ตอนที่ 25 หลังขอบเขตแรก
ประกายไฟท่วมฟ้า เยี่ยนไคพัวพันกับซ่างกวนจิงหงแล้ว ผู้บำเพ็ญของเขตกลางสองคนปะทะกัน ในระยะโดยรอบหลายจั้ง แผ่นดินเว้าลงไป ปราณกระบี่โหมซัดสาด ไม่มีใครเข้าใกล้ได้
การต่อสู้ดำเนินไปเกือบสิบลมหายใจ สองคนปะทะกันไปหลายสิบกระบวนท่า พลังเลือดลมถาโถม พริบตาที่เยี่ยนไคพัก ในที่สุดซ่างกวนจิงหงก็ได้โอกาส ใช้เท้าถีบข้างตู้รถม้าดัง ‘ปัง’ ตู้รถยักษ์ถูกถีบกระเด็นออกไปทั้งตัว
โจรม้าข้างนอกมีจำนวนเป็นสามเท่าของกลุ่มขบวนพ่อค้า โหดเหี้ยมกว่าปกติ ตั้งแต่แรกก็เริ่มเข่นฆ่า ตู้รถนั้นที่ลอยออกไป มีคนดีใจใหญ่ มีคนโห่ร้องเสียงดัง พริบตาเดียวก็มีคนแยกออกไปหลายคน ใช้บ่าอันทรงพลังหยุดตู้รถเอาไว้
เยี่ยนไคดวงตาแดงก่ำ จะปลีกตัวไปช่วย แต่มีแสงสว่างเย็นเยือกพุ่งเข้ามา ข้างหลังถูกฉีกขาดดังฉึก เขากระอักเลือดคำใหญ่ เส้นผมยุ่งเหยิง ต้องหันกลับมาตั้งรับ ถูกซ่างกวนจิงหงรั้งเอาไว้ใหม่
เกิดเสียงดังสนั่น ตู้รถหยุดชะงัก โซ่เหล็กหลายเส้นมัดไว้ทันที ผูกกับหลังม้าและบังเหียนของม้าหลายตัว สินค้าครั้งนี้ตกไปอยู่ในมือโจรม้าแล้ว
เยี่ยนไคตะโกนด้วยความโกรธ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าปล้นสะดมครั้งนี้หมายถึงอะไร”
ซ่างกวนจิงหงมีใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ตนได้เปรียบไม่น้อยแล้ว จึงพูดอย่างเย็นชา “ภูเขาสูงจักรพรรดิอยู่ห่างไกล เรากล้าทำเช่นนี้…ย่อมมีเหตุผลที่กล้าทำ”
เยี่ยนไคกลั้นใจกลืนเลือดกลับไป ก่อนจะยิ้มด้วยความปวดร้าว “พวกเจ้า…ช่างกล้านัก!”
ท่ามกลางเสียงดังและแสงไฟนั้น
มีร่างเงารวดเร็วพุ่งเข้าไปในกลุ่มคนอย่างเงียบเชียบ
เปลวเพลิงดับลง กลางฝุ่นควัน ร่างเงานั้นไม่ได้หยุดเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่พุ่งเข้าเปลวเพลิงก็กางกระบี่ร่มดัง ‘พรึ่บ’ ยันไปข้างหน้า ฝ่ามือกำด้ามกระบี่ ทั้งตัวพุ่งทะลวงไปเหมือนมังกร กระบี่ร่มหมุน ฝนโลหิตสองสายถูกฉีกขึ้นมา
ซ่างกวนจิงหงกับเยี่ยนไคเห็นภาพนี้
เด็กหนุ่มหุบร่มด้วยใบหน้าเย็นยะเยือก โครงร่มพลิกไปด้านข้าง ยกแขนขึ้นออกกระบี่…
โลหิตสดพุ่งทะลัก คนกับม้าถูกฟันเป็นสองส่วน เด็กหนุ่มนั่นไม่เคยหยุดฝีเท้าเลย พุ่งตรงไปยังตู้รถม้าเป็นเส้นทาง
“เป็นเด็กหนุ่มถือร่มนั่น!”
“นายน้อยแห่งเมืองหุบเขาฟาง…คนตระกูลหลี่!”
เกิดเสียงร้องตกใจดังขึ้นในกลุ่มคน วันนี้โจรม้ากลุ่มหิรัญ…นึกไปถึงความน่ากลัวของเด็กหนุ่มถือร่ม
ซ่างกวนจิงหงพลันมีสีหน้าปั้นยาก เขาสลัดดาบของเยี่ยนไคสุดชีวิต หมุนตัวจะหนีไป
ทว่าคนตระกูลหลี่คำนี้เข้าถึงหูเยี่ยนไค กลับทำให้บุรุษที่มีสีหน้าอ่อนแรงเผยประกายแววตาแปลกประหลาดขึ้นมา ก่อนจะฟันดาบลงไปอย่างแรง ซ่างกวนจิงหงถูกฟันข้างหลังเป็นรอยฉีกใหญ่
ต่างกรรมต่างวาระแล้ว
“เจ้าโง่…” บุรุษที่ถูกเยี่ยไครั้งไว้และหมุนตัวกลับมาพูดด้วยใบหน้าโมโหร้าย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป”
เกิดการระเบิดขึ้นกลางกลุ่มโจรม้า โซ่ที่ดึงตู้รถม้าไว้เริ่มสั่นไหว ม้าดีที่เลือกมาเป็นพิเศษหลายตัวเริ่มถีบพื้น เตรียมหนีอย่างบ้าคลั่ง
หนิงอี้หรี่ตาลง ต่อให้ถือกระบี่ร่มก็ยังมีแสงไฟกับสายตากลุ่มคนบดบัง เขารู้ว่ายังห่างจากตู้รถม้านั่นช่วงหนึ่ง สังหารคนเร็วกว่านี้ หากม้าพวกนั้นหนีไป…เช่นนั้นการปฏิบัติการครั้งนี้ของตนคงได้แต่ถอยไป
“สมควรตาย…”
โจรม้าที่ขี่หลังม้าฟาดแส้อย่างเต็มที่!
หนิงอี้ได้ยินเสียงเท้าม้าดัง เสียงหายใจหนักหน่วง เขาพุ่งทะยานออกไป กระบี่ร่มพลิกในมือเขา โลหิตสองสายสาดกระเซ็น สายตาของเด็กหนุ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายพุ่งออกไป กระโดดขึ้นสูง
ม้าดีแข็งแกร่งทั้งหมดสี่ตัว…สามตัวเริ่มคลุ้มคลั่ง ทว่ามีม้าดำใหญ่ตัวหนึ่งที่ไม่ว่าจะฟาดอย่างไรก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
หนิงอี้ตาเป็นประกาย ตรงสะโพกม้าดำตัวนั้นมีรอยดาบคุ้นตาอยู่…
เขากระแทกกับตู้รถม้าดังตึง กระบี่ร่มฟันโซ่เหมือนตัดกระดาษ ก่อนจะใช้กระบี่เปิดบนหลังคาตู้รถม้าแล้วลงไปในตู้
……
แสงไฟกับเสียงเข่นฆ่าเบาลงมาก
ตู้รถนี้ทำจากเหล็กกล้า กั้นเสียงดีมาก
ภายในตู้รถไม่ได้วางของจนเต็ม หนิงอี้บุกเข้ามาแล้ว ข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว
เขาเหมือนจมลงกลางทะเลลึก
ตรงหน้าเป็น…ทองกับเงิน
หนิงอี้กลั้นหายใจ กวาดสายตามองเร็วๆ เขาพยายามอดทนมองข้ามเงินกับทองคำก้อนใหญ่ที่ใส่ไว้เต็มกล่องพวกนั้นไป
เวลาเขามีน้อยมาก จะมาเสียเวลาไม่ได้เลย
สวีจั้งเคยบอกเขาว่าในสินค้าพวกนี้มีของที่มีค่ามาก…จะทำให้ตนทะลวงพลังได้แน่นอน
หนิงอี้มองผ่านเงินกับทองที่กินพื้นที่ไปครึ่งตู้รถอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของสวีจั้ง
ไข่มุกตะวันคร้านทั้งกล่อง
เกือบร้อยเม็ด ไม่รู้ว่าระดับใด…แต่เป็นทั้งกล่องเลย!
มองอีกทีก็ยังเป็นอีกหนึ่งกล่อง
หนิงอี้ลมหายใจกระชั้นขึ้น แค่ไข่มุกตะวันคร้านสองกล่องนี้ เกรงว่ามากพอจะให้ตนทะลวงพลังแล้ว
เจ้าของสินค้าพวกนี้เป็นใครกัน แค่ตู้รถธรรมดากลับมีทรัพยากรที่พอให้หนึ่งสำนักใช้ได้เลย
หนิงอี้หันไปเห็นโอสถม่วงเร้นของสำนักเต๋าวางซ้อนกันสิบกล่องเต็มๆ ชิดกับผนังตู้รถ พลันเวียนศีรษะขึ้นมา
เขายื่นมือไป ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรลงมืออย่างไร
ขลุ่ยกระดูกในอกเสื้อพลันสั่นไหว
หนิงอี้รู้สึกถึงการเรียกหาเช่นนี้ เหมือนกำลังกระหายอะไรบางอย่าง
หนิงอี้หมุนตัวกลับ สัมผัสถึงการสั่นไหวร้อนใจของขลุ่ยกระดูกในอกเสื้อ ก่อนก้มลงเอียงหูฟัง จากนั้นก็ใช้ปลายกระบี่ร่มงัดส่วนล่างของตู้รถเบาๆ อย่างไม่ลังเลอีก
เขาเห็นไข่มุกล้ำค่าที่สว่างไสวและกลมอิ่มเอิบ
หากบอกว่าไข่มุกตะวันคร้านพวกนั้นที่วางไว้เป็นกล่องๆ ก่อนหน้านี้ต่างมีขนาดเท่าเล็บมือ กลมเปล่งแสงเรืองรอง เช่นนั้นเม็ดนี้…ก็เปล่งแสงสว่างจ้ายิ่งกว่าของพวกนั้นรวมกันก่อนหน้านี้
ไข่มุกตะวันคร้านที่หนิงอี้ถือในเมืองไร้มลทิน เกรงว่าคงมีขนาดครึ่งหนึ่งของเม็ดนี้
“ไข่มุกตะวันคร้านพันปี!”
เด็กหนุ่มใช้มือกดไข่มุกตะวันอย่างไม่ลังเล เปลือกมุกแตกเป็นเสี่ยงๆ แสงสว่างแสบตาพลันแตกกระจาย ตู้รถมืดครึ้มพลันส่องสว่าง หน้ากระจกแตก เส้นแสงร้อนแรงพุ่งกระจายมาจากกลางไข่มุกตะวันคร้านพันปี แสงดารามากมายสว่างออกมา ถาโถมไปบนศีรษะหนิงอี้เหมือนมหาสมุทร
ในชั่วพริบตานี้ หนิงอี้เหมือนกลับไปในคืนนั้นที่พยายามทะลวงพลัง โซ่ที่พันธนาการตะวันจันทราและดาราในความคิดตนแตกกระจายออก ไข่มุกตะวันคร้านพันปีที่แตกเม็ดนั้นถูกฝ่ามือหนิงอี้ดูดเข้ามา เถ้าถ่านสีขาวบริสุทธิ์แตกกระจายไหลเข้าไปในแขนเสื้อตัวโคล่ง เด็กหนุ่มล้มลงนั่งกับพื้น วางมือบนตัก นึกถึงธารดารามืดมิดที่มีนับไม่ถ้วน ก่อนจะจุดแสงขึ้น
แค่หนึ่งลมหายใจ หนิงอี้ลืมตาขึ้น สายตาเขาสว่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความคิดก็ชัดเจนขึ้นกว่าเมื่อก่อน
เสียงเจี๊ยวจ๊าวข้างนอกดังยิ่ง ตั้งแต่หนิงอี้เปิดรถจนถึงตอนนี้ ไม่ถึงสิบลมหายใจ
มีคนมาแล้ว หนิงอี้ไม่กลัวโจรม้าข้างนอก แต่ผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สี่สองคนนั้น…เขาต้องหลบเลี่ยงประกายคม
ตอนนี้จะอยู่นานไม่ได้ เขาทะลวงพลังแล้ว ต้องหาที่เงียบสงบ
ทันใดนั้นเอง ขลุ่ยกระดูกในอกเสื้อสั่นไหวอีกครั้ง
หนิงอี้ที่เตรียมจะหนีตัวแข็งทื่อ เขาชำเลืองตามองข้างล่างตู้รถมืดมิดทีหนึ่ง ก่อนจะก้มตัวลงไปอย่างไม่ลังเล หยิบตลับเล็กขึ้นมา เปิดตลับออก ในนั้นเป็นไข่มุกเย็นเยือกยิ่ง ต่างกับไข่มุกตะวันคร้านที่ร้อนแผดเผา ไข่มุกเย็นเยือกนั้น มีขนาดเท่ายาลูกกลอนปกติ
หนิงอี้ใช้สองนิ้วคีบไข่มุก พลันหรี่ตาลง
ไข่มุกนั้นถึงมือแล้วก็ละลาย
หนิงอี้รู้สึกถึงความหนาวเข้ากระดูก ไข่มุกแตกออกแล้วลุกลามผ่านนิ้วมือ จากนั้นพุ่งชนไปมาในร่างกาย ระหว่างสั่นไหว ไข่มุกนั้นยังกลายเป็นหมอกควัน ตรงฝ่ามือปรากฏเป็นเศษน้ำแข็งเกาะหลายชั้น
พลังที่มากยิ่งกว่าไข่มุกตะวันคร้านรวมกันเหมือนหมอกบนไข่มุกแตก ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ระหว่างคิ้วหนิงอี้เหมือนลูกธนู เกิดเสียงดังเบาๆ เด็กหนุ่มล้มลงในตู้รถด้วยใบหน้าขาวซีด จิตวิญญาณพร่าเลือน ริมฝีปากสั่น ความหนาวอัดแน่นไปทั่วทั้งตัว พลังเหนือยิ่งกว่าปราณหยาง
หนิงอี้ทั้งหน้าแดงและขาว เดี๋ยวก็ไร้เลือดฝาด เดี๋ยวก็หน้าแดงก่ำ
เขาพลิกตัวขึ้นด้วยความลนลาน คว้าไข่มุกตะวันกำใหญ่ก่อนจะบีบแตก หลังไข่มุกตะวันคร้านที่ไม่รู้อายุกี่ปีแตกแล้วก็เข้าไปในปอด ทำให้หนิงอี้สบายขึ้นเล็กน้อย
หนิงอี้ใช้มือหนึ่งกำกระบี่ร่ม อีกมือวางตรงตำแหน่งขลุ่ยกระดูกตรงหน้าอก ปลายกระบี่ฟันตู้รถม้า เขากระโดดไปทั้งตัว ทะเลเพลิงลุกแผดเผา ภายใต้ความร้อนสูง ทำให้ความหนาวถอยไปเล็กน้อย
หนิงอี้ไม่รู้สึกว่าตรงหน้าอกตนมีทะเลดารากว้างใหญ่
เขารู้สึกว่าตรงหน้าอกตนมีน้ำแข็งพันฉื่อ มีเปลวเพลิงมากมายคละปน ลุกโชติช่วง
กลางเพลิงตรงหน้ามีร่างเงาสูงใหญ่ร่างหนึ่ง ปลายดาบในมือทะลวงหลังเยี่ยนไค ก่อนจะเดินมาหน้าหนิงอี้เงียบๆ จากนั้นมองเด็กหนุ่ม “ที่แท้เด็กหนุ่มถือร่มที่เล่าลือกันก็มีพลังบำเพ็ญขอบเขตแรก…เจ้ามีพลังเพียงขอบเขตแรก มีสิทธิ์อะไรถึงกล้าอวดดีเช่นนี้”
หนิงอี้หน้าไร้เลือดฝาด ริมฝีปากขาวซีด เงยหน้าขึ้นเห็นร่างเงาสูงใหญ่ ผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สี่คนนั้นตายแล้ว ถูกปลายดาบของเขายกร่างขึ้น
แสงไฟลุกโชติช่วง
ซ่างกวนจิงหงส่ายหน้า มองเด็กหนุ่มคนนี้ด้วยความรู้สึกผิดหวังมาก
ก่อนหน้านี้พี่น้องตายไปหลายสิบคน ในเมืองหุบเขาฟาง ในเมืองสันติ ถูกเด็กหนุ่มที่เล่าลือว่าแซ่หลี่คนนี้สังหารไปไม่น้อย ตอนที่เขาได้ยินแซ่นี้ก็เงียบ หลังรู้ว่านี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ กลุ่มหิรัญก็ต้องรวมกำลัง เตรียมปล้นสะดมในวันนี้
นี่คือเจตนารมณ์ของท่านนั้นจากแดนบูรพา ต่อให้อยู่ห่างไกลกันเช่นนี้ก็ให้ตนไปดำเนินการ นี่เป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ซ่างกวนคิดว่าเด็กหนุ่มที่เล่าลือว่ามีความสามารถคนนี้ เกรงว่าคงเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตกลาง
ดูท่าเพิ่งทะลวงขอบเขตแรก แสงดารายังปั่นป่วนและไร้กฎเกณฑ์ในช่วงลมหายใจอยู่เลย เป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญ
เขามองไปรอบๆ ลูกสมุนเขาสังหารขบวนพ่อค้าหมดแล้ว เปลวเพลิงทะลวงอากาศลุกแผดเผา มีคนล้อมเข้ามาช้าๆ
ถึงเวลาจบทุกอย่างแล้ว
เด็กหนุ่มพิงท้ายตู้รถ พยายามให้ตนหายใจสมดุลกัน จากนั้นกำกระบี่ร่มแน่น
ศพถูกซ่างกวนยกขึ้น หมุนปลายดาบและเหวี่ยงเข้ามา
แสงดาบเย็นฉ่ำ
เมื่อแสงกระบี่ที่ไม่เย็นฉ่ำตามมา
ซ่างกวนเบิกตาโต ศพที่โยนออกไปถูกฟันขาดเป็นสองส่วน จากนั้นสองแขนที่ตนยกขึ้นเหมือนจะมีเส้นสีดำลากผ่าน
ระหว่างคิ้วตรงหน้าผากเกิดเสียงดังฉึก ก่อนจะทะลวงเป็นรูเล็กเหมือนกระดาษบาง โลหิตพุ่งออกมาดั่งเศษหิมะ
หลังสังหารคน เด็กหนุ่มชำเลืองตามองไปรอบๆ ด้วยความเจ็บปวด แสงไฟท่วมฟ้า ความเจ็บปวดเช่นนี้สะท้อนออกมาในดวงตา ทำให้คนหนาวสั่น รู้สึกเหมือนเป็นความเกลียดชังดุร้ายบางอย่างมากกว่า
โจรม้าถูกกระบี่ฟันล้มลงด้วยความตกใจและโกรธแค้น เด็กหนุ่มถือร่มสังหารเป็นเส้นทางโลหิตสายหนึ่งได้อย่างง่ายดาย จากนั้นห้อทะยานไปอย่างบ้าคลั่ง ไม่หันกลับมา วิ่งไปบนเส้นทางหลวงอย่างรวดเร็วยิ่ง
………………………