ตอนที่ 26-2 ข้ายุ่งมาก (2)
“ข้าคือผู้อาวุโสสวีผู้องอาจห้าวหาญคนนั้นจริงๆ ดูท่าคงปิดบังเจ้าไม่ได้” บุรุษแบกกระบี่ถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะดึงเสื้อคลุมปิดหน้าของตนออก เผยใบหน้าแท้จริง ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นกระบี่นั้นยิ้มขึ้นมา “ซ่งฉยงกระมัง ข้าเหมือนจะเคยได้ยินนามของเจ้า…ขยะที่อยู่มานาน ร้อยกว่าปีแล้วยังอยู่ขอบเขตที่สิบ สู้ตายไปไม่ดีกว่ารึ”
ตอนที่เอ่ยคำพูดนี้ สวีจั้งลืมไปว่าตนอยู่เพียงขอบเขตที่เจ็ด
ใบหน้าซ่งฉยงไม่ทุกข์และไม่สุข “ผู้อาวุโสสวีชมเกินไปแล้ว อยู่มานานเป็นเรื่องดี”
ชายชรากลัวคนตาบอดที่นั่งยองบนเขารกร้างนั้นจริงๆ เขาชำเลืองหางตามองตลอด หวั่นๆ ในใจ
ชายชราซ่งไม่อยากมีปัญหาแทรกซ้อนเลยพูดด้วยความจริงใจ “ผู้อาวุโสสวี ข้ายินดีปล่อยว่าที่บุตรศักดิ์สิทธิ์นั่นไป ให้จบลงตรงนี้ได้หรือไม่”
สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “หากข้าไม่มา เขาจะตายหรือไม่”
ชายชราซ่งพยักหน้า
สวีจั้งยิ้ม “ไม่ต้องสนใจข้า ควรฆ่าก็ฆ่า แต่ข้าไม่ชอบรสชาติของการเป็นแพะรับบาป สององค์ชายเบื้องหลังพวกเจ้าล้วนไม่ใช่คนดีอะไร กล้าทำไม่กล้ารับ ต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่าง ทุกปีตอนกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกัน เห็นอยู่ว่าแค้นอีกฝ่ายจะตายอยู่แล้ว กลับต้องเยินยอกันเอง”
เงียบ
สวีจั้งมองชายชราพูดต่อว่า “อย่าให้ข้าลงมือ เจ้ารีบสังหารเขาเสีย”
ชายชราซ่งไม่รีบร้อนลงมือ แต่ถามอย่างจริงจัง “จากนั้นล่ะ”
“จากนั้นหรือ” สวีจั้งมองชายชรา ก่อนจะมองค้อนแล้วพูดว่า “จากนั้นเจ้าก็ต้องลงมือเองสิ หรือจะให้ข้าลงมือกัน”
ชายชราหน้ามืดทะมึน
ว่าที่บุตรศักดิ์สิทธิ์คนนั้นเตรียมจะหนีนานแล้ว เพียงแต่คนตาบอดที่นั่งยองบนยอดเขาเล็ก ‘มอง’ ตนด้วยรอยยิ้ม ภายใต้แรงกดดันไร้รูป แม้แต่ขยับตัวยังทำไม่ได้เลย
ชายชราซ่งถามด้วยความคับแค้นใจยิ่ง “ผู้อาวุโส ไว้ชีวิตข้าได้หรือไม่”
สวีจั้งพูดอย่างจริงจัง “เจ้าเอาดาบตัดลิ้นก่อน แล้วตัดขาสองข้าง จากนั้นมือซ้ายตัดมือขวา สุดท้ายมือซ้ายก็ตัดมือซ้าย…หากเจ้าทำได้ ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
หลังพูดจบก็มีแต่ความเงียบ
ชายชราซ่งขอบเขตที่สิบหน้าแดงก่ำ ยกแขนเสื้อขึ้น พายุและแสงดาราโหมซัดสาด ปราณกระบี่ที่สั่งสมมานานถูกเขากดฝ่ามือลง
สวีจั้งที่ยืนกลางพายุคลั่งมองปราณกระบี่ปลิวว่อนพลางเลิกคิ้วขึ้น
ผ้าสีดำหลุดออก ฉีกขาดกลางอากาศแล้วหมุนวน
ในฝักกลับไร้กระบี่
สวีจั้งใช้มือข้างหนึ่งถือฝักกระบี่พินิจเหมันต์ไว้ หลังจับไว้ได้ก็ฟาดลงพื้นอย่างแรง
ปลายฝักกระบี่ฟาดลงพื้น หินดินกระจาย ลากเป็นเส้นตรงพุ่งออกไป
พายุคลั่งพลันฉีกขาด
สวีจั้งขี้เกียจมองศพชายชราซ่งที่ถูกฟันเป็นสองส่วนอีก แต่หมุนตัวไปถามว่าที่บุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างเกียจคร้าน “เบื้องหลังเจ้าคือองค์ชายรอง อาจารย์อยู่เขาศักดิ์สิทธิ์ใดในดินแดนบูรพา”
ว่าที่บุตรศักดิ์สิทธิ์คนนั้นพูดไม่ออก ตัวสั่นงันงก เปลวเพลิงถูกพายุร้อนแรงกับปราณกระบี่คละปนกันพัดหายไป เผยใบหน้างดงามและสุภาพ
ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นสตรี
นางหน้าไร้สีเลือด ท่าคุกเข่าข้างหนึ่งเปลี่ยนเป็นนั่งลง สายตาหยุดอยู่ที่ฝักกระบี่ที่สวีจั้งถือไว้
สวีจั้งยิ้มน้อยๆ “ว่าอย่างไร เคยได้ยินพินิจเหมันต์ แต่นึกไม่ถึงล่ะสิว่าข้าจะแบกแค่ฝักกระบี่”
หญิงสาวริมฝีปากขาวซีด พยักหน้าก่อนจะส่ายหน้า เสียงเหมือนจิตวิญญาณหลุดไปแล้ว พูดเสียงสั่น “ข้าคือ…คนสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว”
สวีจั้งเลิกคิ้วขึ้น “สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวรึ”
เขายกมือขึ้น ผ้าดำที่ลอยอยู่พลันถูกดูดเข้ามา พันรอบฝักพินิจเหมันต์เหมือนมังกรเล็ก
สวีจั้งเดินทางมาตลอดทาง สังหารคนไปมากกว่าครึ่งโลกบำเพ็ญ แต่มีเขาศักดิ์สิทธิ์หลายลูก…ที่เขาไม่ฆ่า
สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเป็นหนึ่งในนั้น
บุรุษมัดฝักกระบี่ช้าๆ พูดนิ่งๆ “สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวไม่เป็นพันธมิตรกับองค์ชาย นี่เป็นกฎ เจ้าผิดต่อคำสั่งอาจารย์ กลับไป จากนี้ปิดด่านบำเพ็ญอยู่เฉยๆ เถอะ”
หญิงสาวที่คุกเข่ากับพื้นข้างหนึ่งอึ้งไป ไม่เข้าใจความหมายของบุรุษ
สวีจั้งมีสีหน้ารำคาญนิดๆ เขาขมวดคิ้วพลางพูด “ฟังไม่เข้าใจรึ ข้าไม่ฆ่าคนสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว กลับไป จากนี้ตัดความสัมพันธ์กับองค์ชายรองโดยเร็ว เพื่อไม่ให้อาจารย์และสำนักเจ้าขายหน้า”
หญิงสาวหน้าแดง อับอายและละอายใจมาก
สวีจั้งหมุนตัวจะกลับ
“อาจารย์อาน้อย…” หญิงสาวคนนั้นโพล่งขึ้นมา “สำนักศึกษามีคนรอท่านอยู่”
สวีจั้งหยุดเดิน พูดโดยไม่หันกลับมามอง “นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ควรค่าแก่การให้ข้าต้องสนใจ บอกนางไม่ต้องรอแล้ว”
หญิงสาวพูดเสียงเบาด้วยใบหน้าคับแค้นใจ “อาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยอยากถามอาจารย์อาน้อยมาตลอด เหตุใดท่านถึงไม่ยอมมาพบหน้าที่ถ้ำกวางขาว”
เดิมทีสวีจั้งไม่อยากหันกลับ แต่ก็ยังหยุดเดิน “ก่อนอื่น ข้าไม่ใช่อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานแล้ว…แล้วก็ข้าไม่สังหารคนถ้ำกวางขาว เพียงแค่เห็นแก่ไมตรีในอดีต ข้าไม่ติดค้างสุ่ยเยวี่ย และไม่ติดค้างถ้ำกวางขาว นางอยากพบข้าก็มาหาข้าได้ ข้าจะเชิญนางดื่มชา ช่วยนางสังหารคน สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงสองเรื่องนี้”
สวีจั้งเอ่ยราบเรียบ “ส่วนเหตุใดข้าถึงไม่ไปสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว…มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมพบนาง ไม่อยากพบนาง”
หญิงสาวที่นั่งกับพื้นงุนงงเล็กน้อย ฟังออกถึงความคับแค้นใจเสี้ยวหนึ่งในน้ำเสียงบุรุษ
สวีจั้งแบกพินิจเหมันต์ขึ้นไหล่อีกครั้ง จากไปโดยไม่หันมามอง
“พบได้ แต่ไม่จำเป็น…ถูกคนล่าสังหารทุกวัน ข้ายุ่งมาก”
หญิงสาวจากสำนักศึกษากวางขาวที่นั่งบนพื้นหน้าซีดขาว
คำพูดนี้เจ็บแสบยิ่งนัก…
…..
สวีจั้งที่เดินขึ้นเขารกร้างตบคนตาบอดที่ยังนั่งยองอยู่ที่เดิม พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปเถอะ พี่รอง”
คนตาบอดไม่ขยับแม้แต่นิด เอ่ยว่า “อย่าเรียกข้าพี่รอง”
“ก็ได้” สวีจั้งขมวดคิ้ว “พี่รอง…ท่านกำลังดูอะไร”
“…”
คนตาบอดเอามือกดกระบี่ตรงเอวเงียบๆ “เรียกข้าศิษย์พี่รอง”
“ศิษย์พี่รอง…ท่านกำลังดูอะไร”
คนตาบอดผมขาวดอกเลาถอนหายใจ “เด็กสาวสำนักศึกษาที่นั่งบนพื้นนั่นร้องไห้เสียใจมากเลย”
สวีจั้งถอนหายใจ “พี่…ศิษย์พี่รอง ใจกระบี่ของท่านสว่างไสว สงสารฟ้าเวทนาคน ชีวิตนี้ศิษย์น้องคงเอาอย่างไม่ได้”
คนตาบอดถอนหายใจอีก “หากเทพธิดาท่านนั้นแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวรู้เข้า จะต้องร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิมกระมัง”
สวีจั้งได้แต่เงียบ
คนตาบอดพูดอย่างจริงจัง “เจ้าแข็งกระด้างเช่นนี้ ข้าอ่อนโยนเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่มีใครชอบข้ากันล่ะ”
สวีจั้งยังคงเงียบ
สองคนลงจากภูเขารกร้าง
“เจ้าบอกความจริงข้ามา”
“อืม หืม”
“ที่ยกเด็กสาวจากอารามรู้กรรมนั่นให้ข้า เป็นเพราะ…เจ้ารู้ว่าข้ามองไม่เห็นใช่หรือไม่”
“ทุกคนรู้ว่าท่านมองไม่เห็น”
“เจ้าเข้าใจความหมายข้า”
สวีจั้งหยุดชะงัก พูดอย่างจนปัญญา “ใช่ นางเกิดมาหน้าตางดงามยิ่ง ไม่ควรถูกผู้ใดพบเห็น”
ศิษย์พี่รองกัดฟันด้วยความโกรธ
“โรคของนาง…ดีขึ้นบ้างหรือไม่”
“ไม่ ต้องใช้ยาของศิษย์พี่หญิง จะกำเริบทุกวันที่สิบห้าของเดือน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”
ผ่านไปพักหนึ่ง คนตาบอดก็พูดเสียงเบา “ได้ยินว่าเทพธิดาสุ่ยเยวี่ยแห่งถ้ำกวางขาวก็งดงามมากไม่ใช่รึ”
สวีจั้งพูดอย่างจริงจัง “เทียบไม่ได้ คนหนึ่งแค่งามแบบธรรมดา อีกคนงามแบบเป็นภัยต่ออาณาจักรและประชาราษฎร์”
………………………