ตามไม่ทันเลย
ความเร็วในการเดินของเธอก็ดูเป็นการเดินเนิบๆ นะตอนที่ฉันมองมาจากบนดาดฟ้า แต่นี่ฉันก็วิ่งจนหายใจไม่ทันแล้ว ยังไม่เห็นหลังของคุณโคซากุระด้วยซ้ำ
ดวงอาทิตย์ก็สาดแสงมาจากทางตะวันตก ต้นไม้ในป่าฉายเงาออกมายืดยาวเหมือนกับว่าดวงอาทิตย์มันจะตกลงไปทุกทีๆ แล้ว ถ้าอาทิตย์ลับขอบฟ้า กลางคืนก็จะเข้ามา; ช่วงเวลาของพวกตัวประหลาด
ฉันก็ดันสติหลุดแล้วยิงมาคารอฟของตัวเองไปจนหมดแมก ตอนนี้ ฉันรู้สึกพลาดอย่างแรงเลย ฉันพกกระสุนมาด้วยนะ แต่ฉันไม่ได้คิดเรื่องเอาแมกกาซีนสำรองมา ถ้าเกิดโดนอะไรพุ่งเข้าใส่ขึ้นมา ดูเหมือนว่าฉันจะต้องพึ่งลูกซองกระบอกนี้แล้วล่ะ ปัญหาคือ; นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันจับปืนกระบอกนี้ โทริโกะอาจจะใช้ปืนได้ทุกกระบอกที่เพิ่งหยิบขึ้นมาได้แบบง่ายๆ นะ แต่ฉันเป็นแค่มือใหม่ที่บังเอิญได้ปืนมาอยู่ในมือเท่านั้นเอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปืนลูกซองที่กำลังถืออยู่นี่ใส่เซฟตี้เอาไว้หรือเปล่า
คุณโคซากุระยิงไปกี่นัดแล้วนะ? ฉันพยายามนึกระหว่างที่วิ่งไปด้วย ที่ประตูหน้าบ้านยิงไปนัดนึง คุเนะคุเนะยิงไปอีกสอง แค่นี้มั้ง? แล้วนี่ เธอใส่กระสุนไว้ในนี้กี่นัดล่ะเนี่ย…?
ก่อนที่จะทันได้นึกได้ ฉันก็วิ่งออกมาจนพ้นป่าแล้ว แล้วฉันก็เห็นถนนปูพื้นหินอยู่ตรงหน้า
พื้นยางมะตอยตรงหน้าฉันทั้งแห้งทั้งแตกยังกับพื้นที่ทะเลทรายแบบในเม็กซิโกเลย มีต้นหญ้าวัชพืชงอกขึ้นมาตามรอยแตกด้วย สายไฟฟ้าห้อยต่องแต่งลงมาตามเสาโทรศัพท์เอียงๆ ที่โยกไปมาตามลม บ้านที่เรียงรายอยู่ทั้งซ้ายขวาของถนนก็เงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีสัญญาณของชีวิตเลย ดูแล้ว คำว่า [เมืองร้าง] คงเป็นคำที่เหมาะที่สุดในการบรรยายภาพสุดเปลี่ยวตรงหน้านี่แล้วล่ะ
ก่อนจะเดินเข้าไป ฉันก็เพ่งสมาธิไปที่ตาข้างขวาเพื่อมองหากลิตช์ ทันทีที่ทำแบบนั้น ฉันก็เผลออุทานออกมาเลย
เพราะเมืองที่ย้อมไปด้วยแสงสีแดงของอาทิตย์ตกนี้เนี่ย มันมีแสงสีเงินจางๆ หุ้มไปทั่วทั้งเมืองเลยน่ะสิ
“เป็นกลิตช์… หมดเลยเหรอ?”
ฉันจ้องไปที่เมืองนั่นแบบไม่อยากจะเชื่อ นี่เป็นกับดักเหรอ? ไม่ อาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้ กลิทช์เป็นกับดักเหนือธรรมชาติที่เจอเป็นจุดๆ ทั่วโลกเบื้องหลัง―นั่นคือสิ่งที่ฉันเชื่อนะ เพราะคุณอาบาระโตะบอกกับพวกเราแบบนั้น แต่ฉันเห็นรถไฟที่เราใช้หนีจากสถานีคิซารากิ กับอีกร่างนึงของท่านฮัชชาคุก็มีแสงสีเงินหุ้มอยู่เหมือนกัน กลับกัน ตอนที่พวกเรามาถึงโลกเบื้องหลังจากที่ชินจุกุ ฉันก็เห็นแสงจางๆ อยู่ด้วย แสดงว่า อาจจะเป็นกรณีที่ว่าสิ่งที่ตาของฉันมองเห็นเป็นความผิดปกติในมิติพื้นที่น่ะ
ฉันเก็บก้อนหินเล็กๆ ที่อยู่บนพื้น แล้วก็ปาออกไปบนพื้นยางมะตอย ใช้แทนตัวนอตแบบที่คุณอาบาระโตะใช้น่ะ ก้อนหินนั่นกระทบพื้นเด้งไปด้วยเสียงหนักๆ ก่อนจะหยุดนิ่งไปโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้โดนระเบิด ไม่ได้มีไฟลุกท่วม ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย
ฉันลองใช้กระบอกปืนของลูกซองจิ้มๆ กับพื้นถนน แล้วก็รีบดึงกลับมา ส่วนโลหะไมได้ร้อนขึ้นมาจนผิดปกติ ไม่ได้โดนหลอมด้วย พอฉันเอากิ่งไม้ไปแหย่ใกล้ๆ กับถนน ก็ได้ผลแบบเดียวกัน ไม่ได้มีผลอะไรที่มองเห็นได้เลย
ตามปกติแล้ว ฉันคงไม่มีทางเข้าไปใกล้กว่านี้แน่ แต่ฉันเห็นมันมาจากบนหลังคาตึกน่ะสิ ปอยผมสีทองสวยของโทริโกะน่ะ
ดูเหมือนฉันจะต้องแข็งใจแล้วสิ
ฉันยกเท้าข้างนึงที่สวมรองเท้าปีนเข่าอยู่ขึ้นมา ค่อยๆ เหยียบเข้าไปในเมืองอย่างระมัดระวัง-
“นี่”
“ว้าย!?”
เสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาข้างหลังทำเอาสะดุ้งจนตัวโยนเลย เป็นเสียงแหบต่ำของผู้ชาย―ฉันหันขวับแล้วกดไกปืนไปโดยไม่คิด แต่ก็ไม่มีอะไรออกมา ติดเซฟตี้เหรอ? ฉันคิดแบบนั้นขึ้นมาแล้วก็หน้าซีดเลย นี่ฉันเกือบจะยิงคนตายอยู่แล้วใช่มั้ยเนี่ย!?
ปากกระบอกปืนในมือของฉันชี้ตรงไปที่คุณลุงวัยกลางคนในชุดคนงาน หน้าตา… ไม่รู้เหมือนกันแฮะว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง ฉันบอกได้ว่าเข้าเป็นผู้ชาย อายุในช่วงวัยกลางคน พอฉันเพ่งความสนใจไปเป็นจุดๆ แล้ว ขนตาของเขาหนา บนหน้ายังเหลือตอหนวดตอเคราอยู่… รายละเอียดพวกนั้นเข้ามาในการรับรู้ของฉันนะ แต่ฉันไม่สามารถเห็นภาพรวมของหน้าของเขาในหัวของฉันได้เลย
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าเธอจะกลับไปไม่ได้อีกน่ะ?”
ชายไร้หน้าคนนั้นพูด พร้อมกับเดาะลิ้น
วิธีการพูด ท่าทาง แล้วก็การแต่งตัว มั่นใจเลย ต้องเป็นคุณลุงในห้วงมิติแน่
ฉันใช้นิ้วคลำไปส่วนด้านบนของไกปืน แล้วก็เจอส่วนที่ยื่นออกมาที่ขยับได้ ฉันก็ขยับมันจนรู้สึกถึงจังหวะคลิก ไกปืนที่แข็งจนขยับไม่ได้จนถึงตอนนี้ก็ขยับได้จนเหมือนกับว่ามันถูกปล่อยเป็นอิสระแล้ว นั่นต้องเป็นเซฟตี้แน่นอน
“อย่าขยับ ไม่งั้นฉันยิงแน่”
พอฉันพูดแบบนั้น ชายคนนั้นก็ดูเหมือนจะมองมาที่ฉันอย่างสงสัย คิดว่างั้นนะ
ตอนที่ฉันคุยกับคุณโคซากุระ ฉันสรุปเอาว่าคุณลุงในห้วงมิติอาจจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตก็ได้ แต่ที่จริงอาจจะเป็นบอต ฉันคิดว่าคุณโคซากุระจะใช้คำว่า [ปรากฏการณ์] เพื่อใช้สื่อถึงของอย่างเดียวกันนะ เขาดูเหมือนมนุษย์ แต่ที่จริงแล้วเป็นแค่ชุดอุปกรณ์แสดงบนละครเวทีที่แสดงให้เหมือนมนุษย์ก็เท่านั้นเอง
ถ้างั้น ต่อให้ยิงไป ฉันจะสนทำไมล่ะ? ฉันคิดแบบนั้น แต่ในเวลาเดียวกัน ฉันก็ต้องคิดให้หนักเลยในการลั่นไกใส่อะไรก็ตามที่ดูคล้ายมนุษย์ เพื่อจะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วชายคนนี้เป็นอะไรกันแน่ ฉันก็เพ่งสมาธิไปที่ตาขวาของตัวเอง
ฉันไม่เข้าใจไปแวบนึงเลยว่านี่ฉันกำลังมองอะไรอยู่กันแน่
ไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ใช่แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ยืนด้วย 2 ขาด้วยซ้ำ
มันเป็นพืชต้นโต งอกขึ้นมาจากพื้นดิน ลำต้นสีเขียวของมันงอกตรงออกมาจากพื้นยางมะตอย แตกกิ่งออกตรงกลางลำต้นเป็น 2 ก้าน แล้วแต่ละปลายก็มีผลสีแดงเล็กๆ อยู่ 5 ผลที่เห็นแล้วนึกถึงไข่ปลาแซลมอนเลย ใบรูปร่างเหมือนหัวลูกธนูงอกออกมาจากทั่วก้าน แล้วก็ปลิวไปตามลม
พอฉันเห็นว่ามันเป็นพืช ฉันก็ไม่เห็นมันเป็นมนุษย์อีกเลย ฉันรู้สึกได้เลยว่าฉันอยู่ที่นี่ตัวคนเดียว กลางถนน จ้องมองต้นไม้ต้นสูงอย่างว่างเปล่าพร้อมกับอ้าปากค้าง แล้วฉันก็ปิดปากสนิท ฉันจำไม่ได้เลยนะว่ามีของแบบนี้งอกออกมาตรงนี้ด้วยจนถึงเมื่อกี้นี้น่ะ
“…นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
ฉันเดินถอยมาอย่างสับสน ต้นไม้มันก็แค่งอกอยู่ตรงนั้น ไม่เคลื่อนไหว ไม่พูดจา รู้สึกเหมือนมันมองฉันอยู่นะ น่าขยะแขยงชะมัดเลย ถึงฉันจะกังวลอยู่ว่ามันอาจจะทำร้ายฉันก็ได้ในจังหวะที่ฉันหันหลังให้มัน ฉันหันกลับไปมองที่เมือง แล้วจากนั้น ฉันก็กรี๊ดออกมาเลย
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทั่วบริเวณถึงได้มีต้นไม้งอกขึ้นมาเต็มไปหมดเลย
ตรงกลางเสาประตูรั้วหน้าของบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด มีของที่ดูเหมือนดอกทานตะวันทรงไข่ที่ล้อมรอบไปด้วยสีน้ำเงิน ขาว และทอง แล้วก็มีใบไม้ใบใหญ่ 4 ใบที่ดูเหมือนใบ 8 แฉกของต้นแฟทเซียงอกออกมาจากจุดที่อยู่ใกล้ๆ กับรากของมัน
พอเหลือบมองไปหลังเสาโทรศัพท์ ก็มีพืชสีซีดที่มีใบกางออกเหมือนขาแมงมุม และตรงกลางของลำต้นก็มีส่วนที่บวมออกมาจนดูเหมือนส่วน Insect Gall ที่งอกออกมาอย่างผิดปกติ ตรงปลายของมันแยกกระจายออกเหมือนปลายพู่กันเขียนอักษร แต่ละปลายก็มีก้อนสีเขียวที่ดูคล้ายกับปุยของดอกแดนดิไลออนที่ขยายออกจนใหญ่มหึมา
ไกลออกไปนั่นก็มีต้นไม้ที่มีใบเหมือนกับเฟิร์นงอกออกมาจากกลางลำต้น 3 ใบ แล้วก็มีดอกตูมสีชมพูอ่อน 2 ดอกงอกออกมาด้วย ต้นนี้ดูจะเตี้ยกว่าต้นอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ อยู่นิดหน่อย แต่ก็ยังใหญ่พอๆ กับตัวเด็กประถมปลายเลยนะ กิ่งของมันโน้มลงมาเพราะน้ำหนักของดอกตูม จนดูเหมือนกับว่ามันจ้องตรงมาหาฉันยังไงยังงั้นแหละ
ภาพนี้มันดูยังกับว่าผู้คนจำนวนมากมายถูกแช่แข็งเอาไว้กลางคันในขณะที่พวกเขากำลังทำอะไรซักอย่างอยู่ แล้วก็โดนเปลี่ยนเป็นต้นไม้ไปทั้งๆ ยังงั้นเลย เหมือนเวลาเด็กๆ เล่น A E I O U กันนั่นแหละ… พอฉันหันกลับไปมองข้ามไหล่ของตัวเองไป ต้นไม้ต้นแรกที่ฉันเจอนั่นก็ยังอยู่ที่เดิม ถึงจุดนี้แล้ว ฉันก็ชักจะไม่มั่นใจแล้วสิว่าบทสนทนาที่ฉันคุยกับชายคนนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆ หรือเปล่า
TN: ต้นแฟทเซีย หน้าตาแบบนี้นะครับ
ส่วน Insect Gall มันเป็นส่วนแบบนี้ของต้นไม้น่ะครับ ไม่มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยเลย
ฉันทนความกดดันนี่ไม่ไหวแล้ว ก็เลยเริ่มออกวิ่ง
ฉันพุ่งตรงไปที่ใจกลางเมืองพลางเบี่ยงตัวหลบพวกต้นไม้ไปด้วย แต่ก็ไม่มีอะไรเข้ามาขวางเลย ฉันไม่ถูกอะไรพุ่งเข้ามาใส่เลย ไม่ว่าจะจากใคร หรืออะไรเลยซักอย่าง ดวงอาทิตย์ก็คล้อยลงต่ำเหนือเมืองที่ว่างเปล่านี้ ที่มีแต่ด้วยต้นไม้ขนาดเท่าตัวคนอยู่เต็มไปหมด
“โทริโกะ! คุณโคซากุระ! อยู่ที่ไหนคะ!?”
ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย ฉันวิ่งออกไปตามถนน แม้แต่สวนตามบ้าน ฉันสังเกตเห็นร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้ของผู้ที่เคยอยู่อาศัยอยู่ด้วยระหว่างที่ออกตามหาตัวโทริโกะกับคุณโคซากุระอยู่เต็มไปหมดเลย ประตูที่เปิดอ้าออกและโดนหญ้าฝังกลบ, จักรยาน 3 ล้อสนิมเขรอะที่ถูกทิ้ง, ยางล้อรถเก่าๆ ที่มีน้ำอยู่ข้างในจนเต็มป้ายโปสเตอร์ที่แปะตามกำแพงอิฐคอมกรีตมันจางไปหมดแล้ว พอเหลือเค้าโครงของผู้คนที่อยู่ในนั้นให้เห็นบ้างเท่านั้นเอง
ฉันเดินไปรอบๆ จนสังเกตความผิดปกติได้อีกอย่างนึง คือเมืองนี้มันไม่มีจุดสิ้นสุดซักที จากที่ฉันเห็นจากด้านบน มันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรขนาดนั้นนะ แต่นี่ไม่ว่าฉันจะเดินไปไกลแค่ไหน ฉันก็ไปไม่พ้นจากเมืองนี้ซักที
ฉันวิ่งตัดผ่านลานจอดรถที่มีรั้วผูกโซ่ที่พังไปแล้วกั้นอยู่ แล้วก็กลับมาที่ถนน ดวงอาทิตย์หลบไปอยู่หลังแนวอาคารแล้ว ภาพย้อนแสงของพวกต้นไม้ทิ้งไว้เป็นเค้าโครงของแสง ภาพของมนุษย์มากมายมองตรงมาที่ฉันจากในความมืดก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน จนทำฉันตัวสั่นขึ้นมาเลย
เกิดอะไรขึ้นกับผู้คนที่ครั้งนึงเคยอยู่ที่นี่กันนะ? ต้นไม้พวกนี้… ใช่สิ่งที่เหลืออยู่ของชาวเมืองหรือเปล่า? ไม่ ไม่ใช่ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่ แต่ว่า…
ฉันส่ายหัว ปัดจินตนาการของฉันที่สร้างความไม่สบายใจนั่นออกไปจากหัว แล้วฉันก็สังเกตเห็นอะไรซักอย่างพอดี เพราะอะไรไม่รู้ ฉันถึงรู้สึกว่าต้นไม้ต้นที่อยู่ใกล้ๆ นี่มันดูคุ้นๆ มันคือต้นเตี้ยๆ ที่มีดอกตูมสีชมพูนี่นา ต้นไม้ขนาดเท่าคนทุกต้นที่ฉันเห็นในเมืองนี้มันต่างกันหมดเลย แต่ที่ต้นนี้มันดูเด่นออกมาแปลกๆ ก็เพราะขนาดมันสูงเท่าเด็กเท่านั้นเอง มันก็เลยทำให้ฉันจำได้
สูงเท่าเด็กเหรอ…?
ทันทีที่ฉันรู้สึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็มีเสียงตะโกนอย่างดังอัดเข้าเต็มหูของฉันเลย
“…-จัง! โซราโอะจัง! ก็บอกว่าอยู่ตรงนี้ไง! ฟังกันหน่อยสิยัยบ้า!”
“ค- คุณโคซากุระ!?”
คุณโคซากุระยืนตะโกนอยู่ข้างๆ ฉันเลย พอฉันตอบรับ สายตาของเธอก็เบิกกว้าง ก่อนที่จากนั้น เธอจะเอามือจับเข่า ทิ้งหัวก้มลงเลย
“ฟิ่ว ในที่สุดก็คุยกันรู้เรื่องซักที”
เธอบอกแบบนั้น ไหล่ก็โยกไปตามการหายใจของเธอ ไม่รู้เลยว่าเธอตะโกนมานานขนาดไหน แต่เสียงของเธอก็แหบแห้งเลยตอนนี้
“ผ- โผล่มาจากตรงไหนกันน่ะคะ?”
“ฉันอยู่ตรงนี้ตลอดเลยนั่นแหละ! ฉันเห็นเธอตามฉันมา ฉันก็เลยเรียก แต่เธอก็ไม่หันกลับมามองที่ฉันเลย ก็เลยคิดว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ”
“ขอโทษค่ะ ดูเหมือนฉันจะมองไปที่อย่างอื่นอยู่…”
TN: สำหรับคนที่อ่านมังงะนะครับ นิยายสั้นท้ายเล่ม 4 “บทคั่น ก่อนราตรีจะคล้อยลงมา” จะเป็นเหตุการณ์เดียวกันนี้จากมุมมองของฝั่งโคซากุระตั้งแต่ตอนที่แล้ว ไฟล์ 4 : กาล อวกาศ และชายวัยกลางคน [8] ยาวไปจนถึงตรงนี้เลย
ระหว่างที่พูด ฉันก็มองดูไปรอบๆ ต้นไม้ทุกต้นนอกจากคุณโคซากุระก็หายไปแล้ว ยังกับว่าทุกอย่างมันเป็นความฝันยังงั้นแหละ
“คุณโคซากุระมาที่นี่ทำไมล่ะคะ?”
“ฉัน เออ… รู้สึกเหมือนมีอะไรซักอย่างเรียกฉันน่ะ”
คุณโคซากุระพูดออกมาด้วยน้ำเสียงลังเลไม่มั่นใจ
“ฉันคิดว่าจะจุดไฟในถังใบนั้น ก็เลยออกไปเก็บพวกใบไม้แห้งจากบริเวณรอบๆ มาให้หมด แล้วก็จุดไม้ขีด… ก็ สุดท้ายไฟมันก็ติดขึ้นมาได้ล่ะนะ ฉันก็เลยตัดสินใจว่าจะออกไปหาเชื้อไฟเพิ่ม แล้ว ระหว่างที่เดินไปรอบๆ ตึกนั่น จู่ๆ ฉันก็ได้ยินซัทสึกิเรียกชื่อฉัน”
“คุณซัทสึกิน่ะเหรอคะ?”
“ฉันจำได้ว่า มันเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาเลยที่ ‘ถ้าเกิดเธอเรียก ฉันก็ต้องไปหา’ พอรู้ตัวอีกที ฉันก็มาอยู่กลางเมืองแล้ว แวบนึง ฉันคิดว่าตัวเองออกไปจากที่นี่ได้แล้ว… แต่ไม่นาน ฉันก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ ฉันอยู่ตัวคนเดียว กลางพื้นที่ที่อยู่อาศัยที่ถูกทิ้งร้าง… แถมไม่มีปืนแล้วด้วย ฉันกลัวมาก ตอนที่คิดว่าฉันต้องแย่แล้วแน่ๆ เธอก็มาพอดีเลย โซราโอะจัง โล่งอกมากเลยล่ะ”
คุณโคซากุระต้องรู้สึกเปลี่ยวมากแน่ๆ เพราะเธอพูดต่อไม่หยุดเลย ฉันก็เลยถามขัดขึ้นมา ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมามากกว่านี้
“ไม่เห็นโทริโกะเลยเหรอคะ?”
“เอ๊ะ? ไม่นะ ไม่เห็นเลย”
“เธอต้องอยู่ใกล้ๆ นี่แน่ ซักที่ในเมืองนี้นี่แหละค่ะ”
“ที่นี่? แน่ใจเหรอ? ฉันไม่เห็นใครเลยนะนอกจากเธอกับฉันน่ะ”
คุณโคซากุระดูสงสัย แต่ฉันมั่นใจเลย ถึงจะเห็นแค่แวบเดียว แต่ผมสีบลอนด์ทองนั่นต้องเป็นของโทริโกะแน่ๆ
“ฉันจะกลับเข้าไปดูอีกซักหน่อย คุณโคซากุระ ทิ้งฉันไว้นี้แล้วกลับไปก่อนเลยก็ได้นะคะ”
“กลับ ไปไหน?”
“ถ้าคุณปีนขึ้นไปที่ดาดฟ้าตึก ก็จะมีลิฟต์อยู่ เท่านี้ก็น่าจะกลับไปที่โลกเบื้องหน้าผ่านทางเจ้านั่นได้แล้วนะคะ ฉันเคยใช้มันอยู่”
“อย่าพูดอะไรบ้าๆ เธอคิดว่าฉันจะกลับไปเองได้งั้นเหรอ?”
“ถ้าวิ่งตรงไปทางนั้น แป๊บเดียวก็ถึงตึกแล้วค่ะ ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาแล้วด้วย รีบกลับเลยดีกว่านะคะ เจ้านี่ ฉันคืนให้ด้วย”
ฉันพยายามจะคืนปืนลูกซองให้เธอ แต่เธอไม่รับมันเลย ฉันก็เลยพยายามจะพูดโน้มน้าวเธอต่อ
“เออ คือ ฉันเข้าใจนะคะว่ามันน่ากลัวที่ต้องไปคนเดียว แต่เดี๋ยวที่นี่มันจะยิ่งอันตรายกว่านี้อีกนะคะ”
“ทำไมล่ะ?”
“ฟ้ามืดแล้วนะคะ”
ช่วงเวลาโพล้เพล้เข้าครอบคลุมตัวเมืองอย่างรวดเร็ว แค่มองหน้ากันก็ยากแล้วตอนนี้ แสงสีแดงที่ยังพอเหลือก็โลมเลียไปตามหลังคาบ้าน อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวแสงนั่นก็ไม่อยู่แล้ว
“ถ้ากลางคืนมาถึงแล้วเนี่ย ขอพูดตามตรงเลยนะคะ―ฉันไม่มั่นใจเลยค่ะว่าจะปกป้องคุณได้ เพราะงั้น…”
แล้วคุณโคซากุระก็ถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
“เธอให้ฉันดูรูปนั้นแล้ว แล้วตอนนี้ เธอยังจะพูดแบบนั้นอีกเหรอ?”
“รูปนั้น…? หมายถึงดอพเพิลเกงเกอร์ของฉันน่ะเหรอคะ?”
“ไม่ใช่ รูปของซัทสึกิต่างหาก โซราโอะจังเนี่ย ไม่สนใจใครนอกจากโทริโกะจริงๆ เลยสินะ?”
คุณโคซากุระตะโกนขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว
“ฉันคิดมาตลอดเลยว่าซัทสึกิน่ะตายไปแล้วที่โลกนี้ แต่ว่า… ถ้าเกิดว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็อยากจะเจอเธอ เพราะแบบนั้นแหละ ฉันกลับไปคนเดียวไม่ได้หรอก โซราโอะจัง”
พอคุณโคซากุระพูดจบ แสงสุดท้ายของช่วงโพล้เพล้นี่ก็หายวับไปจากท้องฟ้าจนได้
กลางคืนเข้ามาถึงโลกเบื้องหลังแล้ว