บทที่ 28 – ทอดพระเนตร

 

“นี่เธอ…?”

มิวมองผู้กล้าเอริเนียด้วยความสับสนก่อนที่จะหันไปมอง เอริเนียอีกคนที่นอนสลบอยู่บนพื้นด้วยความสับสนเล็กน้อย

“ข้างหลัง”

ทว่าก่อนที่ทันจะได้พูดอะไรต่อ ผู้กล้าเอริเนียก็พูดขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปด้านหลังมิวซึ่งในตอนนี้ได้มีเงาเลือนรางของบางสิ่งบางอย่าง

แน่นอนว่ามิวเองก็ไม่ได้สัมผัสถึงทันที เพราะในชั่วพริบตาที่ผู้กล้าเอริเนียชี้นิ้วไป วัตถุสีดำขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ

ปฏิกิริยาตอบสนองของมิวตอบสนองพร้อมสัญชาตญาณ.. ไม้ที่คล้ายไม้กายสิทธิ์ในมือที่แตกสลายไปก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

พร้อมกับหวดเข้ากับวัตถุสีดำปริศนา พร้อมกับปลายไม้ก็เปล่งแสงว้าบขึ้นส่งผลให้วัตถุสีดำที่พุ่งเข้ามากระเด็นกลับไป

ใช่แล้ว.. แม้แต่ระดับบอสที่ปะทะกับพละกำลังของมิวยังถูกทำลายโดยง่าย แต่วัตถุสีดำนี้กลับไม่ถูกทำลายแต่เป็นถูกกระเด็นกลับไปแทนต่างหาก

สายตาของมิวค่อยๆ จ้องไปที่ตรงกันข้ามซึ่งความจริงน่าจะถูกลมหายใจมังกรลบหายไปจนหมดแล้วแต่ทว่าตอนนี้…

ไอ้สมองขนาดยักษ์ลึกลับนั่นกลับไม่ถูกลบให้หายออกไปเสียอย่างนั้น.. ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าไม่ถูกลบให้หายไปด้วยพลัง

ต้องบอกว่ามันไม่สามารถลบได้อยู่แล้ว.. เนื่องจากการดำรงอยู่ของมันพร่าเลือน เมื่อมองไปในยามนี้มิวมองเห็นมันเป็นเหมือนแค่ภาพฉาย

เพราะถูกลมหายใจมังกรเธอไปเลยทำให้มันพร่าเลือนลงเหมือนกับภาพโฮโลแกรม แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังคงอยู่ตรงนั้นราวกับมีตัวตนอยู่จริง

ความรู้สึกประหลาดในอกมิวยิ่งรุนแรงกว่าเดิมเมื่อจ้องไปที่มัน ราวกับมันเองก็จ้องมาที่เธอเช่นเดียวกัน

เรื่องของผู้กล้าเอริเนียในตอนนี้ แม้แต่มิวเองก็สงสัยขีดสุด แต่เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เวลาจะมาพูดถึงตอนนี้

เพราะหากเจ้าสมองบ้านี่ยังอยู่.. เควสของมิวก็ไม่สามารถเสร็จได้ กล่าวคือตอนนี้มิวต้องจัดการไอ้ตัวประหลาดบ้านี่ก่อน

“ช่างเรื่องของเธอไว้ก่อน ฝากดูแลคนพวกนี้ด้วย”

“รับทราบแล้วค่ะ”

แม้ในหัวจะมีคำถามมากมายแต่มิวก็ต้องของสะสางเรื่องที่ทำค้างไว้จากก่อนหน้านี้ก่อน มิวเดินออกไปนอกบ้านพร้อมกับเงยหน้าขึ้น

ตอนนี้ศัตรูทั้งหมดถูกลบออกไปแล้ว เหลือเพียงเจ้าสมองยักษ์ที่ลอยอยู่ตรงนั้น นอกจากนี้รอบตัวยังมีวัตถุสีดำที่หมุนไปมาอยู่สี่ห้าอัน

ถ้าเพ่งมองด้วยสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งกว่านี้ ก็คงจะมองเห็นว่ามันคือดาบสีดำห้าเล่มที่มีลวดลายที่แตกต่างกันออกไป

ดาบแต่ละเล่มมิวสัมผัสได้ถึงความเป็นลางร้ายจากมันอย่างชัดเจน.. นั่นสินะถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกก็คงเป็นเหมือนกับ ‘คำสาป’ นั่นแหละนะ

“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าแกเป็นตัวอะไร.. แต่ตั้งแต่ที่แกโผล่มาก็เหมือนจะจ้องมาที่ฉันคนเดียวเลยสินะ อยากรู้จังว่าแกจะพูดได้หรือเปล่า”

มิวพูดขึ้น.. ก่อนที่จะค่อยๆ ลอยขึ้นตัวบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ หนึ่งในการวิวัฒนาการของมังกรก็คือการลอยตัว

และแน่นอนว่ามิวเองก็ทำได้โดยไม่ต้องใช้ปีกเลยด้วยซ้ำ เมื่อทั้งคู่ลอยอยู่ในระดับเคียงกันความรู้สึกในใจของมิวยิ่งพลุกพล่านกว่าเดิม

“แล้วก็.. การสะกดจิตของแก มันน่ารำคาญสุดๆ ไปเลย”

สิ้นคำพูดของมิวปลายไม้คล้ายไม้กายสิทธิ์ของเธอก็เปล่งแสงว้ายอีกครั้ง และราวกับเป็นจังหวะคมดาบสีดำที่หมุนวนอยู่รอบตัวมันก็พุ่งตรงมาที่มิวพร้อมๆ กัน

แต่แม้จะรวดเร็วยังไงมิวก็ยังคงรวดเร็วกว่าเธอชี้ปลายไม้ไปด้านหน้าก่อนที่คลื่นพลังเทเลคิเนซิสที่ทรงพลังจะขยายออกและพุ่งไปข้างหน้า

เทเลคิเนซิส หรือมือที่มองไม่เห็นเป็นพลังที่โคตรจะพื้นฐานสำหรับสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและพวกนั้นวิวัฒนาการโดยทำให้แขนขาสั้นจับนั่นจับนี่ยาก

หรือไม่ก็ไม่มีแขนแต่แรก.. ดังนั้นการวิวัฒนาการจึงมอบอัตลักษณ์มือที่มองไม่เห็นให้.. แน่นอนว่าแม้จะบอกว่าเป็นมือที่มองไม่เห็นมันก็ไม่ได้แปลว่ามีรูปร่างเหมือนมือแต่อย่างใด

เพราะวินาทีที่มันพุ่งเข้ามาถึงเขตที่มิวตั้งไว้ เทเลคิเนซิสก็จับตรึงพวกมันไว้กลางอากาศอย่างง่ายดาย

หากเป็นดาบปกติคงถูกบดขยี้ภายในชั่วพริบตาไปแล้ว ภายใต้พลังของมิวน่ะนะ ทว่าดาบทั้งห้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น

แต่นั่นก็ไม่สำคัญเพราะว่ามิวไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนั้นแต่แรกอยู่แล้ว กลับกันเธอยิ้มออกมาพร้อมกับพูด

“ออกมา…”

การกลืนกินอัตลักษณ์ในตอนนี้วิธีใช้อัตลักษณ์ที่กลืนกินนั้นไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะว่าอัตลักษณ์นั้นเหมือนจะมีความนึกคิดอยู่ในตัวเลยด้วยซ้ำ

แน่นอนอีกอย่างโดยปกติถ้าเราจะใช้อัตลักษณ์บางอย่างมันก็คือการที่เรารู้ว่าเราต้องทำอะไรเหมือนการขยับแขนขยับขา การกะพริบตาอะไรทำนองนั้น

แต่ไอ้ท่าอัญเชิญอัตลักษณ์นี้.. มิวไม่รู้ว่ามันมีอะไรบ้างที่เธอเคยกลืนกินไปแล้ว อย่างมากก็แค่รู้ว่ามีพลังคล้ายทำนั่นทำนี่ได้

แต่ถ้ารู้แค่นั้น.. มันก็คงไม่ค่อยมีประโยชน์นักเพราะมิวไม่แน่ใจว่าตัวเองมีของที่สามารถเรียกออกมาได้กี่แบบ และเท่าไหร่นั่นเอง

ทว่า.. มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นคือ—

“…เพื่อจัดการกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้า”

บอกสิ่งที่มันต้องทำในตอนที่เรียกมัน.. เหมือนกับตอนที่มิวเรียกกับผู้กล้าเอริเนียมันจะพุ่งพรวดออกมาด้วยความเต็มใจเอง!

สมองดังกล่าวเองก็พลันสัมผัสถึงบางอย่างได้ มันรีบพยายามดึงดาบทั้งห้ากลับคืนแต่ทว่าก็ยังสายเกินไปแล้ว

เพราะ.. วินาทีเดียวกันพื้นดิน ท้องฟ้าต่างสองประกายแสงสีม่วงสว่างจ้าบาดตาไปทั่วพื้นที่ รอยแยกสีม่วงแหวกนภาแหวกอากาศออกเป็นทางยาวเหนือหัว

แรงกดดันมหาศาลพวยพุ่งออกจากช่องว่างของพื้นที่ที่แสงสีม่วงแหวกอากาศออกอย่างย่าหวั่นเกรง

บัดนี้เจ้าสมองยักษ์ที่สัมผัสถึงสิ่งนั้นได้ก็สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของมันราวกับถูกจะลบหายไปอย่างเป็นปริศนา!

ทว่านี่ยังไม่จบเพราะรอยแยกที่แยกออกนั้นลาดยาวไปครอบคลุมทั่วทั้งเมืองเปิดเผยให้เห็นช่องว่างอีกมิติที่แปลกประหลาดตา

แม้จะมืดสนิทแต่กลับมีแสงดาวมากมาย ทว่ามันกลับบิดโค้งราวกับภาพศิลปะลึกลับทีาพิศวง มันดูแปลกตาอย่างยิ่ง

มิวเองก็เงยหน้าขึ้นเหมือนกัน.. ตอนเธอใช้อัตลักษณ์นี้ครั้งแรกเธอก็ยังอัญเชิญมาด้วยความรู้สึกแบบหนึ่งเจ้าคิเมร่าถึงออกมา

และทันทีที่มันออกมาเธอก็พอเข้าใจว่าทำไมมันถึงถูกเรียกออกมา เพราะพลังมันตรงกับความต้องการของมิวพอดี

ครั้งที่สองเธอก็เข้าใจ.. เพราะว่าผู้กล้าเอริเนียคงจะเหมาะแก่การปกป้องมากกว่าสัตว์ประหลาดตัวอื่น

แต่คำถามคือครั้งที่สาม.. เจ้าตัวนี่

เธออัญเชิญมันมาเพื่ออะไร มิวไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งที่สอดคล้องกับความต้องการของตัวเองจากตัวมันได้เลย

ภายใต้อาการตกตะลึงราวกับเวลาถูกแช่แข็งเอาไว้นั้น ที่ที่ควรจะเป็นรอยแยกมิติที่บิดเบี้ยว ไม่สิ ตอนแรกพสกเขาคิดว่ามันเป็นมิติอันหนึ่ง

ก็ขยับขึ้น!มันค่อยๆ เปิดเป็นดวงตาขนาดมหึมาดวงหนึ่งขึ้น มันไม่ใช่ทั้งมิติหรืออะไรไอ้โครงสร้างที่เหมือนมิติบิดเบี้ยวเป็นแค่ร่างกายของบางอย่าง

เมื่อตามันลืมขึ้น.. ดวงตาของมันก็ปกคลุมไปแทบทั้งเมืองแม้จะเพียงแค่ชั่ววู้บเดียวเท่านั้น.. เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นจริงๆ

ดวงตาที่มีม่านตาสีดำสนิท นัยน์ตาเป็นเหมือนท้องดารายามราตรีที่เห็นทางช้างเผือกชัดอยู่ในดวงตาข้างเดียวของสิ่งนั้น.. เพียงแค่มันเปิดเผยสิ่งนี้

รอยแยกที่ถูกสร้างขึ้นก็แตกสลายลง!ความรู้สึกในหัวมิวชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งที่เจอ.. เธอรู้สึกราวกับอัตลักษณ์ในการอัญเชิญสิ่งอื่นเริ่มที่จะ… หายไป!

เหมือนกับว่ามันถูกลบออกจากโลก!

แต่ทว่านั่นก็ยังช้ากว่าดาบทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้าเพราะดาบที่อยู่ตรงหน้ามันแตกสลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตาเดียว

ยังดีที่มีดาบเล่มหนึ่งไม่ถูกลบ แต่ก็ถูกตัดขาดการเชื่อมต่อจากเจ้าสมองยักษ์นั่นไปจนร่วงลงกับพื้น ดวงตาใหญ่โตนั้นก็หลับตาลงแทบจะทันที

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พังทลายถึงหายไปก่อนจะที่รอยแยกสีม่วงจะสลายหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงมิวเท่านั้น มิวที่ยืนอยู่ตรงนั้นยังเกิดความรู้สึกหวาดผวา

หากเจ้านั่นไม่ใช่พลังเธอ.. ไอ้การมองเมื่อกี้ก็ไม่มีสิ่งใดในโลกหลุดพ้นได้ มิวรู้สึกแบบนั้น นอกจากนี้มิวยังรู้สึกว่าสายตานั้นมันก็ทำให้เธอกลัว

นี่ขนาดมันเป็นพลังของเธอเอง เธอยังกลัวมันได้ นี่มันจะแปลกไปหน่อยหรือเปล่า..? แน่นอนว่าถ้าขนาดนี้แล้ว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าสมองยักษ์ประหลาดนั่น.. เพราะเหมือนมันจะหนีไปแล้ว ไม่รู้ว่าหนีไปทันหรือถูกกำจัดก่อนด้วย

ยังไงซะมันก็เป็นแค่การฉายภาพด้วยนี่นะ