คานบนไม่ตรง คานล่างย่อมบิดเบี้ยว มีเหล่าอาวุโสทั้งหลายก่อหวอดไม่หยุดหย่อน มิน่าเล่าศิษย์เอกของสำนักจึงเหม็นโฉ่ปานนี้ ปลูกเมล็ดใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
ในสามสิบหกกลยุทธ์ หลบหนีมาก่อนกลยุทธ์อื่น ผู้ใดจะคาดฉินจิ่วเกอเพียงเพิ่งเกิดความคิด กลับถูกอาวุโสสามเรียกรั้งไว้ “จะไปไหน?”
นี่มันเกินไปแล้วกระมัง คนมากมายหลบหนีเจ้าไม่เรียกไว้ กลับไม่ให้ข้าจากไป ฉินจิ่วเกอร้อนรนใจ ทบทวีกับความหวาดผวาในสมญานามอาวุโสสาม ได้แต่ยืนรอคอยรับใช้อย่างว่าง่าย
“เฮอะ” อาวุโสสามแค่นเสียงเฮอะอย่างเหยียดหยาม จมูกบานออก
“เอ๋?” ฉินจิ่วเกอไม่เข้าใจเท่าใด คงมิใช่ตนเองเคยล่วงเกินอันใดผู้อื่นไว้อีกกระมัง?
“ก่อกวนการฝึกปรือของบรรดาศิษย์ในสำนัก ทำร้ายพรรคเราจนไร้รากฐานเสริมอนาคต สมควรรับโทษทัณฑ์สถานใด?”
ลืมเลือนแล้ว อาวุโสสามรักเงิน ปกติดูแลคลังทรัพย์สินของพรรค
นอกเหนือจากนี้ อาวุโสสามยังเป็นผู้ดูแลกฎและตัดสินโทษทัณฑ์ของสำนัก ถือสิทธิ์ขาดทุกประการ
แค่เล่านิทาน สร้าง Work life balance แค่นั้น ไม่สมควรมีโทษทัณฑ์หนักหนาปานใดกระมัง?
ในใจคิดคำนึง หากยังไม่กล้าออกปาก ได้แต่กัดฟันรับความผิดไว้
“ศิษย์ยอมรับผิด” ฉินจิ่วเกอถอดผ้าคลุมดำเปิดเผยสิ้น อย่างไรซะต้องการเงินมันไม่มี ต้องการชีวิตมันก็ไม่ให้อยู่แล้ว
“ไม่กี่วันก่อน เจ้าก่อเรื่องไว้กับอาวุโสสี่ คิดว่าแล้วเรื่องไปแล้วงั้นหรือ?” อาวุโสสามสอบปากคำ
ฉินจิ่วเกอหุบปากกัดฟันนิ่ง ไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ
ที่มาย่อมหลบไม่พ้น ตนเองแม้มิใช่ตัวเอก หากคิดกลับตัวพลิกเป็นพระเอก ยามนี้สมควรเป็นยอดยุทธ์สิบก้าวฆ่าหนึ่งคน
อาวุโสสามนัยน์ตาแฝงรอยยิ้ม ยิ่งเพิ่มเสียงถากถางขึ้นหลายส่วน “วันนี้อาวุโสสองเรียกข้าเข้าพบ กล่าวว่าโทษทัณฑ์รวมหลายกระทง ตระเตรียมทำลายพลังฝีมือเจ้า จากนั้นขับไล่ออกจากพรรคไป”
เทียบกับแววตาแฝงรอยยิ้มของอาวุโสสามแล้ว ฉินจิ่วเกอทั่วร่างเครียดขมึง หางตาแทบฉีกขาด ในใจของมันล้วนไม่ยินยอมพร้อมใจ!
“ทว่า เมื่อถูกข้าโน้มน้าวอย่างสุดความสามารถ ในที่สุดสามารถห้ามปรามเอาไว้ได้”
ตาแก่สมควรตาย กล่าววาจาเว้นวรรคให้ผู้คนแตกตื่น ฉินจิ่วเกอจิตใจระส่ำ หลังความเครียดเกร็งเขม็ง ร่างผ่อนคลายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันที
“ทว่าโทสะของอาวุโสสองยังคงไม่สลายคลาย กล่าวว่าคิดทุบตีเจ้าจนพิการ จึงสามารถขจัดความขุ่นหมองในใจท่านผู้เฒ่าได้”
กล่าวจบ ฉินจิ่วเกอแทบกระอักโลหิตสาดยาวออกมาสามชุ่น
“แต่แล้วกลับถูกข้าเร่งห้ามปรามไว้อีกครั้ง” อาวุโสสามทิ้งช่วงไปพักหนึ่งก่อนกล่าวเสริมขึ้นอีก
หัวใจของฉินจิ่วเกอพลันตกวูบลงอีกครั้ง ร่างส่ายไหวคล้ายลูกโป่งที่หดฟีบ ตอนนี้มันเข้าใจแล้ว มิน่าศิษย์พวกนั้นยามพบเห็นอาวุโสสามถึงได้หวาดกลัวเสียยิ่งกว่าตอนพบเห็นตนเองและศิษย์น้องเล็กอีก
ตรงกับคำที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ภูผาสูงชันยังมียอดผาที่สูงกว่า
“ทั้งนี้อาวุโสสองยังสำทับมาอีกว่า เจ้าจะต้องถูกโบยสิบไม้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ”
หลังรักษาชีวิตและร่างกายเอาไว้ได้ ฉินจิ่วเกอกลับไม่พอใจแค่นี้ คนได้คืบจะเอาศอก ถามด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ว่า “แล้วก็เป็นท่านห้ามไว้อีกใช่หรือไม่?”
“เปล่า” อาวุโสสามส่ายหน้า ฉินจิ่วเกอหน้าทิ่มลงพื้น
“หากเอาแต่ขัดขวางซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วจะให้อาวุโสสองเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ข้าไม่ใช่พวกไม่มีกึ๋นซะหน่อย” อาวุโสสามแบมือ คล้ายบอกว่าด้วยฐานะของเจ้ายามนี้ ข้าไม่อาจช่วยกระไรได้
“ท่านว่าโบยสิบไม้งั้นรึ?” ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มกลายเป็นขาวเผือด ไม่กล้าทำใจเชื่อในความโหดร้ายเย็นชาของโลกนี้อยู่บ้าง
“แม่น” อาวุโสสามตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความ สภาพคันไม้คันมือเต็มที่ ดูไปเหมือนมีแผนที่จะจับศิษย์เอกสำนักฝ่ายในอย่างมันมาขึงโบยตั้งนานแล้ว
หากท้ายที่สุด อาวุโสสามผู้ใจดีก็ไม่ได้ลงมืออย่างที่ปากว่า เพียงแค่ข่มขู่ให้ฉินจิ่วเกอขวัญกระเจิงเล่นเท่านั้น
แน่นอนว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยน นั่นคือฉินจิ่วเกอไม่อาจเล่านิทานให้คนในพรรคฟังอีก อันจะส่งผลกระทบต่อการฝึกปรือของบรรดาลูกศิษย์
“ไม่อาจเล่านิทาน ไม่ได้แปลว่าเจ้าจะขายตำราไม่ได้” อาวุโสสามชี้ทางสว่างให้แก่ฉินจิ่วเกอ มันเองก็ไม่ใช่คนโง่ พลันเข้าใจขึ้นมาในบัดดล
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ข้อสรุปร่วมกัน ฉินจิ่วเกอส่งมอบต้นฉบับให้อาวุโสสาม อาวุโสสามนำมาขายทอดสู่ตลาด
ส่วนแบ่งกำไรนั้นไม่ต้องพูดถึง นอกจากว่าฉินจิ่วเกออยากโดนหวดจนก้นลาย
แต่กำไรที่ได้จากการร่วมมือในครั้งนี้ อย่างน้อยสมควรมากกว่ากำไรที่ตนได้จากในพรรค
หนี้สินที่กองสุมเป็นภูเขา ยามนี้กำลังถูกฉินจิ่วเกอค่อยๆ สะสางจนราบเรียบ
“อาวุโสสาม ข้าอยากแนะนำให้เราลงนามอันยิ่งใหญ่ของท่านประมุขกำกับไว้บนปก อย่างไรเสียตำราวิเศษที่มีทั้งกลิ่นอายบู๊ผลาญความรักชื่นมื่นจนเลิศพบจบแดนนี้ นอกจากประมุขพรรคของพวกเรา ก็ไม่มีใครเทียบเทียมได้อีก”
“อืม แล้วข้าจะใคร่ครวญดู” อาวุโสสามผงกศีรษะพลางตบบ่าฉินจิ่วเกอ ส่งสัญญาณว่าเด็กน้อยเจ้าช่างรู้จักความนัก
ยากนักที่ศิษย์เอกของพรรคคนนี้จะดูเข้าท่าขึ้นมา อาวุโสสามอดชี้แนะเพิ่มเติมไม่ได้ “สิ่งของพวกนี้ล้วนเป็นของเล็กน้อย โลกทุกวันนี้แข็งแกร่งเป็นเจ้า มีพลังสำคัญที่สุด จึงสามารถกำหนดชะตาตนเองได้ ในเมื่อสามารถฝึกฝนทักษะรังสรรค์นิยายอันอัศจรรย์ออกมา มิสู้ทุ่มเทจิตใจฝึกปรือวิชาเต๋าอันแท้จริงให้มาก”
ความหมายของอาวุโสสาม แน่นอนว่าต้องการให้ฉินจิ่วเกอเร่งฝึกปรือฝีมือ
เพียงหลอมวิญญาณขั้นเก้า ระดับพลังเท่านี้ไม่อาจขึ้นเวทีใดๆ ได้ ยิ่งไม่อาจกำหนดอนาคตของตนเอง
“ทราบแล้ว ศิษย์จะกระทำตาม” ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะหนักแน่น ไม่กล้าละเลยเรื่องสำคัญนี้อีก
หากเรื่องลงทัณฑ์ที่อาวุโสสามเอ่ยขึ้นเมื่อครู่มิใช่เรื่องล้อเล่น ฉินจิ่วเกอที่อ่อนแอไร้พลัง นอกจากเป็นปลาเนื้อให้คนเชือดเฉือนแล้ว ยังจะทำอันใดได้
นั่นไยมิใช่ ถูกลิขิตให้ต้องพลีกายกระทั่งถวายชีวิตในวันหน้า?
ฉินจิ่วเกอที่เพียงคิดมีชีวิตอยู่ยามนี้เข้าใจกระจ่าง หากคิดรักษาลมหายใจต่อไปบนโลกนี้ ต้องมีพลังฝีมือที่เพียงพอ และที่มาของพลังฝีมือ ก็คือการเคี่ยวกรำฝึกตน ไม่อาจใช้ทางลัด
สุริยันจันทราเบิกฟ้า ขุนเขาวารีก่อเกิด ดวงดาวแต้มจักรวาล สุดคือเต๋าชั่วนิจนิรันดร์
ในใต้หล้า สี่ทะเลหกทวีป มีเพียงเต๋ายิ่งใหญ่ที่สุด
จักรวาลก่อนถือกำเนิด เต๋าก็ดำรงคงอยู่แล้ว
จากนั้นห้วงบรรพโกลาหลถูกแยกออก ก่อเกิดสมดุล หยินหยางก่อลักษณ์ จึงค่อยกำเนิดสุริยันจันทรา
จวบกระทั่งฟ้าดินเปี่ยมสรรพชีวิต ขุนเขาแม่น้ำกำเนิดจิตวิญญาณ
ในปรโลก อบอวลด้วยกลิ่นอายชนิดหนึ่ง ก็คือไอวิญญาณ
ไอวิญญาณถือกำเนิดจากชีวิตทั้งหลาย คือที่มาของชีวิตอันไม่สิ้นสุด
ขั้นแรกของการบำเพ็ญพรต ก็คือการฝึกตน
ขั้นแรกของการฝึกตน ก็คือการกระตุ้นพลังวิญญาณภายในกาย จากนั้นผลัดกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น กระตุ้นชีพจรวิญญาณ จนได้มาซึ่งพลังฝีมือ
นี่ก็คือขอบเขตขั้นแรกของการฝึกตน ขั้นหลอมวิญญาณ
รอจนพลังวิญญาณสมบูรณ์เต็มเปี่ยมทั่วร่าง สามารถใช้พลังวิญญาณเคลื่อนไหวมือเท้าได้อย่างใจ โคจรพลังเข้าสู่ห้าอวัยวะหกชีพจร จนเปิดต้นวิญญาณที่ตำแหน่งสามนิ้วเหนือหน้าท้องได้ ควบกลั่นตันเถียน จึงสามารถกล่าวได้ว่าย่างเข้าสู่ขั้นปราณสุริยัน
ขั้นปราณสุริยันและขั้นหลอมวิญญานล้วนไม่อาจยกมากล่าวร่วมกันได้
รอจนเปิดจุดตันเถียน พลังวิญญาณที่ผู้ฝึกตนสามารถใช้ออกไม่จำกัดอยู่ที่ภายในเส้นชีพจรอีกต่อไป หากแต่สามารถบ่มเพาะใช้ได้ไม่ขาดสาย
นอกจากนี้พลังวิญญาณหลอมกายา ร่างแข็งแกร่งดุจเหล็กไหล รวดเร็วดั่งลมพัด หนึ่งเท้าไปไกลสิบเมตร ไม่เกรงอัคคีน้ำแข็งเย็น
ทั้งยังสามารถควบคุมวัตถุจากระยะไกล ใช้พลังวิญญาณเป็นพลังยุทธ์ สรุปแล้วถือว่าร้ายกาจยิ่ง
ดังนั้น จุดมุ่งหมายแรกสุดยามนี้ของฉินจิ่วเกอ คือต้องพยายามสูดรับไอวิญญาณโดยรอบผิวกายทั้งมวล ผ่านเข้าทางจมูก ชักนำเข้าสู่ภายในกาย
ไอวิญญาณในอากาศรวมตัวเป็นจุดแสง ร่างของฉินจิ่วเกอยามนี้ปรากฏชั้นแสงสีเขียวเรืองรองอยู่บางเบา
แสงสีเขียวจากน้อยเริ่มจับตัวหนา ก่อนผนึกตัวเป็นมวลน้ำมหาศาล ค่อยชำระล้างเส้นชีพจรภายในร่างอย่างช้าๆ รูขุมขนขับเอาของเสียออกมา
ติดอยู่ที่ระดับหลอมวิญญาณขั้นเก้ามานาน น่าเสียดายจนแล้วจนรอดฉินจิ่วเกอก็ไม่อาจก้าวข้ามธรณีนั้นได้เสียที
ไอวิญญาณโลดแล่นไปตามผิวหนังเหมือนจิตวิญญาณตัวน้อย บ้างก็หายเข้าไปในไขกระดูก ให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำดุจสายลมวสันต์ จนกระทั่งไอวิญญาณเหล่านั้นเคลื่อนผ่านชั้นผิวหนังเข้าสู่ภายในร่าง ฉินจิ่วเกอจึงรีบสำรวจตัวเอง คอยจับตามองทิศทางที่ไอวิญญาณเคลื่อนไป
ฉินจิ่วเกอคนก่อนสิ้นใจตายเพราะธาตุไฟแตก พอถึงคราวตัวเอง ฉินจิ่วเกอจึงมิอาจไม่หวาดกลัวขึ้นมา
จุดตันเถียนอยู่เหนือท้องน้อยขึ้นไปสามชุ่น เป็นแหล่งสะสมไอพลังวิญญาณ คิดฝ่าด่านปราณสุริยัน ขนาดของจุดตันเถียนมีบทบาทเป็นอย่างมาก บ่อยครั้งที่ไอวิญญาณเคลื่อนไปรวมตัวกันตรงท้องน้อย จะมีเยื่อขวางกั้นอยู่อย่างหาคำมาอธิบายไม่ได้
จนแล้วจนรอดก็ไม่สำเร็จ ฉินจิ่วเกอตระหนักดีว่าวันนี้ตนเองคงฝ่าด่านไม่ได้แล้ว สุดท้ายจึงต้องรามือไว้แค่นี้
“ช่างน่าพิศวงอะไรอย่างนี้ ทั้งที่ไอวิญญาณในไขกระดูกก็ถึงขีดจำกัดแล้ว แต่กลับไม่อาจทะลวงผ่านชั้นผิวหนังได้ หากไม่อาจชักนำเข้าสู่ห้าอวัยวะหกชีพจร ก็ไม่อาจเปิดจุดตันเถียน ดูท่าคงยังไม่ถึงเวลา”
ขณะเอ่ยกับตัวเอง ฉินจิ่วเกอก็ออกจากสภาวะฌาน เริ่มเสาะหาหนทางใหม่ นอกจากค่อยๆ รับเอาไอวิญญาณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยังสามารถพึ่งพาโอสถเม็ดยาวิเศษหลากขนานได้อีกด้วย หรือไม่ก็เคล็ดวิชาระดับสูงเทียมฟ้า ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนสามารถช่วยมันฝ่าด่านได้ทั้งสิ้น
“แต่ข้าหาได้มีไม่!” ฉินจิ่วเกอหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ความอาดูรในใจยากเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
หลังเค้นสมองขบคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ฉินจิ่วเกอก็ตัดสินใจได้ว่าจะร่ำเรียนเคล็ดวรยุทธ์เป็นพื้นฐานในการฝึกปรือของมัน
เคล็ดท่าร่างนี้ จำต้องรอให้บรรลุถึงขอบเขตปราณสุริยันเสียก่อน ให้เส้นชีพจรภายในร่างอยู่ในสภาวะสมบูรณ์พร้อมจึงจะเริ่มฝึกได้
นอกจากนี้แล้ว ผู้ที่อยู่ขอบเขตหลอมวิญญาณล้วนสามารถนำเคล็ดวิชายุทธ์ขั้นพื้นฐานระดับต่ำไปฝึกฝีมือได้
เคล็ดท่าร่างวิชายุทธ์ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดเก้าขั้น นับจากต่ำไปสูง
ด้วยระดับฝีมือของฉินจิ่วเกอในเวลานี้ ต่อให้ภายในพรรคมีเคล็ดวิชาชั้นสูง มันก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะใช้
ดังนั้นฉินจิ่วเกอจึงได้แต่ต้องยอมถอยหนึ่งก้าวแล้วเลือกเคล็ดท่าร่างขั้นสามมาแทน ชื่อเคล็ดระบำหงส์เหิน
การต่อยตีไม่ใช่เรื่องดี ฉินจิ่วเกอไม่ได้คาดหวังว่าตนจะต้องสู้ชนะใคร แต่ถ้าสู้ก็ไม่ชนะ หนีก็หนีไม่พ้น เช่นนั้นจะโทษสวรรค์เบื้องบนเพียงไรก็เปล่าประโยชน์
หลังจากคว้าน้ำเหลวเรื่องการทะลวงด่าน ฉินจิ่วเกอจึงจดจ่ออยู่กับเคล็ดระบำหงส์เหิน หวังว่าต่อให้ต่อยตีไม่ชนะอย่างน้อยก็ยังมีไม้ตายก้นหีบใช้หนีได้
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เพียงพริบตาก็ผ่านไปแล้วกว่าครึ่งเดือน ฉินจิ่วเกอคร่ำเคร่งพัฒนาฝีมือ เพลิดเพลินไปกับการฝึกเคล็ดระบำหงส์เหิน
ตลอดครึ่งเดือนนี้ฉินจิ่วเกอใช้เวลาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย บ้างก็แวะไปถามไถ่เรื่องกิจการกับอาวุโสสาม สุมหัวกันคิดหากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
จากนั้นก็แวะไปเยี่ยมเยือนศิษย์น้องเล็ก สานต่อเรื่องนิทานโดยไม่ได้ค่าแรงติดไม้ติดมือกลับมาตามเคย
ยามฝึกปรือจนเหนื่อยล้า ก็แวะไปถกปัญหาชีวิตแลกเปลี่ยนมุมมองโลกทัศน์กับเจ้าอ้วนน่าตาย ก่อนจะกลับมาคร่ำเคร่งฝึกวิชาต่อที่ห้อง
คนก็เปรียบเสมือนวงกลมวงใหญ่ โคจรไปแล้วครึ่งรอบ ท้ายที่สุดก็วกกลับมาที่เดิม
ช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้ ฉินจิ่วเกอไม่ได้ออกไปก่อเรื่องที่ไหน แต่สุดท้ายปัญหาก็มาเคาะประตูถึงที่
ในตอนที่ฉินจิ่วเกอกำลังปรับตัวเข้ากับชีวิตในช่วงนี้ได้อยู่นั้นเอง ที่หน้าประตู ก็มีเจ้ากรรมนายเวรมาดักรออยู่ แถมดูท่าจะนำพาโชคร้ายติดตัวมาด้วย
“อาวุโสสอง?” มันร่ำร้องเสียงอ่อน
อาวุโสสองกำลังยืนปิดตาสำรวมจิตจนแทบจะกลืนไปกับไอพลังฟ้าดินภายในลานรับรองนอกห้อง ใบไม้ปลิดออกจากขั้วก่อนทิ้งตัวพรั่งพรูลงมาเป็นฉากหลัง ให้ความรู้สึกประหนึ่งว่ามันเป็นเซียนเหนือโลก สายลมอ่อนพัดหนวดเครายาวสามชุ่นให้กระดิกไหว ช่างเป็นภาพที่ดูแล้วเตะตามิอาจลืม
“ที่ข้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องจะคุยกับเจ้า” อาวุโสสองขยับเสื้อ ตั้งท่าจะเข้าไปคุยในห้อง
แต่เพิ่งจะยกเท้าขึ้นมันก็เหลือบเห็นสภาพห้องที่ดูเหมือนรังหนูของฉินจิ่วเกอเข้าก่อน
ด้วยความที่เป็นคนรู้จักแต่งตัวและรักษาความสะอาดอยู่ตลอดเวลา อาวุโสสองจึงแสดงท่าทีประหนึ่งไม่คิดลงไปเกลือกกลั้วในโคลนตมออกมาให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์อันสูงส่งของตัวเอง
ไม่ใช่ว่าฉินจิ่วเกอไม่รักความสะอาด แต่หนึ่งเดือนมานี้มันเอาแต่จดจ่ออยู่กับการฝึกวิชา มันเลยละเลยไปบ้าง
“หากอาวุโสมีสิ่งใดรับสั่ง เชิญบอกศิษย์มาได้เลย”
ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน เคล็ดระบำหงส์เหินถือว่ามีความคืบหน้าอยู่บ้าง ไอวิญญาณภายในร่างเองก็เริ่มเกาะตัวกันเป็นมวลบ้างแล้ว
แม้จะยังไม่สามารถทลายปราการสุดท้ายลงได้ แต่ฉินจิ่วเกอก็มีความคิดที่จะออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกอยู่ก่อนแล้ว
“เจ้าสี่บอกข้าว่าทรัพยากรของพรรคเดือนถัดไปยังขาดหญ้าวิญญาณแสงอยู่ ข้าเลยคิดว่าจะให้เจ้าไปซื้อหาเอาจากเมืองซวนอู่ใกล้ๆ นี้ เจ้าจะเต็มใจหรือไม่?” อาวุโสสองถาม
ฉินจิ่วเกอรีบผงกศีรษะทันที มันกำลังกังวลอยู่เลยว่าตนจะไม่มีโอกาสสร้างความประทับใจดีๆ อีกแล้ว รีบรับปากอย่างมั่นเหมาะ “อาวุโสโปรดวางใจ ศิษย์จะทำหน้าที่นี้ให้ลุล่วง”
“แค่กๆๆ” อาวุโสสองกระแอมไอ
“อาวุโส?”
“บอกตามตรงข้าไม่ไว้ใจเจ้า เดิมทีหน้าที่นี้ควรให้เจ้าเด็กลั่วเฉินนั่นเป็นคนรับไปจัดการ น่าเสียดายที่มันยังคงออกหาประสบการณ์อยู่ข้างนอก ไม่อาจกลับมาได้ชั่วคราว ข้าเองก็ต้องวุ่นวายกับกิจการภายในพรรค มาคิดดูแล้วก็เหลือแต่เจ้านี่แหละ ช่างน่าเศร้าจริงๆ”
ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ละก็ ไหนเลยจะต้องเรียกใช้ตัวสำรองอย่างเจ้าด้วย!