บทที่ 2 ตอนที่ 4 ลาก่อนนะคู่หูตะวันออก-ตะวันตก

 

「ฟุฮ้าวววว~~~」

 

    ตอนเช้า ขณะที่กำลังเดินไปโรงเรียนก็ต่อสู้กับความง่วงที่คืบคลานเข้ามา

    อากาศสดใสของฤดูใบไม้ผลิช่วยอบอุ่นร่างกายและมีอุณหภูมิที่เหมาะแก่การนอน

    เกิดความต้องการอย่างรุนแรงว่าอยากหยุดเรียนแล้วไปนอนที่ไหนซักที่

    ที่ลอยเข้ามาในหัวในช่วงเวลาแบบนี้ ทำไมถึงต้องไปโรงเรียนด้วย? นั่นคือคำถาม

    โรงเรียน คือสถานที่สำหรับเรียนรู้ หรือถ้าเอาเป็นรูปธรรมก็เป็นสถานที่เพื่อรับวุฒิการศึกษาแล้วไปมองหางาน

    ไม่ว่าคุณจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย หรือทำงานเลยหลังจบมัธยมปลาย คุณก็ต้องเรียนจบมัยมปลายก่อน

    แต่ว่าผมได้ตันสินใจเรื่องอนาคตแล้ว นักผจญภัยล่ะ นักผจญภัยไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษา ซึ่งสามารถมองได้จากความจริงที่ว่าทำเงินได้เกินกว่า 10 ล้านเยนไปแล้วแม้ว่าจะยังเป็นนักเรียนม.ปลายก็ตาม

    หรือก็คือ ในด้านรายได้ ผมไม่จำเป็นต้องเรียนจบม.ปลายก็ได้ อันที่จริงไปเริ่มทำงานเต็มเวลาเลยมันจะได้กำไรมากกว่าด้วยซ้ำ

    พอคิดแบบนั้น มันก็ยิ่งทำให้การต่อสู้กับความง่วงแล้วไปโรงเรียนยิ่งเป็นเรื่องยุ่งยากมากขึ้น

    ก็นะ ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ก็ต้องไปอยู่ดีแหละ โรงเรียนเนี่ย

    นักผจญภัยมืออาชีพที่จบแค่ม.ต้น ถ้าเปิดตัวแบบนี้มีหวังได้โดนหัวเราะทั่ว internet แน่ พ่อกับแม่ก็คงไม่มีทางยกโทษให้อีก

    โรงเรียนไม่ได้เป็นสถานที่สำหรับการเรียนรู้เชิงวิชาการเท่านั้น มันยังมีเหตุผลอื่นอีก

    และยิ่งไปกว่านั้น…..

    พอผมสังเกตุเห็นร่างที่คุ้นตาด้านหน้าก็เริ่มวิ่งเบาๆ

    ส่งเสียงเรียกอย่างร่าเริงไปทางด้านหลัง

 

「อรุณสวัสดิ์ อุชิคุระซัง」

「อะ อรุณสวัสดิ์~ มาโร่คุง」

 

    พอเธอหันหลังกลับมาก็ส่งรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นมาให้ ซึ่งผมเองก็มีรอยยิ้มบานขึ้นบนใบหน้า

    …..และยิ่งไปกว่านั้น ที่โรงเรียนมีอุชิคุระซังอยู่ เพียงแค่นั้นก็คุ้มค่าที่จะไปแล้ว

 

     ฤดูหนาวหมดไป หลังจากปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิผมก็ได้ขึ้นเป็นปี 2 แล้วเนื่องจากการเปลี่ยนชั้นเรียน ทำให้ต้องกลับไปเป็นม็อบอีกครั้ง

    …..ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

    แน่นอนว่าผมยังคงอยู่ในชนชั้นท็อป

    ตามคาดว่าฉายาการเป็นนักผจญภัยที่ได้ไปออก TV เป็นเรื่องใหญ่

    แถมด้วยทั้งอุชิคุระซังและชิโนมิยะซังก็อยู่ห้องเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่ามันคือโชคชะตา

    ปีที่แล้วได้เข้าร่วมกลุ่มไปตอนปลายปี เพราะงั้นเลยมีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่พักหนึ่ง แต่จากนี้ต่อไปจะเปลี่ยนไปแล้ว

    คราวนี้ จะได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับอุชิคุระซังตั้งแต่เริ่มเปิดเรียน

    บรรยากาศระหว่างการที่มาเข้ากลุ่มทีหลัง กับอยู่กลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่แรกมันแตกต่างกันมาก

    อีกทั้ง ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางคนหน้าใหม่ๆ แต่เพราะพวกเราอยู่กลุ่มเดียวกันมาก่อนจึงสามารถเริ่มพูดคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าปีที่แล้ว

    …..น่าเศร้าที่คู่หูตะวันออก-ตะวันตกลงเอยไปอยู่ห้องอื่น แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับชั้นเรียนใหม่

    ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ระยะห่างระหว่างอุชิคุระซังก็จะค่อยๆสั้นลงเรื่อยๆด้วย…..!

    ผมแอบตัดสินใจอยู่ในใจ

 

「วันนี้ มีอะไรกันรึเปล่า?」

「เมื่อวานอาจารย์บอกว่าจะมีการตรวจสมรรถภาพร่างกายไง」

「อา~ นั่นสินะ」

 

    อุชิคุระซังพูดคุยอย่างเป็นกันเองขณะเดิน

    การได้เป็นเพื่อนกับเธอแล้วสามารถทักทายอย่างเป็นกันเองระหว่างเดินไปโรงเรียน เมื่อ 1 ปีก่อนคงเป็นได้แค่คิดเพ้อฝัน

    จนถึงตอนนี้ ที่ผมทำได้ก็แค่มองดูเธออยู่ห่างๆ ถ้าหากวาไม่ได้เป็นนักผจญภัยแล้วล่ะก็ ตอนนี้เองก็คงจะเป็นเหมือนเดิม และในปีถัดไปด้วย

    ถ้ามาคิดดู เดาว่าผมก็ค่อยๆก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นเรียจู

    …..ถึงจะยังไม่มีวี่แววว่าจะหาแฟนสาวตัวเป็นๆได้ก็เถอะ

 

 

    เมื่อก้าวเข้าห้องเรียนขณะที่คุยกับอุชิคุระซังไปด้วย นักเรียนในห้องเรียนส่วนใหญ่ก็มากันแล้ว

    …..ในช่วงเวลาขึ้นชั้นปีใหม่แบบนี้ จะเป็นตอนที่ความสัมพันธ์ของมนุษย์ถูกรีเซ็ตใหม่ในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก่อนคาบ HR ตอนเช้า มันก็นับว่าสำคัญ พวกที่ละเลยจุดนี้จะต้องพบตัวเองตกในสถานการณ์ลำบาก

    นี่ไม่เกี่ยวข้องกับชนชั้นห้องเรียนแต่อย่างใด เพราะมันเป็นการทำนายว่าคุณจะสามารถมีความสุขในช่วงเวลาอีก 1 ปีที่จะมาถึงนี้หรือไม่

    ยกตัวอย่าง หมอนั่นที่ก้มหน้านอนอยู่บนโต๊ะตรงนั้น…..ถ้ายังทำแบบนั้นต่อไป จะต้องอยู่โดดเดี่ยวไปทั้ง 1 ปีแน่ๆ

    ผมแอบเตือนเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่เคยพูดด้วยอยู่ในใจแล้วทำการมองไปรอบๆ

    ชั้นเรียนถูกเปลี่ยนมาแล้ว 1 อาทิตย์ ภายในห้องเรียนก็ดูจะมีการจับกลุ่มกันแล้วหลายกลุ่ม

 

    ที่ส่งเสียงคุยกันดังที่สุดอยู่น่าจะเป็นของกลุ่มชมรมกีฬา

    พวกเขาเหล่านี้มักจะถูกฝึกให้ส่งเสียงดังในช่วงการฝึกซ้อม ทำให้เสียงดังอย่างช่วยไม่ได้เลยสามารถบอกได้ง่าย

    กลุ่มนี้โดยพื้นฐานแล้วก็จะแบ่งเป็นชาย-หญิง แต่เอกลักษณ์ของกลุ่มนี้คือมักจะมีการพูดคุยกันไปมาทั้งชาย-หญิง

    เพราะแบบนี้ ไม่ใช่ว่านี่เป็นกลุ่มที่เข้าใกล้กับการเป็นเรียจูมากที่สุดหรอกเหรอ? นี่เป็นสิ่งที่ผมสงสัย

    และกลุ่มนี้ก็มักจะจองพื้นที่ริมหน้าต่างอยู่เสมอ

 

    ต่อไป กลุ่มของเด็กชาย-เด็กหญิงที่ดูโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยชมรมวัฒนธรรมกับพวกกินพืชจากชมรมกลับบ้าน

    หน้าตามีผสมกันทั้งดูดีและดูไม่ดี โดยรวมแล้วก็เป็นทั่วๆไป

    เอกลักษณ์ของกลุ่มนี้ ด้วยบางเหตุผลทั้งชายและหญิงจะพยายามไม่พยายามเข้าหากันมากนัก แต่ก็ไมไ่ด้หมายความว่ามีเรื่องไม่ถูกใจอะไรกัน อันที่จริงจะเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขามีความสนใจในเพศตรงข้าม

    แล้วบางทีอาจจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับพวกชมรมกีฬาเพราะว่าไปจองพื้นที่ตรงกำแพงที่อยู่ตรงข้ามกัน

 

    ส่วนที่อยู่ตรงมุมห้องก็คือกลุ่มโอตาคุ เป็นกลุ่มน่าเศร้าที่มีแค่ผู้ชาย

    อาจจะมีโอตาคุผู้หญิงในห้องเรียนอยู่บ้าง แต่น่าจะไปอยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่แทนที่จะมาอยู่ในกลุ่มโอตาคุ ซึ่งกลุ่มโอตาคุชายล้วนจะถูกบังคับให้โดดเดี่ยวตามธรรมเนียม

    เหตุผลที่อยู่ตรงมุมห้องก็เพราะที่นั่งของตัวเองถูกคนอื่นแย่งไป จึงไม่มีทางเลือกเว้นแต่ต้องไปอยู่ตรงนั้น

    น่าเศร้าแต่ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มที่อยู่ในชนชั้นล่าง ผมเองตอนพักก็มีไปเล่นด้วยบ้าง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะโดนคนอื่นดูถูก แต่ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดี

 

    นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีที่อยู่กระจัดกระจายไปทั่วห้องโดยไม่มีใครคบ แต่คราวนี้จะยังไม่ขอพูดถึง พวกเขาเหล่านี้เลือกที่จะไม่อยู่ในกลุ่ม เป็นนักรบเดียวดาย

 

    ท้ายที่สุด ทั้งชายและหญิงที่คุยและหัวเราะให้กันที่ตรงกลางของห้องเรียน กลุ่มของชนชั้นท็อปพร้อมเหล่าตัวสำรองผู้ติดตาม

    คนของชนชั้นท็อป คือพวกที่มีหน้าตาโดดเด่น มีความสามารถแบบ only one ซึ่งผมเองก็ถูกรวมอยู่ในนี้ด้วย

    สมาชิกปัจจุบันมี ชิโนมิยะซังนางแบบมือสมัครเล่น, อุชิคุระซังเพื่อนสมัยเด็กและเพื่อนสนิทของเธอ, ผมนักผจญภัยที่มีความเคลื่อนไหวอยู่, ชินโดหนุ่มหล่อเอสของทีมเทนนิส, และโอโน่ดาวตลก

    ใช่แล้ว โอโน่เองก็อยู่ห้องเดียวกัน สงสัยจริงว่าทำไมคู่หูตะวันออก-ตะวันตกถึงไปอยู่คนละห้อง แต่หมอนี่กลับอยู่ห้องเดียวกัน…..เอาเถอะ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหมอนี่

 

    เหล่าตัวสำรอง คือกลุ่มผู้คนที่ไวต่อแฟชั่นและเทรนด์ต่างๆ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ไม่มีหน้าตาหรือเซนส์ที่ดีมากพอจะไปอยู่ในท็อปได้

    กลุ่มตัวสำรองนี้ค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่นิดหน่อย ซึ่งภายในยังแยกได้เป็น 2 แบบได้อีก คือ กลุ่มที่ทำตัวเป็นผู้ติดตามของชนชั้นท็อป กับอีกส่วนที่พยายามจะเอาตัวไปแทนที่ชนชั้นท็อป

    ส่วนแรกจะประกอบไปด้วยเพื่อนๆของชิโนมิยะซังและชินโดเป็นหลัก ส่วนหลังเป็นกลุ่มรวมชาย-หญิงที่นำโดยโมเดลมือสมัครเล่น อิชิโจ คาโอริ และหนุ่มหล่อลากดินชิชิโด

 

    …..ตามที่ได้เห็นไปนั้น กลุ่มของอิชิโจเองก็เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพมากพอจะเป็นชนชั้นท็อปได้ และอันที่จริงก็ได้เป็นชนชั้นท็อปไปแล้วในช่วงชั้นปีที่ 1

    ทว่าในชั้นเรียนใหม่ ทั้งชิโนมิยะซังและชินโด ทั้ง 2 คนที่กล่าวได้ว่ามีศักยภาพที่เหนือขั้นกว่า มาอยู่ในห้องเรียนเดียวกัน

    ส่งผลให้พวกเธอกลายเป็นตัวสำรอง…..หรือก็คือกลุ่มหมายเลข 2 ไป

 

    แน่นอนว่าพวกเธอมองชนชั้นท็อปเป็นศัตรู โดยอิชิโจมองชิโนมิยะ และชิชิโดมองชินโดเป็นพิเศษ

    ในอีกด้านหนึ่ง ทั้งชิโนมิยะซังและชินโดกลับไม่มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยซักนิด ทางชิโนมิยะซังมองว่าอีกฝ่ายอยู่คนละระดับที่ต่ำกว่ามาก ส่วนชินโดที่มีนิสัยเป็นกลางก็ไม่รู้สึกถึงความประสงค์ร้ายเลยด้วยซ้ำ

 

    …..ชนชั้นห้องเรียนในวันนี้เองก็ยังคงซ้ำซ้อนอยู่เหมือนเคย

 

    ตอนอยู่ปี 1 ผมหักห้ามใจไว้ไม่ได้และต้องการจะเป็นชนชั้นท็อป แต่พอได้เป็นจริงๆแล้ว 「แบบนี้มันไม่ใช่」ความรู้สึกนี้กลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกวัน

    พูดกันตามตรง ในตอนนี้ผมไม่มีความสนใจในเรื่องของชนชั้นห้องเรียนอีกแล้ว ไม่ได้อยากจะโดนดูถูก แต่ก็ไม่อยากจะรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้เลย เป้าหมายปัจจุบันของผมไม่ใช่การไปอยู่ด้านบนของชนชั้นห้องเรียน แต่คือการเป็นเรียจูแล้วก้าวไปข้างหน้าในฐานะนักผจญภัยให้ได้แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

    แต่ถึงจะพูดแบบนั้น จะให้เมินเฉยการสร้างความสัมพันธ์กับคนในห้องเรียนเลยเพราะว่าไม่สนใจมันก็ไม่ได้

    ความอิจฉาริษยา…..เชื้อไฟมันยังคงมีคุกรุ่นอยู่ทุกที่ ถ้าหากอยู่เฉยและปล่อยตัวตามสบายไปกับตำแหน่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่จะรอในภายภาคหน้าก็คงเป็นการพังทลาย

    นั่นเป็น สิ่งที่แม้แต่ผมที่เอาตัวรอดมาจากหลากหลายสถานการณ์ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงมันได้

    มันก็คือ การศึกษายังไงล่ะ

    สถานที่ที่เอาไว้เรียนรู้วิธีการหลีกเลี่ยงการถูกโดดเดี่ยว เมื่อถึงเวลาต้องออกจากกลุ่มของนักเรียนนี้แล้วไปยังกลุ่มอื่น….. นั่นก็คือโรงเรียน, ชนชั้นโรงเรียนยังไงล่ะ

    พอผมมองดูรอบห้องแบบผ่านๆและยืนยันได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสมดุลอำนาจภายในห้องแล้ว ผมกับอุชิคุระซังก็เดินไปตรงกลางห้องเรียน

 

「โอ้ อาจารย์! อรุณสวัสดิ์เน่อ!」

 

    คนแรกที่กล่าวทักทายมาคือโอโน่ ชายผู้ใช้สำเนียงคันไซแปลกๆ

    เนื่องจากถูกเรียกว่าอาจารย์มาตั้งแต่ปีแรกทั้งๆที่ไม่ได้อนุญาต จนทำให้บทเป็นอาจารย์ของหมอนี่กลายเป็นความจริงที่แพร่ออกไป

    ขนาดที่ผมซึ่งเป็นเจ้าตัวบอกปฏิเสธไปก็ไม่สามารถแก้อะไรได้แล้ว

 

「อรุณสวัสดิ์ แล้วก็ไม่ใช่อาจารย์ซักหน่อย」

 

    แม้มันจะสายไปแต่ก็ต้องปฏิเสธไปก่อน ถ้าไม่ปฏิเสธชัดๆแล้วล่ะก็มันจะกลายเป็นยอมรับไป

    โอโน่ยิ้มกรุ่มกริ่มให้กับการขัดขืนเล็กน้อยของผม

 

「แหมแหม ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ในการเลื่อนระดับเป็น 2 ดาวของผมอยู่ล่ะนะ」

「อุ…..」

 

    เพราะทิ่มโดนตรงที่เจ็บจึงทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก

    ใช่แล้ว ไปๆมาๆผมก็ได้ไปช่วยเจ้าสำเนียงคันไซของเก๊นี่นิดหน่อย

    ขายการ์ดแรงค์ D, E ที่ไม่ได้ใช้งานให้ในราคาที่ถูกกว่าตลาด แล้วก็สอนเรื่องอุปกรณ์ที่มีประโยชน์ภายในเขาวงกตแรงค์ E…..

    อาจจะเพราะแบบนั้น หมอนี่จึงสามารถเป็น 2 ดาวได้ตอนช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ

 

「ไม่ค่อยจะรู้เรื่องนักผจญภัยเท่าไหร่หรอกแต่ การจะเป็น 2 ดาวได้นี่มันยากมากเลยเหรอ?」

 

    คนที่ถามมาก็คือ ชินโด โคอิจิ ที่มาเข้ากลุ่มเดียวกันหลังจากขึ้นปี 2 มา

    หนุ่มหล่อหน้าหวานตัวสูงให้อารมณ์สดชื่นพร้อมนิสัยดี แถมเป็นเอสชมรมเทนนิส สมกับเป็นยอดมนุษย์สมบูรณ์แบบ

    ราวกับว่าเป็นเรียจูในชีวิตจริงตามที่ผู้คนนึกภาพเอาไว้แบบเป๊ะๆ

 

「ใช่แล้วล่ะ! ดาวเดียวน่ะแค่จ่ายเงินไปมันก็ได้แล้ว แต่กับ 2 ดาวแล้วต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยเพราะต้องเข้ารับการสอบยังไงล่ะ」

 

    โอโน่ที่รับเอาคำของชินโดเข้าไปอย่างจริงจัง ก็เริ่มสาธยายถึงความยากในการเป็น 2 ดาว

 

「อย่างแรกเลย กับดักจะเริ่มโผล่มาในเขาวงกตของ 2 ดาว แล้วเนี่ยแย่สุดๆเลย ถ้าไม่มีบาเรียของการ์ดกับชุดเกราะก็ไม่รู้ได้ตายไปแล้วกี่รอบ….. ไม่ใช่ว่าอาจารย์เองก็เคยบอกว่าโดนลูกศรจากหน้าไม้ปักเข้ากลางอกหรอกเหรอ~?」

「หืม? อา…..」

 

    พอผมพยักหน้า เพื่อนร่วมชั้นที่อยู่รอบๆก็「โอ้!」กับ「แย่เลยน้า~」ส่งเสียงกัน

 

「ความลึกของเขาวงกตเองก็แตกต่างจากตอนเป็นแค่ 1 ดาว

    ไม่เหมือนกับเขาวงกตแรงค์ F ที่สามารถจบได้ในวันเดียว ของแรงค์ E จำเป็นจะต้องอยู่ค้างคืน ซึ่งมันทำให้ร่างกายของนักผจญภัยต้องรับภาระหนัก ผมเองที่ไปลงแรงค์ E ยังต้องใช้เวลาพิชิตถึง 3 วันแหนะ

    แถมนั่นไม่ใช่การลงรอบเดียวผ่านด้วย ต้องท้าทายมันจนผ่านได้ก็ปาไปรอบที่ 3 เลย พูดตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิก็คงผ่านไม่ได้หรอก」

「เห~ ใช้เวลามากขนาดนั้นเลยเหรอ」

「แถมไม่ใช่การออกแคมป์แต่เป็นภายในเขาวงกตที่มีมอนสเตอร์ด้วยใช่ไหม? ชั้นคงทำไม่ได้หรอก~」

 

    โอโน่ได้เหล่าเพื่อนร่วมชั้นแสดงปฏิกริยาตอบรับจึงพูดต่อ

 

「แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้นนะ ภายในเขาวงกตแรงค์ E เลเวลของมอนสเตอร์เองก็เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย ถึงแม้กับมอนสเตอร์รายทางแล้วจะใช้แค่การ์ดแรงค์ D 1 ใบก็พอแล้วก็เถอะ

    แต่กับบอสที่เหมือนกันกับการ์ดแรงค์ D แถมตัวบอสยังได้รับพลังเสริมอีก ถ้าสู้ตัวต่อตัวไม่มีทางชนะได้เลย หรือก็คือ อย่างน้อยต้องใช้การ์ดแรงค์ D  2 ใบหรือที่แนะนำคือ 4 ใบเลยล่ะ

    ผมพอจะใช้การ์ดแรงค์ D 3 ใบที่เตรียมไว้จนเครียมาได้ ถ้าหากว่ามีน้อยกว่านั้น 1 ใบแล้วล่ะก็ อาจจะได้ลอสไปซักใบแน่ๆ」

「ลอสนี่…..การ์ดแรงค์ D ใบนึงราคาตั้งหลายล้านใช่ไหม? ฟิ้ว~」

「จะว่าไป เคยได้ยินคนพูดใน TV ว่าอัตราการผ่านของ 2 ดาวคือ 50% สินะ แถมด้วยกว่าครึ่งหนึ่งยังยอมแพ้เรื่องที่จะขึ้น 2 ดาวอีกต่างหากแหนะ」

「อย่างที่คิดนักผจญภัยนี่เงินดีแต่ความเสี่ยงเองก็สูงตามงั้นสิน้า~」

 

    หลังจากนั้นโอโน่ก็พูดเกี่ยวกับความลำบากของการสอบเลื่อนระดับ 2 ดาวต่อ

    ตรงนั้น รู้สึกได้ว่าสายตาที่เพื่อนร่วมชั้นมองไปที่โอโน่เริ่มจะค่อยๆเปลี่ยนไป

    จนถึงตอนนี้เพื่อนร่วมชั้นที่เพิ่งเปลี่ยนชั้นเรียนมายังคงไม่รู้เรื่องของโอโน่มากนัก ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมคนอย่างโอโน่ถึงได้ขึ้นไปอยู่บนชนชั้นท็อปได้

    เอาแบบไม่อ้อมค้อมเลยก็ เป็นไอ้อ้วนที่อยู่ในกลุ่มได้ก็เพราะมีเส้นสายกับพวกชิโนมิยะซังและผม….. นั่นก็คือสิ่งที่เพื่อนร่วมชั้นประเมินโอโน่ บรรยากาศในห้องเองก็เป็นแบบทุกคนต้องการจะไปแทนที่ตัวเขาให้ได้

    โอโน่เองก็รู้สึกตัวเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้นหลังเปลี่ยนชั้นเรียน

    ด้วยเหตุนี้โอโน่จึงพยายามเป็น 2 ดาวให้ได้ ถึงขนาดที่มาคุกเข่าขอร้องผมตอนช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ

    ในตอนนั้น…..ถึงกับตะลึงจริงๆ

    เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีใครซักคนมาคุกเข่าขอร้องจริงๆ ด้านอิมแพ็คของมัน…..ราวกับเป็นการข่มขู่ได้เลย

    ทว่าเพียงแค่นั้นก็สามารถรับรู้ความจริงจังของโอโน่ ผมจึงตัดสินใจช่วยเหลือหมอนี่ไป

    แล้วเขาก็สามารถผ่านการสอบ 2 ดาวได้อย่างงดงาม

    เท่าที่ผมรู้ คนที่จริงจังกับชนชั้นห้องเรียนมากกว่าใครก็คงหนีไม่พ้นโอโน่

 

「…..มาโระจิเองก็อุตส่าห์ลำบากไปช่วยอีก น่าจะปล่อยหมอนั่นเอาไว้คนเดียวน้า」

 

    ขณะที่โอโน่ถูกรายล้อมจากเพื่อนร่วมชั้น ชิโนมิยะซังก็กระซิบมา

 

「ก็นะ ผมเองก็ได้ประโยชน์หลายๆอย่างกลับมาแหละ」

 

    การ์ดที่ผมขายให้กับโอโน่ จะมีราคามากกว่าราคาขายตลาดอยู่ 20%

    หมอนั่นสามารถซื้อในราคาที่ถูกกว่าไปซื้อจากกิลล์ ส่วนผมก็ขายได้ราคามากกว่าการนำไปขายที่กิลล์ เป็นการแลกเปลี่ยนแบบ WIN-WIN

    แถมด้วย มีทำข้อตกลงเอาไว้โดยที่ในอนาคตโอโน่จะให้ลำดับความสำคัญในการซื้อการ์ดจากผมก่อนการไปซื้อกิลล์

    อีกทั้งการแลกเปลี่ยนไม่ได้ใช้เงินสด แต่เป็นการใช้หินเวทที่ได้มาจากเขาวงกตแทน

    ในการแลกเปลี่ยนเงินสด ปัญหาภาษีย่อมตามมาเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พอเป็นหินเวทแล้วก็ไร้ปัญหา

    นั่นเพราะการคิดภาษีของนักผจญภัยจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนำสิ่งที่รวบรวมมาได้ไปแปลงเป็นเงิน

    เมื่อผมขายหินเวทนั้นไปพร้อมกับซื้อการ์ดมาในเวลาเดียวกัน ก็จะได้ลดหย่อนภาษีตามจำนวนนั้น

    มันเป็นเทคนิคการประหยัดภาษีเล็กๆที่รู้กันดีในหมู่นักผจญภัย

    ในตอนนั้นเอง สายตาของผมก็ไปสบเข้ากับโอโน่พอดี หมอนั่นจึงยิ้มมา

 

「แหม~ อย่างที่คิดไว้เลยว่าโลกของนักผจญภัยเนี่ยแค่ต่างกันดาวเดียวก็ราวกับเป็นคนละโลกแล้ว แค่เปลี่ยนจาก 1 ดาวเป็น 2 ดาวก็มีความแตกต่างอย่างมหาศาลทั้งความเสี่ยงและผลตอบแทน ถ้าการเป็น 2 ดาวเป็นแบบนี้แล้ว สงสัยจังเลยว่าโลกของ 3 ดาวมันจะสุดยอดขนาดไหนน้า」

 

    ด้วยการชักนำของโอโน่ ผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเพื่อนร่วมชั้นที่ค่อยๆเปลี่ยนไปจาก「ไม่ค่อยจะรู้จักมากแต่เป็นคนสุดยอดที่ได้ออก TV」ไปเป็นความเคารพอย่างจริงใจ

    อันนี้เองก็อาจจะเป็นการตอบแทนในรูปแบบของเขา เพียงเท่านี้ผมก็สามารถรักษาสถานะของตัวเองโดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องชนชั้นไปได้ราวปีนึง มันเป็นข้อความจากโอโน่เพื่อที่จะให้ผมสามารถจดจ่อกับการเป็นนักผจญภัยต่อไปได้โดยไม่ต้องมากังวลเรื่องยุ่งยากอย่างชนชั้นห้องเรียน

    ก็นะ เดาว่าเบื้องหลังก็คงอยากจะเสริมความแข็งแกร่งให้คนที่มาเป็นแบ็คอัพตัวเองนั่นแหละ

    ให้ตายสิหมอนี่เนี่ยน้า…..

    ขณะที่ผมยิ้มแห้งๆให้กับความเจ้าเล่ห์ของโอโน่ ประตูของห้องเรียนก็เปิดออกพร้อมเสียงดัง-แกร่ก-

    ทั้งห้องต่างหันไปมองด้วยความสงสัยว่าอาจารย์โฮมรูมจะมาแล้ว—-แต่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็นเด็กสาวแสนสวยพร้อมผมสีแดงสดใส

    แม้ว่าตัวจะเล็กและเพรียวบางแต่ร่างกายก็โค้งเว้าตรงส่วนที่ควรมี ผิวที่ขาวและดวงตาสีฟ้าราวอัญมณีเป็นตัวแยกเธอออกจากชาวญี่ปุ่น ด้วยรูปลักษณ์อันสวยงามของเธอ รู้สึกได้ว่าเป็นความสวยงามในแบบลูกครึ่งญี่ปุ่นตามแบบที่ผู้คนชื่นชอบ

    …..เดี๋ยวนะ ใบหน้านั่น เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

    เด็กสาวผมแดงกวาดตามองไปรอบห้องเรียน แล้วพอเธอสบตาเข้ากับผม ใบหน้าก็แจ่มใสขึ้น

 

「รุ่นพี่! ไม่เจอกันนานเลยส์! แหม ตามหาซะแทบแย่」

 

    เธอตรงเข้ามาหาทำเอาผมเก็บซ่อนความตกใจเอาไว้ไม่ได้

    ท-ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่…..

 

「จำชั้นได้รึเปล่า? คาโน่ อันนาไงล่ะส์」

「อ-อา…..ไม่เจอกันนานเลย」

 

    ตั้งแต่การแข่งนั้นก็ไม่ได้เจอหน้ากันจริงๆอีกเลย แต่ก็ยังจำตัวตนได้อยู่เพราะบางครั้งบางคราวเธอจะมีทักมาทาง line ตามอารมณ์

    แต่ว่า…..

 

「ท-ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?」

「หุหุ เห็นเครื่องแบบนี่แล้วยังเดาไม่ออกอีกเหรอส์?」

 

    พูดแล้วอันนาก็หมุนตัว พร้อมมองมาที่ผมด้วยหน้าตาอวดดี

 

「หรือว่า จะย้ายมาโรงเรียนเรา? เอ๋? ทำไมล่ะ?」

「นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เพราะว่ามีรุ่นพี่อยู่ยังไงล่ะส์!」

『โอ้!?』

 

    ทั้งห้องส่งเสียงอื้ออึงจากคำของอันนา ทุกคนต่างพากันทำตาเป็นประกาย

    จู่ๆก็มีเด็กสาวลูกครึ่งแสนสวยเข้ามาหาถึงที่ห้องเรียนของรุ่นพี่แล้วบอก「ย้ายโรงเรียนมาเพื่อจะได้เจอคุณ」เท่านี้ก็สร้างอิมแพ็คได้อย่างมากแล้ว

    ผมนี่ถึงกับเกินคำว่าตกใจจนกลายเป็นเวียนหัว

    ไม่สิ เดี๋ยวนะ รอก่อน ขอเรียบเรียงความรู้สึกแป๊ป…..เอ๋? หรือว่า จะหมายถึงแบบนั้น?

    ในตอนที่จิตใจวัยรุ่นของผมกำลังจะควบคุมไม่อยู่นั้นเอง อันนาก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมา

 

「รุ่นพี่ มาตั้งชมรมนักผจญภัยด้วยกันกับชั้นเถอะ!」

 

 

 

 

 

【Tips】การจ่ายด้วยหินเวท

    เทคนิคที่ถูกใช้เมื่อมีการซื้อขายการ์ดกันระหว่างนักผจญภัย การซื้อขายการ์ดของนักผจญภัยจะถูกบันทึกไว้เป็นค่าใช้จ่าย แต่จะต้องเป็นสิ่งของที่ซื้อจากร้านขายการ์ดที่เป็นทางการอย่างเช่น กิลล์, หรือการประมูลออนไลน์อย่างเป็นทางการถึงจะถูกมองว่าเป็นค่าใช้จ่าย สิ่งของที่ซื้อขายระหว่างนักผจญภัยจะไม่ถูกมองว่าเป็นค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าบางครั้งจะสามารถได้บางอย่างมาในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาด แต่สุดท้ายเมื่อถูกภาษีก็อาจจบลงที่ต้องจ่ายมากกว่าไปแทนได้

    เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนั้น จึงมีการคิดค้นการจ่ายด้วยหินเวทที่ใช้หินเวทมาแลกเปลี่ยนแทนการใช้เงินสด

    ตรงนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาษีขึ้นได้ แต่อีกด้านหนึ่งมันก็จะไปเพิ่มปัญหาอื่นๆขึ้นหลายอย่างเช่น เป็นการ์ดที่ถูกขโมยมา, หรือการเอาหินเวทปลอมมาผสม

    ทางที่ดีที่สุดจึงเป็นการใช้มันในการแลกเปลี่ยนกับคนรู้จักที่เชื่อใจได้เท่านั้น