ตอนที่ 26 ข้ายุ่งมาก (1)
พายุแรงมาก กลางเทือกเขารกร้าง สองร่างเงาไล่ตามกัน ร่างเงาสีแดงเพลิงที่แบกตู้รถครึ่งส่วนเล็กพลันหยุดฝีก้าว หมุนตัวกลับมา สองบ่ากระแทกตู้รถออกไป ชายชราซ่งสะบัดแขนเสื้อตบ ห้านิ้วมือกดที่ตู้รถ แผ่นเหล็กใหญ่ถูกหลอมละลาย ฝ่ามือเกิดควันขึ้น ชายชราเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
สองคนไล่ตามกันมาเกือบสิบลี้ ร่างเงาสีแดงเพลิงนั้นยอมคืนตู้รถให้ก่อน ทั่วร่างยังหุ้มอยู่กลางเปลวเพลิง น้ำเสียงมีความเยาว์วัยเสี้ยวหนึ่ง พูดนิ่งๆ “ซ่งฉยงซ่งไร้พ่าย เจ้าคือแขกพิเศษของตระกูลจู้แห่งสี่เขต ดีเลวอย่างไรก็เป็นผู้บำเพ็ญที่หยุดอยู่ขอบเขตสิบมาสามสิบปี เหตุใดถึงเป็นสุนัขเฝ้าประตูให้คนอื่น”
ชายชราซ่งก้มหน้า พูดเสียงนุ่มนวล “คนเขาอนันต์เล็กรึ หรือตำหนักทะเลสาบกระบี่ แต่คงไม่ใช่เขาสู่ซาน บุตรศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นอย่างน้อยก็ขอบเขตที่แปด เจ้ายังขาดไปครึ่งก้าว ข้าไม่กล้าสังหารอัจฉริยะของเขาศักดิ์สิทธิ์จริงๆ…แต่ท่านผู้นั้นข้างหลังข้า ฆ่ามาไม่น้อยแล้ว เจ้าว่าข้าเป็นสุนัขเฝ้าประตู แล้วเจ้าล่ะเป็นอะไร
วางเพลิงกัดคนให้เจ้านายผู้อยู่เบื้องหลัง ข้าอยู่โดดเดี่ยว ขอเพียงทะลวงพลังได้เห็นทิวทัศน์ตรงหน้า มีชีวิตไปอีกร้อยปี คับอกคับใจบ้างไม่เท่าไรเลย ข้าซ่งฉยงฝึกเต๋ามาร้อยปี เจออัจฉริยะมามากมาย บุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ตกต่ำจากเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นหยุดอยู่สิบขอบเขตแรกนับไม่ถ้วน สาวน้อย เจ้าดูถูก ข้าไม่ถือสา ข้าไม่ฆ่าเจ้า ปล่อยเจ้าเติบใหญ่ ชีวิตนี้จะบรรลุสิบขอบเขตหรือไม่เกรงว่ายังเป็นปัญหา”
ร่างเงานั้นกลางเปลวเพลิงมีรูปร่างไม่ถือว่าใหญ่ มีความเยาว์วัยในความเด็กอยู่เสี้ยวหนึ่ง เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มองจากเบื้องบน ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะ “สักวันข้าจะทะลวงพลัง จะมาฆ่าเจ้าแน่ ฉายาซ่งไร้พ่ายก็เป็นแค่เรื่องตลก”
ชายชราซ่งพูดยิ้มๆ “เป็นเรื่องตลกจริงๆ ตอนนี้เจ้าจะลองดูก็ได้ เทือกเขารกร้าง ข้าสังหารศิษย์เจ้าภูเขาน้อยแห่งเขาศักดิ์สิทธิ์ไปก็คงไม่มีใครรู้ความจริง”
ท่ามกลางสายลมเทือกเขาร้าง ว่าที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ที่หุ้มกลางเปลวเพลิงเงียบไปชั่วครู่
“เจ้ากับข้าไล่ล่ากันสิบลี้ เพียงเพื่อตู้รถนี่” ว่าที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้มาจากเขาศักดิ์สิทธิ์ใดหรี่ตาลง “ตู้รถนี่คืนให้เจ้า เราสองคนหายกัน”
ชายชราถอนหายใจ “คนหนุ่ม เจ้าคิดว่าเรื่องมันง่ายนักรึ ในตู้รถนี้มีของที่องค์ชายให้ความสำคัญมากอยู่” ชายชราพูดเสียงเบา “องค์ชายอยู่นอกแดนตะวันตก เขาจะกลับมาในอีกสองสามวันนี้จึงเตรียมตู้รถสองตู้ไว้เป็นพิเศษ…การปรากฏตัวของเจ้าทำให้องค์ชายเสียหายหนัก ข้าจะปล่อยให้เจ้าหนีไปเช่นนี้ได้อย่างไร”
เขาพูดด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “เขาศักดิ์สิทธิ์เบื้องหลังข้าจะตรวจสอบความจริง ไม่ใช่แค่เจ้า แต่ทั้งตระกูลจู้…จะต้องพินาศ”
“ตระกูลจู้ไม่สนใจเขาศักดิ์สิทธิ์เบื้องหลังเจ้าหรอก” ชายชราซ่งยกสองแขนเสื้อขึ้นและหุบลง สิบนิ้วมือสอดกันในแขนเสื้อ วนไปทีละรอบ ไม่รู้กำลังเตรียมการอะไร จีวรเต๋าลอยขึ้น ชายชราที่มีใบหน้าเหนื่อยล้ายิ้มอ่อนโยนพลางพูด
“เบื้องหลังของข้า…เบื้องหลังของตระกูลจู้คือองค์ชายสาม และเบื้องหลังของเจ้าคือองค์ชายรอง องค์ชายทั้งสองเป็นเหมือนน้ำกับไฟอยู่ร่วมกันไม่ได้ แต่ท่านหนึ่งอยู่ตะวันตก อีกท่านอยู่ตะวันออก…ในการแย่งชิงครั้งนี้ พวกเราเป็นเพียงตัวหมากเท่านั้น ตอนนี้ประจวบเหมาะกับที่มีเหตุมากมาย ต่อให้ตัวหมากที่สำคัญบางตัวตายไปก็จะไม่ส่งผลกับภาพรวมมาก ต่อให้เป็นคนอย่างองค์ชายก็ได้แต่ตบฟันร่วงและกลืนลงท้อง”
ว่าที่บุตรศักดิ์สิทธิ์กลางเปลวเพลิงเริ่มมองไปรอบๆ เขาพูดเสียงเย็นชา “ข้าคือศิษย์ของคุณชายน้ำค้างแห่งแดนบูรพา”
ชายชราซ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างจริงใจ “คุณชายน้ำค้างมีความคิดรอบคอบ หากข้าสังหารเจ้าในแดนบูรพา ข้าหนีไปได้ไม่เกินสามวันก็คงถูกจับได้ จากนั้นถูกทรมานจนตาย”
คนหนุ่มในเปลวเพลิงเงียบ เขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีแล้ว
“น่าเสียดายที่ว่าที่นี่คือแดนประจิม ระหว่างบูรพาและประจิมห่างกันสามหมื่นหกพันลี้ คุณชายน้ำค้าง…แล้วอย่างไร” ชายชราเตรียมวิชาใกล้จะเสร็จแล้ว แสงดาราที่เขาซ่อนในแขนเสื้อมาพร้อมกับกลิ่นอายเก่าแก่เกือบร้อยปี รูปแบบนี้มีชื่อเสียงด้วยพลานุภาพมหาศาล เป็นปราณกระบี่ในแขนเสื้อ
ชายชราถอนหายใจ “คุณชายชิงเค่อเคยบอกข้าว่าที่นี่คือเขาสู่ซาน ข้าคิดว่าคุณชายชิงเค่อพูดถูกต้องมาก สังหารคนในเขตเขาสู่ซาน ห่างไกลจากคุณชายน้ำค้างในแดนบูรพา ไม่ว่าอย่างไร…ก็สาวมาถึงตัวข้าไม่ได้”
“พูดได้ดี”
เสียงชมดังขึ้นราบเรียบ ทำให้ชายชราซ่งสะดุ้งตกใจ ขนคิ้วที่เดิมทีหลุบลงพลันเลิกขึ้น
เทือกเขาร้าง มีบุรุษสวมชุดคลุมดำคนหนึ่ง ข้างหลังห้อยผ้าเรียวยาว ย่ำเดินช้าๆ ลงมาจากเขารกร้างเล็ก
ชายชราซ่งเพ่งสายตามอง
บนเขารกร้างเล็กยังมีอีกร่างเงานั่งยองอยู่ บุรุษคนนั้นที่นั่งยองผมสีขาวดอกเลา ดวงตาปิดด้วยผ้าหยาบสีดำ ตรงเอวห้อยกระบี่เหล็กสามฉื่อขึ้นสนิมเล่มหนึ่ง
คนที่ทำให้เขาตกใจไม่ใช่บุรุษที่เดินลงมาจากเขารกร้างเล็ก กลิ่นอายของบุรุษคนนั้นสะอาดและคล่องแคล่ว…อยู่เพียงขอบเขตที่เจ็ดหรือไม่ก็ขอบเขตที่แปด
ขอบเขตที่เจ็ดกับแปด ไม่ว่าขอบเขตใดก็ไม่สำคัญ ตนจะฆ่าบุรุษแบกกระบี่ที่มีพลังบำเพ็ญน้อยกว่าตนอย่างน้อยสองขอบเขตคงใช้เวลาไม่นานเท่าไร
เหนือกว่าขอบเขตที่สิบ…การคงอยู่ที่จุดดาราชะตา!
“พูดได้ดีจริงๆ…ที่นี่คือเขาสู่ซาน” บุรุษแบกกระบี่ในชุดคลุมดำไม่รู้ยืนบนเนินเขาเล็กนั้นกับคนตาบอดตั้งแต่เมื่อไร ตอนนี้คนหนึ่งเดินเข้ามา โบกมือให้คนตาบอดข้างหลัง สื่อว่าเขาไม่ต้องออกมือ
คนตาบอดที่ไม่เห็นอะไรเลยดันโบกมือให้บุรุษแบกกระบี่ ก่อนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“น้ำค้างเป็นคนที่ล่วงเกินไม่ได้ ส่วนชิงเค่อที่เจ้าพูดถึง ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน…บางทีข้าอาจจะโง่เขลาเองก็ได้” บุรุษแบกกระบี่เดินมาด้วยรอยยิ้ม “แต่พวกเจ้าต้องเคยได้ยินนามของข้าแน่”
ว่าที่บุตรศักดิ์สิทธิ์กลางเปลวเพลิงมองบุรุษแบกกระบี่เดินมาด้วยความสงสัย เขาพลันเข้าใจแล้ว นัยน์ตากลายเป็นตกใจและเกรงกลัวขึ้นมา
“ในที่สุดข้าก็รู้ว่าหลายปีมานี้เหตุใดข้าถึงมีศัตรูมากขึ้นเรื่อยๆ…เขาสู่ซานคงเป็นแพะแทนสององค์ชายเยอะมาก จากนั้นก็มาอยู่ที่หัวข้า”
คนตาบอดที่นั่งยองบนภูเขาร้างอดหัวเราะไม่ได้
ชายชราซ่งกลับยิ้มไม่ออก
ชายชราอายุร้อยกว่าปีก้มตัวลง คารวะสวีจั้งในอายุสามสิบกว่าปี ก่อนถามด้วยความเคารพ “เป็นผู้อาวุโสสวีท่านนั้นรึ”
สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น “ผู้อาวุโสสวีท่านใด ชื่อแซ่มีมากมาย เจ้าอย่าจำผิดคน”
ชายชราซ่งกดความรู้สึกไม่สบายในใจลง ใบหน้าไม่เผยพิรุธใดๆ เขาเพ่งพินิจบุรุษแบกกระบี่ตรงหน้าซ้ำไปมา จนมั่นใจว่ามีพลังบำเพ็ญเพียงจุดสูงสุดขอบเขตที่เจ็ด กระทั่งยังมีแสงดารากระจายออกมาทุกนาที
โลกบำเพ็ญทั้งโลกต่างรู้จักนามของสวีจั้ง ทุกคนต่างเล่าลือว่า…ตัวอ่อนสังหารนี้สังหารไม่เคยหยุด ทำให้ยุครุ่งเรืองบำเพ็ญของต้าสุยถดถอยไปสิบปี
แต่มีคนจำนวนมากที่รู้ว่าบุรุษคนนี้ไม่อาจกลับไปในยุครุ่งเรืองในอดีตนั้นได้อีกแล้ว
สี่สำนักศึกษา สามสำนักล่าสังหาร ตำหนักฟ้าจวนปฐพี เขาศักดิ์สิทธิ์ทุกลูก ทั้งต้าสุย ทั้งโลกบำเพ็ญ ล่าสังหารเขามาสิบปีเต็ม
ชายชราซ่งได้ยินว่าพลังบำเพ็ญเขาลดลง ลดลงทุกวินาที
วันนี้ได้พบ…เดิมทีเขาก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่สภาพของสวีจั้งดูไม่ดีเลย แสงดาราที่สั่งสมในตัวน้อยจนน่าสงสาร เหลือเพียงโครงพลังบำเพ็ญว่างเปล่า สภาพน่าเวทนาเช่นนี้ หรือจะเสแสร้งได้กัน
ซ่งฉยงไม่เชื่อ