ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 24 เพลิงดารา

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 24 เพลิงดารา

โถงของสำนักลับกว้างมาก โดยรอบสร้างด้วยไม้แดง หากไม่ใช่เพราะดันผนังจากในตรอกเล็ก จากนั้นออกมาจากสำนักลับนั้นอีก หนิงอี้คงไม่คาดคิดเลยว่าที่ตั้งสำนักลับที่แท้จริงจะอยู่โจ่งแจ้งเช่นนี้

เมื่อได้ม้วนกระดาษนั้นมา ตอนที่สวีจั้งพาตนออกไป เด็กหนุ่มเงียบยิ่งกว่าเดิม

ทั้งสามคนเดินออกจากอารามเพรียกหา

“ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด” สวีจั้งมองหนิงอี้พลางเอ่ยราบเรียบ “นี่เป็นหลักการความเป็นจริง หรือเจ้าไม่เข้าใจกัน พลังที่รวมในราชวงศ์ต้าสุย หากแบ่งไปให้ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ จะมีน้อยมากจริงๆ ส่วนการจะใช้ฝ่ายพุทธกับสำนักเต๋าสอดแนม…ความจริงเป็นเพียงเรื่องตลก”

“ไม่มีเขาศักดิ์สิทธิ์กล้าต่อต้านต้าสุย…เจตจำนงของจักรพรรดิต่อต้านไม่ได้” สวีจั้งพูดเสียงเบา “อาณาจักรต้าสุยเหมือนทุ่งหญ้าเลือดเหล็ก ขอแค่สิงโตนั่นยังอยู่ เช่นนั้นบนทุ่งหญ้าแห่งนี้ สิ่งมีชีวิตที่คิดจะหาผลประโยชน์ทั้งหมดก็ได้แต่ทำตามกฎที่ราชาคนก่อนกำหนดไว้”

หนิงอี้เดินตามสวีจั้งออกจากอารามเพรียกหา ใบไม้โปรยปรายสองข้างทาง เขาหันไปมองอารามยิ่งใหญ่นั้น ก่อนหน้านี้เขาเคยคาดเดาอารามนี้ แต่ไม่นึกเลยว่าอารามเพรียกหาที่ใช้สอดแนมเขาสู่ซาน ความจริงกลับเป็นที่ตั้งสำนักลับของเขาสู่ซาน

หนิงอี้พูดทอดถอนใจ “หากเป็นเช่นนั้น…เบื้องหลังอาณาจักรจะต้องมีคลื่นลับอยู่แน่”

สวีจั้งพูดเนิบนาบ “ไม่ว่าเมื่อไร เบื้องหลังอาณาจักรมักจะมีคลื่นลับอยู่เสมอ น่าเสียดาย…พลังที่สุดยอดสามารถกำราบแผนการทุกอย่างได้”

บุรุษกลับมาถึงลานบ้าน ไม่ได้รีบร้อนกางม้วนกระดาษนั้นในทันที แต่ย้ายเก้าอี้เถาวัลย์นั้นไปลานบ้าน ดอกไม้หลายกระถางก็ย้ายออกไปเช่นกัน รับแสงตะวัน บิดขี้เกียจ จากนั้นเปิดม้วนกระดาษออกอย่างไม่รีบร้อน

หนิงอี้ยกเครื่องชาเล็กและตั่งไม้สองตัวมานั่งข้างๆ มองบุรุษที่คลายคิ้วและขมวดคิ้วขึ้นใหม่ ใบหน้ายังคงราบเรียบ แต่ประกายในแววตายากจะคาดคิดได้

เผยฝานยกเตาไฟเล็ก ต้มชาร้อนเหยือกหนึ่ง พัดเบาๆ

เถาวัลย์ในลานบ้านแกว่งไกวเบาๆ

เวลานี้ในลานบ้าน นอกจากเสียงลมแล้ว ไม่มีเสียงอื่นเลย

เสียงลมที่เผยฝานพัดไฟ และยังมีเสียงลมพัดเถาวัลย์และใบไม้ในลานบ้าน จนกระทั่งชาเหยือกนั้นเดือด ควันขาวพวยพุ่งจากปากเหยือก หมอกดันฝาเหยือกเปิดๆ ปิดๆ เบาๆ

สวีจั้งประกบม้วนกระดาษ พลันถามหนิงอี้ “เจ้ารู้ว่าจะทะลวงพลังอย่างไรหรือไม่”

หนิงอี้คิดในใจว่าตอนนี้ท่านยังถามคำถามนี้กับข้าอีกรึ

เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา “กิน”

สวีจั้งมองหนิงอี้ “ไข่มุกตะวันคร้านห้าร้อยปีเจ้าก็กินไปแล้ว โอสถม่วงเร้นพันเม็ดเจ้าก็กินไปแล้ว หากให้โอกาสเจ้ากินอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่าควรจะเลือกอย่างไร”

หนิงอี้สับสนเล็กน้อย

“พรุ่งนี้จะมีสินค้าถูกส่งมาที่อารามรู้กรรม” สวีจั้งเก็บม้วนกระดาษ จากนั้นกำไว้ แสงดาราวนเวียน เกิดเสียงดังพรึ่บ ม้วนกระดาษพลันลุกไหม้ขึ้น หลายลมหายใจก็กลายเป็นเถ้าถ่าน

หนิงอี้ไม่รู้ว่าเหตุใดสวีจั้งต้องเผาม้วนกระดาษ แต่เขารู้ว่าหากสวีจั้งเผาแล้ว ไม่ให้ตนอ่าน เช่นนั้น…จะต้องเป็นการเลือกที่ดีที่สุด

“ส่งมาหน้าอารามรู้กรรม จะมีโจรม้ามาปล้น” นัยน์ตาสวีจั้งเผยความลึกล้ำเสี้ยวหนึ่ง มองหนิงอี้พลางพูดมาทีละคำ “ช่วงนี้กลุ่มหิรัญรวมกำลัง ไม่ใช่แค่เพื่อหนีจากการล่าสังหารของเจ้า แต่ที่มากกว่านั้นคือเพื่อเตรียมการสกัดกั้นครั้งนี้อย่างเต็มที่”

“คนคุ้มกันสินค้า ที่เห็นภายนอกมีเพียงผู้บำเพ็ญสามขอบเขตกลางคนหนึ่ง” สวีจั้งมองหนิงอี้พลางพูดเสียงเบา “หัวหน้าใหญ่กลุ่มหิรัญซ่างกวนจิงหงทะลวงขอบเขตที่สามแล้ว เขาจะรั้งผู้บำเพ็ญคุ้มกันส่งสินค้าไว้ เพื่อให้โจรม้าปฏิบัติการสะดวก ถึงตอนนั้นสถานการณ์จะวุ่นวายมาก เจ้ามีเวลามากสุดสิบลมหายใจ ไปหาของที่ล้ำค่าที่สุดในนั้นแล้วกินมัน”

หนิงอี้หายใจกระชั้นเล็กน้อย “ของที่ล้ำค่าที่สุด…คืออะไร”

สวีจั้งมองค้อน ขี้เกียจจะตอบคำถามนี้

หนิงอี้เข้าใจแล้ว สินค้าครั้งนี้ เกรงว่านอกจากเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังก็คงไม่มีใครรู้ว่าคืออะไร

“ท่านมั่นใจหรือว่าของในสินค้าพวกนั้น…จะทำให้ข้าทะลวงพลังได้” หนิงอี้ปากแห้งนิดๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อย “คุณชายโจวโหยวให้โอสถม่วงเร้นข้าพันเม็ดยังไม่มีผลเลย”

สวีจั้งพยักหน้าอย่างค่อนข้างมั่นใจ

หนิงอี้พูดด้วยความสงสัยเล็กๆ “คนที่ส่งสินค้าครั้งนี้เป็นคนมีอิทธิพลรึ”

“ใช่ ในบางระดับเป็นคนมีอิทธิพลจริงๆ แม้จะยังหนุ่ม แต่ก็มีอำนาจและยังมีเบื้องหลังใหญ่มาก”

สวีจั้งมองหนิงอี้พลางเอ่ยนิ่งๆ “สินค้าเขาครั้งนี้มากพอจะให้เจ้าทะลวงขอบเขตแรก…กระทั่งเหนือกว่านั้น”

“เป็นคนที่มีเงินเลย…” หนิงอี้พูดปลง “เช่นนั้นข้าต้องทำอย่างไร”

สวีจั้งมองหนิงอี้ “ง่ายมาก ไม่ต้องกังวลยอดฝีมือที่แกร่งกว่า หาของให้เจอก่อนที่ขอบเขตที่สี่สองคนนั้นจะตัดสินแพ้ชนะได้ จากนั้นกินไปเลย ทะลวงพลัง”

…..

หนึ่งวันต่อมา ขบวนพ่อค้านอกเมือง

ภายในรถม้าโคลงเคลง

เยี่ยนไคนั่งตรงข้ามชายชราอย่างไม่เป็นสุข เขามองชายชราที่ใบหน้าซีดเซียว ก่อนจะอดใจพูดไม่ได้ “ท่านซ่ง เดี๋ยวจะข้ามเทือกเขารกร้างแล้ว”

ข้ามเทือกเขารกร้าง อีกไม่นานก็จะถึงอารามรู้กรรม

“ได้ยินว่าเขตนี้โจรชุกชุมมาก มีโจรม้าปรากฏมาตลอด” เยี่ยนไคพูดอย่างจริงจัง “แม้เขาสู่ซานจะรู้ว่าท่านมา แต่ไม่รู้ว่าสินค้าครั้งนี้ถูกส่งมาถึงก่อน หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง…ท่านซ่งเกรงว่าคงไม่อาจรายงานผลกับทางนั้นได้”

ชายชราคลุมเสื้อคลุมผ้าเนื้อหยาบ เส้นผมเหมือนวัชพืชรุงรัง สองมือวางตรงหน้าตัก หายใจอ่อนแรงและยาว

เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง “กลุ่มโจรมีอะไรน่ากลัวกัน”

เยี่ยนไคถอนหายใจเบาๆ

ท่านซ่งคนนี้เป็นจอมยุทธอย่างน้อยขอบเขตที่แปด ย่อมดูถูกผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สี่อย่างตนคนนี้ กับอีแค่โจรเล็กจ้อยไม่อยู่ในสายตาเลย

ทว่าเยี่ยนไครู้ว่าสินค้าครั้งนี้หมายถึงอะไร

เห็นๆ ว่าส่งมาได้อย่างปลอดภัยยิ่ง แต่ผู้ยิ่งใหญ่หนุ่มคนนั้นกลับดึงดันจะส่งสินค้ามาอารามรู้กรรมก่อน ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร

ถึงเทือกเขาร้างแล้ว ขบวนพ่อค้าเร่งความเร็วสามส่วน อยากจะผ่านพื้นที่นี้ไปให้เร็วที่สุด

ปรากฏว่าเยี่ยนไคเพิ่งคิดจะหลับตาพักผ่อน ก็มีเสียงม้าร้องแสบหูดังมาจากข้างหน้า

บุรุษหนุ่มลืมตาขึ้น ได้ยินคนคุ้มกันหน้าขบวนพ่อค้าเปลี่ยนทิศทางม้า ก่อนจะเป็นเสียงฝีเท้าม้าเร่งรีบ จึงเปิดผ้าม่านออกดู คนนั้นก็พูดด้วยความลำบากใจ “นายท่าน เส้นทางหลวงถูกคนโรยหมุด หยุดไม่ทัน ม้าเหยียบไปหลายตัว อย่างอื่นไม่มีปัญหา ต้องเปลี่ยนม้าก่อน อาจจะกินเวลาสักพัก”

เยี่ยนไคขมวดคิ้วพลางถือดาบลงจากม้า

รถม้าส่งสินค้าสองคันต้องหยุดตามขบวนข้างหน้า คนคุ้มกันส่งสินค้าครั้งนี้มีสามสิบคน ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญที่ไม่มีขอบเขตพลัง เหตุผลง่ายมาก…สินค้าครั้งนี้ ต้องส่งไปในความปลอดภัยแบบปกติเพื่อปิดบังคน ท่านซ่งที่ไม่รู้พลังบำเพ็ญเพียงใดคนนั้นถึงได้กดไพ่ตายนั้นไว้ข้างใต้

นอกชานเมืองรกร้าง เงียบสงัด

หลังเยี่ยนไคลงจากม้าพลันได้ยินเสียง ‘ฟุบ’ เขาชักดาบออกมา แสงดาราออกมาตามดาบ ปรากฏว่ายังเห็นสิ่งที่มาไม่ชัดก็รู้สึกถึงแรงมหาศาลส่งมาจากปลายดาบ ความร้อนทะลวงผ่านหน้าดาบ ลากตัวเขากระเด็นออกไปอย่างแรง

แย่แล้ว

เยี่ยนไคมีเพียงความคิดเดียว นี่เป็นฝีมือผู้บำเพ็ญสามขอบเขตหลังแน่นอน!

ร่างเงาสีแดงเพลิงร่างหนึ่งพุ่งมาจากทางเทือกเขารกร้าง แทบในชั่วพริบตานั้น ท่านซ่งในรถม้าตบตัวลอยขึ้น สองร่างเงาปะทะกัน ช่วงหนึ่งลมหายใจ ร่างเงาสีแดงเพลิงชนชายชราคนนั้นถอยไปจนถึงตู้รถม้า ชายชราพลังตก กดหัวคิ้วชนกัน ก่อนจะฝันมือข้างหนึ่งลง ปัง ร่างเงาสีแดงเพลิงนั้นถูกมือฟัน เสียท่าทาง เปลวเพลิงเต็มฟ้ากระจายออก ทั้งตัวเขาตกลงแล้วก็พุ่งทะลวงเข้ามา แนบกับพื้นเหมือนลูกธนูพุ่งไป

พลิกตู้รถม้าดัง ‘ฟิ้ว’ พุ่งไปอย่างบ้าคลั่ง

ชายชราซ่งคนนั้นตกใจก่อน จากนั้นหน้ามืดลง ตบสองแขนเสื้อเข้าด้วยกัน กระโดดตามเปลวเพลิงนั้น

ตู้รถสองคัน เหลือตู้รถอีกคัน

ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่กลับน่าเหลือเชื่อยิ่ง

ทุกคนที่เหลือต่างสับสน

เยี่ยนไคกุมตรงหน้าอก แขนขาชาไปหมด ดาบเขามีระดับไม่ต่ำเลย กันแค่ทีเดียวเพียงแค่สั่นไหวเบาๆ ไม่แตกหัก ตอนนี้ตั้งดาบยืนตรง กัดฟันพูด “ยังมีอีกตู้รถ คุ้มกันให้ข้า รอท่านซ่งกลับมา!”

ระหว่างพูดอยู่นั้นมีเสียงเท้าม้าดังแว่วมาไกลๆ

โจรม้าร้อยคนวิ่งห้อมาจากทุกสารทิศ นี่คือการลอบฆ่าที่วางแผนไว้ก่อนแล้ว หัวหน้ากลุ่มหิรัญซ่างกวนจิงหงเพิ่งทะลวงขอบเขตที่สี่ ตอนนี้ขี่ม้าเข้ามาปิดล้อมขบวนพ่อค้า

แสงไฟวนเวียน โจรม้าที่ถือคบเพลิงสีหน้าเคร่งขรึม

เยี่ยนไคชักดาบออกอย่างไร้เสียง เบนปลายดาบช้าๆ สุดท้ายชี้ไปที่บุรุษที่มีใบหน้าน่าเกรงขาม

บุรุษคนนั้นลงจากม้า เดินมาช้าๆ ใจเย็น สุขุม เดินเหมือนเมฆลอย ไม่น่าตื่นตระหนก การย่างก้าวกลับหนักแน่นเหมือนตีกลอง สองมือถือสองวงแหวนเหมือนกอดอก สองวงแหวนตัดสลับ มังกรทองหงส์ทองวนเวียน เมื่อสองแขนลดลงสลับกัน ก็เกิดกลิ่นอายสังหารขึ้น

โจรม้าทยอยกันโยนคบเพลิง เปลวเพลิงจึงเริ่มพวยพุ่งขึ้น

ล้อมรอบตู้รถม้านี้

……

“ดำกินดำแล้ว”

หนิงอี้กับสวีจั้งยืนบนยอดเขาเล็ก ครั้งนี้ไม่พาเผยฝานมาด้วย

สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น สายตามองไปทางสองร่างเงาที่พุ่งออกไป

“คนส่งของเป็นคนมีอิทธิพล คนที่ไม่อยากให้ส่งของถึงก็เป็นคนมีอิทธิพลเช่นกัน” หนิงอี้พูดปลง “สองตู้จริงปลอม ส่งผู้บำเพ็ญสามขอบเขตหลังมาคุ้มกัน…ถ้าข้าดวงไม่ดี นั่นจะเป็นของปลอม เท่ากับเสียเวลาเปล่าหรือไม่”

สวีจั้งตบบ่าหนิงอี้ “เจ้ามีเวลาไม่มาก หากพลาดก็ถอยมาให้เร็วที่สุด”

ร่างเงาแดงเพลิงไกลๆ นั้นเหมือนจะสู้กับชายชราซ่งคนนั้นอยู่ อีกเดี๋ยวคงตัดสินแพ้ชนะได้

สวีจั้งถอยออกจากยอดเขา

หนิงอี้เงยหน้าขึ้น

ตอนนี้เป็นวันฟ้าใสมาก

แต่เขาพกร่มมา เปลวเพลิงใต้ภูเขาลุกแผดเผา หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง มองทุกคนในแสงไฟ หัวหน้ากลุ่มซ่างกวนนั่นสู้กับคนคุ้มกันแล้ว ทุกคนเริ่มฆ่ากัน เละไปหมด

ในดวงตาเด็กหนุ่มมีแสงไฟวนเวียน เหมือนเห็นธารดาราสว่างจ้า

จากนั้นเขาถือร่มพร้อมกับพุ่งทะยานลงไป

……………………..