บทที่ 30 สุขกายและสุขใจ

นายท่านใจกว้างนัก!

ลั่วสุ่ยคิดว่าชายชราสองนี้คนช่างโชคดียิ่ง หลังจากที่ทั้งคู่ได้ดื่มชาเซียนแล้ว พวกเขายังได้รับภาพวาดของผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ก่อนจากไปอีกด้วย…

“ขอบคุณมากท่าน!”

ลวี่เหลียงขอบคุณหลี่จิ่วเต้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภาพวาดทิวทัศน์มีวิถีแห่งเต๋าที่มากเกินกว่าจะจินตนาการได้ นับว่าเพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะทำความเข้าใจไปตลอดชีวิต!

ย่อมแน่นอนว่า ภาพวาดทิวทัศน์นั้นจะกลายเป็นมรดกที่ใหญ่ที่สุดในสำนักเมฆาลับฟ้า และสำนักพวกเขาสามารถพึ่งพาภาพวาดเพื่อให้มีพลังเทียบเท่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้!

“ไม่ต้องสุภาพนักหรอก”

หลี่จิ่วเต้ายิ้ม เขารู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าผู้ฝึกตนนั้นไม่ได้แตกต่างจากปุถุชนมากจริง ๆ มนุษย์มีความสนใจของพวกเขาฉันใด ผู้ฝึกตนก็มีความสนใจฉันนั้นเช่นกัน

ลวี่เหลียงจากไปพร้อมกับบรรพชนของสำนักเมฆาลับฟ้า ทั้งยังนำงานเขียนพู่กันและภาพวาดกลับไปด้วย

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้กลับไปที่สำนักเมฆาลับฟ้าในทันที แต่มายังสำนักไท่หัวก่อน

“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ต้องตายแล้วสินะ”

เวิงอู๋โยว บรรพชนสำนักไท่หัวออกมาพบเขาด้วยตนเอง หลังจากที่ได้เห็นบรรพชนของสำนักเมฆาลับฟ้ากับลวี่เหลียงอยู่ด้วยกัน เขาก็รู้ได้ทันทีว่าปัญหาของบรรพชนของสำนักเมฆาลับฟ้าได้รับการแก้ไขแล้ว เพราะบรรพชนของสำนักเมฆาลับฟ้าต้องติดตามลวี่เหลียงเพื่อไปพบผู้อาวุโสอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ เขายังเห็นภาพวาดทิวทัศน์ที่แขวนอยู่ในร้าน และยังสัมผัสได้ถึงธรรมชาติอันเหนือล้ำจินตนาการ

บรรพชนของสำนักเมฆาลับฟ้าจะได้รับประโยชน์อย่างมากแน่นอนเมื่อพวกเขาได้เห็น และปัญหาที่เรียกว่าขีดจำกัดของตนเอง ก็จะไม่สร้างปัญหาให้กับบรรพชนของสำนักเมฆาลับฟ้าอีกเลย

“งาช้างมิงอกจากปากสุนัข*[1]หรอกนะ เจอหน้ากี่ครา ปากก็พูดถึงแต่เรื่องตาย ๆ คงจะอยากเห็นข้าตายไม่ไหวเสียแล้วกระมัง!”

บรรพชนของสำนักเมฆาลับฟ้า ‘โจวตง’ กล่าวด้วยความโกรธา

“ใช่ ข้าอยากให้เจ้าตาย ๆ ไป สำนักไท่หัวเราจะได้ผนวกกับสำนักเมฆาลับฟ้าของเจ้าเสียที!”

“ไสหัวไปให้ไกล อาศัยความแข็งแกร่งของสำนักไท่หัวอย่างเดียว สร้างคลื่นลมให้กับสำนักเมฆาลับฟ้าเรามิได้หรอก!”

เห็นเช่นนี้แล้วแต่บรรพชนทั้งสองเป็นเพียงคู่กัดกันเท่านั้น นับตั้งแต่วัยเด็กพวกเขาออกเดินทางไปด้วยกัน พานพบประสบกับอันตรายถึงชีวิตและความตายมามาก ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พวกเขามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน

ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่เวิงอู๋โยวจะถามโจวตงว่า “เจ้าได้เห็นผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่คนนั้นหรือไม่”

“อืม ข้าเห็นแล้ว ขอบเขตของผู้อาวุโสนั้นเกินกว่าที่ข้าจะจินตนาการได้จริง ๆ…”

โจวตงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นผู้อาวุโสที่ทรงพลังเช่นนี้ ซ้ำขอบเขตยังสูงส่งมิน้อย ครานี้นับว่าเบิกเนตรเขาแล้ว ในโลกถึงกับมีตัวตนที่น่ากลัวและน่าเกรงขามเช่นนี้อยู่!

“ใช่”

เวิงอู๋โยวก็รู้สึกสะท้านใจเช่นกัน หากมิได้เห็นด้วยตาของตนเอง เขาก็คงจะไม่เชื่อว่ามีผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้อยู่ในโลกด้วย!

“เรามาพูดเรื่องที่จริงจังกันเถิด”

โจวตงหยิบภาพวาดทิวทัศน์ออกมา ก่อนจะพูดว่า “ผู้อาวุโสมอบภาพวาดนี้ให้แก่สำนักเรา หลังจากที่ข้ากลับไปทำความเข้าใจ พลังของข้าจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน! ส่วนเจ้าก็ได้รับประโยชน์มากมายจากผู้อาวุโส ข้าว่า…ครานี้เราเข้าไปในซากโบราณนั่นได้อีกครั้งนะ”

เวิงอู๋โยวพยักหน้าและเอ่ย “เจ้าคิดเหมือนข้ามิมีผิด!”

บูรพาทิศนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ย้อนกลับไปเมื่อยังเด็ก พวกเขาเดินทางไปแดนตะวันออกด้วยกัน และบังเอิญพบเข้ากับซากโบราณสถานแห่งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม มีชั้นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งปกคลุมอยู่ในซากโบราณ และพวกเขาไม่สามารถทะลวงผ่านชั้นพลังนั้นได้

ต่อมา มีคนรายงานเรื่องซากปรักหักพังโบราณกับเบื้องบน แล้วคนทั้งหมดของสำนักเมฆาลับฟ้ากับสำนักไท่หัวก็ออกเคลื่อนไหวเพื่อสำรวจ แต่ในท้ายที่สุด ก็ไม่มีใครที่สามารถทำลายชั้นพลังนั้นได้อยู่ดี

เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาเติบโตขึ้นทีละน้อย ๆ ก่อนจะกลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเมฆาลับฟ้ากับสำนักไท่หัวตามลำดับ 

และจากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นบรรพชนของทั้งสองสำนัก

ทว่าทั้งคู่ไม่เคยลืมซากโบราณสถานนั้นเลย ซ้ำยังยืนกรานอยู่เสมอที่จะเปิดซากโบราณสถานนั่น ก่อนหน้านี้ พวกเขาไปที่นั่นด้วยกันโดยหวังว่าจะสามารถเปิดซากโบราณสถาน เพื่อรับโอกาสและแก้ปัญหาขีดจำกัดของตนเอง

น่าเสียดายที่แม้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นบรรพชนที่มีอำนาจสูงสุดในบูรพาทิศแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่สามารถทำลายชั้นพลังของซากโบราณสถานได้เลย

ทว่าตอนนี้มันแตกต่างออกไป

พวกเขาได้รับโอกาสครั้งใหญ่จากหลี่จิ่วเต้า และขอบเขตความแข็งแกร่งของพวกเขาก็สามารถปรับปรุงได้แบบก้าวกระโดด ทั้งคู่รู้สึกว่าครั้งนี้พวกตนน่าจะสามารถทำลายชั้นพลังของซากโบราณสถานได้

“เช่นนั้น หลังจากข้าทะลวงขั้นและรวบรวมผู้คนได้แล้ว ข้าจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้ง”

โจวตงกล่าวอำลาเวิงอู๋โยว จากนั้นก็กลับไปที่สำนักเมฆาลับฟ้าพร้อมกับลวี่เหลียง

หวนกลับมา ณ เมืองชิงซาน

หลี่จิ่วเต้าใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล ชายหนุ่มไม่มีอะไรให้ทำมากนอกจากเขียนกลอน วาดภาพ เล่นกู่ฉิน จากนั้นก็พาลั่วสุ่ยไปเดินเล่นและเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงาม หาได้พูดเกินจริงไม่ เขามีความสุขยิ่งกว่าเทพเจ้าเสียอีก!

ลั่วสุ่ยในช่วงเวลานี้ค่อนข้างสงบ นางไม่ค่อยตกอกตกใจกับอันใดแล้ว เพราะนางเริ่มจะเคยชินกับผู้อาวุโสเป็นที่เรียบร้อย

นางไม่ชินได้หรือ?

งานเขียนพู่กันที่ดูไร้ประโยชน์ในสายตาผู้อาวุโสกลับมีวิถีแห่งเต๋าอันสูงส่งอยู่ ขณะที่ภาพวาดที่เขาไม่พอใจก็มีแนวคิดทางศิลปะสูงสุดแฝงเร้นไว้ ส่วนกู่ฉินน่ะหรือ… ผู้อาวุโสดีดสายเพียงสองคราข้านึกว่าเป็นเสียงจากสวรรค์!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางจะไม่ชินกับมัน!

ในช่วงหลายวันมานี้ เซี่ยเหยียนมาหาหลี่จิ่วเต้าในตอนที่เธอไม่มีอะไรทำ แต่ถึงกระนั้นหลี่จิ่วเต้าก็คุ้นเคยกับเซี่ยเหยียนแล้ว

หลี่จิ่วเต้ายังรู้อีกว่าเซี่ยเหยียนสามารถเข้าสำนักไท่หัวได้สำเร็จ และกลายเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนัก

เขาคิดว่าชายชราเวิงอู๋โยวค่อนข้างทรงพลัง ไม่แปลกใจเลยที่เซี่ยเหยียนจะประจบเวิงอู๋โยวถึงเพียงนั้น

‘ผู้ฝึกตนนั้นแตกต่างออกไป…เซี่ยเหยียนเองก็งามในแบบของนาง แต่พอมีกลิ่นอายของผู้ฝึกตนเข้ามาร่วมด้วยแล้ว นางก็ดูเหมือนนางฟ้าจริง ๆ’

หลี่จิ่วเต้ารู้สึกสะเทือนใจ

เขามักจะชอบอยู่กับนางฟ้าเช่นเซี่ยเหยียน

มีผู้ชายคนไหนไม่อยากใช้เวลากับนางฟ้าแสนสวยกันบ้างเล่า!

ส่วนเรื่องการสานต่อความสัมพันธ์ของเขากับเซี่ยเหยียนนั้น เขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

หลี่จิ่วเต้าเป็นเพียงมนุษย์ ในขณะที่เซี่ยเหยียน…นางหาใช่แค่ผู้ฝึกตนไม่ แต่ยังเป็นถึงศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักด้วย และในภายภาคหน้านางย่อมกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างแน่นอน…

เขายังเจียมตัวและปฏิบัติต่อเซี่ยเหยียนในฐานะเพื่อนเท่านั้น

“ข้าเล่นเพลงนี้เหมือนเสียงผีร้องหมาป่าหอนเลย…”

ขณะที่เซี่ยเหยียนเกาหัว และหลี่จิ่วเต้าก็ชี้แนะทักษะการเล่นกู่ฉินของนาง แต่ถึงกระนั้นนางยังบรรเลงได้ไม่ดีอยู่ดี เสียงที่ออกมานั้นฟังมิรู้เรื่องเลยสักนิด ซ้ำยังไม่เข้าจังหวะด้วย

“ไม่เห็นเป็นไร ฝึกให้มากกว่านี้ก็พอแล้ว”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ผู้ฝึกตนไม่ได้เก่งทุกอย่างเช่นกัน…

แม้ว่าเซี่ยเหยียนจะเป็นผู้ฝึกตน แต่นางเล่นกู่ฉินไม่เก่งจริง ๆ…

หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ

โฮก!

ในป่าเขาแห่งหนึ่งที่นกและสัตว์ร้ายบินไปมา ทันใดนั้นเอง พลันมีสัตว์ไม่ธรรมดาตัวหนึ่งวิ่งผ่านภูเขาและพงไพรไปอย่างรวดเร็ว

มันคือพยัคฆ์ร่างใหญ่ที่เปล่งแสงเป็นประกายเจิดจ้าดุจเปลวเพลิงสีทองที่ลุกโชน ฝีเท้าที่แข็งแรงสามารถกระโดดได้ไกลหลายสิบลี้ ดูน่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย

บนหลังของมันมีชายหนุ่มในวัยยี่สิบปีผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขาแต่งกายด้วยชุดขาว หน้าตาหล่อเหลา นัยน์ตาคู่นั้นเปล่งประกายระยิบระยับดุจดารา และท่าทางของเขาก็ดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

“ความพยายามก่อนหน้านับว่าไม่สูญเปล่าแล้ว ในที่สุดข้าก็ทำได้สำเร็จ และสามารถแต่งงานกับเซี่ยเหยียนได้แล้ว!”

เขามีรอยยิ้มบนใบหน้า ดูมีความสุขยิ่งนัก

ตั้งแต่ได้พบกับเซี่ยเหยียน เขาก็ตกหลุมรักเซี่ยเหยียนตั้งแต่แรกเห็น แต่เซี่ยเหยียนไม่สนใจเขา และท่าทีของนางที่มีต่อเขาก็มักจะเย็นชาอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม เขาไม่สนใจเรื่องนั้น

เขาเป็นองค์ชายแห่งอาณาจักรหนิง ซึ่งอาณาจักรหนิงอยู่ติดกับอาณาจักรเซี่ย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงขอให้ท่านพ่อออกหน้าสู่ขอนางให้เขา เพื่อที่เขาจะได้แต่งงานกับเซี่ยเหยียน

แต่จักรพรรดิเซี่ยไม่เห็นด้วย

จักรพรรดิเซี่ยกล่าวว่า เขาจะเคารพความต้องการของเซี่ยเหยียน ซึ่งหากเซี่ยเหยียนไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ เขาก็จะไม่เห็นด้วยเช่นกัน

“ฮึ่ม มิใช่เพราะอาณาจักรหนิงของเราด้อยกว่าอาณาจักรเซี่ย และพลังของเรานั้นไม่แกร่งพอหรอกหรือ เลยโดนปฏิเสธเช่นนี้ หากอาณาจักรหนิงของเราแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรเซี่ยจะเป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไร”

ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาฉายแววเกรี้ยวกราด “ครานี้ ข้าจะขอให้ท่านพ่อสู่ขอนางให้กับข้าอีกครั้ง ข้าสงสัยนักว่าจักรพรรดิเซี่ยจะปฏิเสธหรือไม่ เพราะยามนี้ข้าเป็นถึงศิษย์สายหลักของนิกายเจ็ดดาราแล้ว…!”

*[1] งาช้างไม่งอกจากปากสุนัข หมายความว่า สิ่งดีงามไม่สามารถเกิดจากการกระทำสกปรก