มเดียว”

“แต่มันถูกสร้างซ้ำโดยใช้ความสามารถจองใครบางคนทำให้มี 5 เล่ม และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นมหาคำสาปทั้ง 5”

“คำสาปแห่งความคลุ้มคลั่ง คำสาปแห่งจิตใจ คำสาปแห่งการทำลายล้าง คำสาปแห่งการสาปแช่งและคำสาปที่ไม่อาจไถ่ถอน”

“พลังนั้นถูกเติมแต่งขึ้นมาด้วยใครนั้นไม่มีใครรู้ แต่ทุกคนรู้ดีว่าดาบทั้งห้าเล่มนั้นสามารถสังหารได้ทุกสิ่งทุกอย่าง”

มิวที่ฟังอยู่ก็ขมวดคิ้วก่อนจะถามขึ้น

“ถ้าเทียบกับดาบมหาเผ่าพันธุ์ในมือเธออันไหนแข็งแกร่งกว่า?”

“ถ้าเป็นดาบตอนที่ข้ายังมีชีวิต ดาบทั้งห้าเพียงแค่เล่มเดียวก็สามารถทำลายดาบมหาเผ่าพันธุ์ได้ค่ะ”

“ห้ะ.. เดี๋ยวสิ อย่างน้อยดาบมหาเผ่าพันธุ์ต้องดูแข็งแกร่งกว่านี้สิ.. ก็เล่นฟันมังกรจนตายโหงในดาบเดียวไปตั้งหลายตัว แล้วไหงดูอ่อนจัง … อีกอย่างถึงฉันพูดมันจะดูยังไงอยู่ก็เถอะ แต่ถ้ามีดาบที่ทรงพลังขนาดนั้นอยู่แล้วทำไมถึงไม่ใช้ดาบนั้นล่ะ?”

“ข้าค่อนข้างมั่นใจว่านายท่านของข้ากำลังเข้าใจผิด.. เดิมทีดาบเล่มนี้เป็นดาบ ‘จากอีกโลก’ ที่ไม่ใช่ดาบในโลกของเรา ข้าคงไม่สามารถไปเอาดาบจากอีกโลกได้หรอก”

“ห้ะ..?”

มิวถึงกับสับสนแทบจะทันที หรือว่าเธอมาอีกโลกระหว่างถูกผนึกอยู่อีกรอบจริงๆ ไม่สิ แรกเริ่มเดิมทีแล้วไอ้ดาบนี่มาอยู่ในหอคอยได้ไง

อย่างน้อยในโลกนี้ก็ไม่น่าจะมีคอนเซปท์แฟนตาซีแบบนั้นก่อนปี 2025 ด้วย.. แล้วดาบเล่มนั้นไปไงมาไงถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย

เอาก่อนอื่นเลยนะ แล้วทำไมเด็กที่ตายไปตั้งแต่ตอนนู้นถึงรู้เรื่องข้อมูลจากอีกโลกได้ ตอนแรกมิวคิดว่ามันเป็นดาบที่มีอยู่ในโลก

เพราะตัวของเอริเนียอาจจะเคยอ่านเจอมาก่อน แต่ถ้าไม่ใช่ งั้นคำถามที่ใหญ่ที่สุดคือทำไมเธอถึงรู้

พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว.. คำถามอีกก็คือทำไมเอริเนียถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เอาเข้าจริงมิวก็คิดว่าเอริเนียสาวน้อยคนนั้นคือเอริเนียที่มาเกิดใหม่ด้วยซ้ำ

ถึงแม้เธอจะไม่พูดออกมา แต่โลกแฟนตาซีแบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ มิวไม้ปฏิเสธว่าเป็นแบบนั้นทีเดียว แต่ถ้าเอริเนียอยู่ตรงนี้

เอริเนียตัวน้อยก็เป็นแค่คนชื่อเหมือนเฉยๆ น่ะสิ.. คำถามที่ไม่มีเวลาได้ถามผุดขึ้นมาเต็มหัวทิวจนไม่รู้จะเริ่มถามจากอะไรดี

“นายท่าน.. เอาเป็นว่าข้าจะอธิบายไปทีละอย่างนะ”

แน่นอนว่าเอริเนียเองก็พอจะเดาสิ่งที่มิวคิดอยู่เหมือนกันเธอจึงเสนอแบบนั้น

“อะ.. อืม”

“เอาเป็นเรื่องของดาบก่อนนะคะ”

เธอพูดแบบนั้นพร้อมกับอธิบายเรื่องราวของดาบกรีมัวร์.. สรุปโดยง่ายคือในอดีตมีคนทำโคบนดาบมารกรีมัวร์ขึ้นมาและเพาะเลี้ยงมันจนโตเป็นคำสาปทั้งห้า

ซึ่งเคยกล่าวไปเบื้องต้น.. คำสาปทั้งห้านั้นทรงพลังขึ้นด้วยการเกื้อหนุนกันและกันเอง ตอนที่มิวสู้ที่พวกมันถูกคุมจิตใจ

หรือแม้แต่ถูกโจมตีจิตใจก็เกิดจากพลังของดาบคำสาปทั้งห้าที่ช่วยเกื้อหนุนให้กับศัตรู พวกรินนะก็ถูกควบคุมจิตใจจากดาบ

ดาบมารกรีมัวร์ ก็ตามชื่อ.. ดาบเล่มนี้ไม่มีคนทราบแน่ชัดว่าเกิดขึ้นมาจากไหนหรือเมื่อไหร่แต่ว่ากันว่ามันถูกหลอมขึ้นมาจากหนังสือกรีมัวร์ปีศาจนับไม่ถ้วนความสามารถของมันคือตอบสนองต่ออารมณ์ด้านลบของผู้ใช้

และเติบโตขึ้นไปเป็นบางอย่าง.. บ้างก็ว่าสามารถเป็นคำสาป บ้างก็ว่าสามารถเป็นปีศาจ บ้างก็ว่าไม่เป็นอะไรเลย

เพราะไม่มีใครเคยพิสูจน์นอกจากทำให้มันโตเป็นคำสาปอย่างที่เคยกล่าวไปว่ามีคนทำแบบนั้นนั่นแหละ

ดาบเล่มนี้จะผูกพันธะกับผู้ใช้โดยตรงถ้าไม่ฆ่าผู้ใช้ก่อนก็ไม่มีใครสามารถครอบครองมันได้ ต้องฆ่าแล้วดาบค่อยจะหวนคืนสู่ดาบมารกรีมัวร์แทนที่จะเป็นดาบคำสาปนั่นเอง

“หือ.. งั้นแสดงว่าเจ้าสมองนั่นตายแล้วเหรอเราถึงได้ดาบเล่มนี้มา?”

“เป็นไปได้.. แต่ว่าก็มีทางเป็นไปได้ว่าที่สิ่งที่นายท่านเรียกออกมาจะตัดการเชื่อมต่อออกโดยตรง”

“หือ เธอบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดการเชื่อมต่อถ้าผู้ใช้ไม่ตายนี่น่า?”

“ก็สิ่งที่ท่านเรียกออกมานั่นมันใช้ตรรกะคนทั่วไปวัดได้ที่ไหนล่ะ..”

“อุ้ย.. เธอดูปากคอเราะรายจัง..”

มิวถึงกับสะดุ้งกับท่าทางของอักฝ่าย ถึงจะเรียกเธอว่านายท่านแต่ท่าทางดูไม่ค่อยนับถือเท่าไหร่เลย แน่นอนว่าคนที่ทำให้ตัวเองตายเธอก็คงไม่มีจิตใจดีด้วยหรอก

เอาจริงเธอควรเกลียดมิวเหมือนที่เคยเป็นมนุษย์อยู่ด้วยซ้ำ.. เอริเนียไม่ได้ตอบเธอเพียงแค่พูดต่อว่า

“สรุปแบบง่ายๆ เอาที่เข้าใจทันทีคือ ดาบนี้สูญเสียความสามารถดั้งเดิมไปแล้วเป็นดาบเก่าไม่มีเจ้าของ และตอนนี้มันก็เป็นของนายท่านไปแล้วนั่นเองค่ะ”

ว่าแล้วเธอก็จุดผลุด้วยดาบในมือแสดงความยินดี ด้วยสีหน้าที่ตายด้าน

“…. ถึงจะฉลองด้วยสีหน้าที่จริงจังขนาดนั้นก็เถอะนะ.. อีกอย่างฉันเองก็ใช้ดาบไม่เป็นด้วย”

“อะไรกัน กังวลเรื่องนั้นเหรอคะ ที่จริงแล้ว.. ข้าเองก็ใช้ไม่เป็นหรอกค่ะ แค่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเท่านั้นแหละ”

“….ไม่สิ ผู้กล้าถือดาบพิชิตมังกรมาพูดแบบนั้นมันไม่ดูทำให้ความขลังของความเป็นผู้กล้าลดลงเหรอ อีกอย่างนะ คาแร็คเตอร์เธอจะเปลี่ยนเยอะไปไหมเนี่ย!”

“ก็ดีกว่าผู้กล้าในยุคนี้ที่ค่าสติปัญญาโดนบั่นทอนไม่ใช่เหรอคะ?”

“ไม่สิ นั่นมันในนิยายนี่น่า คนเขียนส่วนใหญ่ก็ต้องเขียนให้ตัวร้ายดูโง่เพื่อให้คนอ่านเกลียดนั่นแหละ มันเขียนง่ายคนเลยทำกันเยอะไง”

“นายท่าน.. ที่พูดออกมามันดูแรงกว่าคำแซวนิยายยุคนี้ของฉันอีกนะคะ”

“… เธอมันอะไรวะเนี่ย จากผู้กล้าอัพเกรดเป็นตัวยิงมุกหน้าตายไปได้ไงวะเนี่ย เหลือจะเชื่อ!”

 

…….