ตอนที่ 10 มีดน้อยพิสูจน์คม

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ฉินจิ่วเกอฟังแล้วก็ได้แต่หลั่งเหงื่อกาฬเยียบเย็น นี่ข้าเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ขนาดนั้นเลยรึ? ตอนนี้ข้าไม่ใช่ข้าคนเก่าแล้ว ตัวข้าในตอนนี้สุดยอดมากเข้าใจหรือไม่

“ศิษย์ขอสาบานว่าถึงตายก็จะปฏิบัติหน้าที่นี้ให้สำเร็จ อย่าว่าแต่ซื้อหาหญ้าจิตวิญญาณแสง ต่อให้ต้อง……” แล้วมันก็หยุดพูดเอาดื้อๆ ตอนแรกคิดจะพูดว่าต่อให้ต้องฆ่าสัตว์อสูรสักเจ็ดแปดสิบตัวก็บ่ยั่น แต่คิดอีกที เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็ปล่อยให้มันเป็นไปไม่ได้เถอะ

อาวุโสสองจ้องมองฉินจิ่วเกอด้วยแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความหวัง “แล้วถ้าไม่สำเร็จ เจ้าจะทำยังไง?”

“ศิษย์รับรองว่าจะซื้อหาเพียงแต่หญ้าจิตวิญญาณแสงเท่านั้น ไม่มีทางออกไปก่อเรื่องเด็ดขาด หากทำไม่สำเร็จ เชิญท่านจับข้าโกนหัวแล้วแขวนไว้หน้าประตูแทนลูกตุ้มนาฬิกาได้เลย”

เพื่อเป็นการเปลี่ยนมุมมองภาพลักษณ์ที่ผู้อื่นมีต่อตน ฉินจิ่วเกอยอมทุ่มสุดตัว

“ไม่ต้องทำถึงขั้นนั้นหรอก” เห็นอาการเร่าร้อนของอีกฝ่าย อาวุโสสองก็ทนไม่ไหว รู้สึกทนไม่ได้ที่ปกปิดความจริงกับมัน

“อาวุโสโปรดวางใจ ศิษย์จะทำให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี” ฉินจิ่วเกอยืนกรานรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ

“งั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”

อาวุโสสองสะบัดชายแขนเสื้อจากไป ใจก็ท่องบทสวดภาวนาให้อีกฝ่ายไปด้วย

มอบหมายให้ฉินจิ่วเกอออกไปซื้อหาหญ้าจิตวิญญาณแสง เรื่องราวย่อมไม่ได้เรียบง่ายเพียงนั้นอยู่แล้ว

เมืองซวนอู่อยู่ห่างจากที่นี่ไปร้อยลี้ จะว่าไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้

โดยปกติแล้ว ความปลอดภัยในละแวกนี้ไม่จัดว่าหละหลวม สามารถส่งลูกศิษย์ออกไปซื้อหาหญ้าจิตวิญญาณแสงได้ไม่ยาก

แต่เฉพาะกับช่วงเวลานี้เท่านั้นที่ไม่อาจปฏิบัติภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้ง่ายๆ

ไม่มีสาเหตุอื่น อาวุโสสี่หาได้เป็นคนใจกว้างอันใด

หากเปรียบเรื่องความใจกว้างแล้ว อาวุโสสี่คิดว่าตนเองแม้ไม่ได้กว้างขวางจนสามารถพายเรือได้ แต่อย่างน้อยย่อมสามารถใส่เรือลำเล็กได้อยู่

ความอดทนอันสูงส่งของข้า ไม่ต้องกล่าวเลย แม้เจ้าแทบทำข้าตายเพราะยาพิษ ข้ายังสามารถบอกเจ้าเอาบุญ อาวุโสสี่ผู้นี้ถือคุณธรรมยิ่ง ทำข้าครั้งหนึ่งไม่เป็นไร ต่อให้เล่นงานข้าอีกสองสามรอบ อาวุโสสี่ผู้นี้ยังรับประกันไม่จัดการเจ้าถึงตายแน่นอน

ครึ่งเดือนจากนั้น รอจนไอพลังของอาวุโสสี่ฟื้นคืนดีเมื่อไร ค่อยเริ่มแผนการให้เจ้าฉินจิ่วเกอนั่นน้ำตาหลั่งเป็นท้องธารได้เลย

มาคิดดู เกิดอาวุโสสี่ผู้ทรงภูมิทุบตีศิษย์เอกจนสิ้นใจแล้วเรื่องแพร่สะพัดออกไป พี่สองคงไม่มีหน้าจะไปพบใครอีก ดีไม่ดีอาจถึงขั้นละอายใจจนแขวนคอจบชีวิตตัวเองลงที่หน้าประตู

ตอนเช้าตรู่ ก่อนที่จะมีใครตื่นมาเห็นศพแขวนอยู่ตรงหน้าประตู กลิ่นเนื้อเน่าคงโชยชายไปตามลมไกลถึงไหน จะเหม็นคละคลุ้งเพียงไร

เมื่อทำแบบเปิดเผยไม่ได้ อาวุโสสี่ก็วางแผนลอบกระทำการแทน ประจวบกับอาศัยจังหวะนี้โค่นล้มตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของฉินจิ่วเกอซะ แล้วให้ลั่วเฉินผู้ทรงสง่าคงแก่เรียนรับตำแหน่งแทน

ด้วยเหตุนี้ ภารกิจส่งฉินจิ่วเกอออกนอกพรรคเพื่อซื้อหาหญ้าจิตวิญญาณแสงจึงได้ถือกำเนิดขึ้น

ภายในห้อง บนโต๊ะของอาวุโสสี่มีหุ่นฟางสูงครึ่งฉื่อวางตั้งอยู่

ชายชราหยิบเอาเข็มเงินกำหนึ่งออกมาถือไว้ ก่อนจะแทงลงไปบนหุ่นจนทะลุออกอีกด้าน การกระทำโหดร้ายสามานย์ ทุกขั้นตอนท่วมท้นไปด้วยความรุนแรง ท่าทางเหมือนอยากจะเรียกเลือดสดๆ ออกมา

“เหอเหอ ถ้าทำไม่สำเร็จจะยอมโกนหัว ในเมื่อเป็นเจ้าเสนอมา เราผู้เฒ่าก็ขอสนอง บัดนี้ส่งคนไปกว้านซื้อหญ้าจิตวิญญาณแสงมาจากเมืองซวนอู่จนหมดแล้ว ดูสิว่าถึงตอนนั้นเจ้าจะยังทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไร”

พอคิดว่าถึงตอนนั้นจะได้ใช้ศีรษะของเจ้าศิษย์เอกนั่นต่างลูกหนัง ปมแค้นในใจอาวุโสสี่ก็เริ่มคลายตัวออก ตามด้วยเสียงหัวเราะชั่วร้ายที่ดังกระหึ่มไปทั่ว

แน่นอนว่าฉินจิ่วเกอย่อมไม่รู้เลยว่า อาวุโสสี่ที่โดยปกติแล้วจะไม่มีปากไม่มีเสียงจะถึงขั้นวางแผนดัดสันดานตนอย่างนี้

หากมันทราบความจริงเข้าละก็ คาดว่าคงทุบกระปุกใช้ทุนรอนที่มีทั้งหมดซื้อโอสถสะบั้นชีพมาเม็ดหนึ่ง จากนั้นจับยัดใส่ปากอีกฝ่ายไม่ให้ได้ผุดได้เกิดอีกเลย

เดินมาได้ครึ่งทาง ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง พอขาพ้นประตู ที่ตรงหน้ากลับปรากฏร่างของพยัคฆ์ทลายเมฆาขึ้น ทำท่าเหมือนจะมาดักปล้นตัวเอง

“เดี๋ยวนี้สัตว์อสูรถึงกับขวัญกล้าปานนี้เชียวรึ?”

ฉินจิ่วเกอรู้สึกทึ่งในความกล้าบ้าบิ่นของเจ้าพยัคฆ์ทลายเมฆาตัวนี้นัก โดยปกติแล้ว สัตว์อสูรมักจะตกเป็นเป้าการไล่ล่าของบรรดาผู้ฝึกตน ทั้งนี้เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวของพวกมันเรียกได้ว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่า ไหนจะดวงธาตุอสูรภายในร่างนั่นอีก

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลัง เป็นกระบี่หนักที่ยังไม่ผ่านการลับคม

กว้างสามฉื่อ หน้าตาเรียบง่าย ตัวกระบี่หลอมขึ้นจากเหล็กไหลเก้าชั้นที่สามารถหาได้ทั่วไปในทวีปฉงหลิง เดิมทีเป็นอุปกรณ์ประดับฉากที่ฉินจิ่วเกอเอาไว้ใช้รักษาหน้าตาเท่านั้น

กระบี่หนักไร้คม ทักษะเป็นเลิศหามีไม่

ทว่าบางครั้ง กระบี่ก็ไม่จำเป็นต้องมีคมเสมอไป

“พยัคฆ์แก่สมองป่วยตัวนั้นน่ะ จะยอมหลีกทางให้ข้าดีๆ หรือไม่ หากเจ้าไม่ยอมละก็ ข้าคงได้แต่ต้องเชือดเจ้าทิ้งตรงนี้แล้ว”

ฉินจิ่วเกอใช้มือเดียวยกกระบี่ หากสภาพทุลักทุเลยิ่ง มันเองก็ไม่คิดว่าหลังจากพลิกแผ่นดินหาแล้ว ในห้องจะมีแต่เจ้านี่ เห็นทีคงจะต้องใช้แก้ขัดไปก่อน

พยัคฆ์ทลายเมฆาพ่นลมออกจมูกเบาๆ ศีรษะเชิดขึ้นคล้ายดูแคลนฉินจิ่วเกอเป็นอย่างยิ่ง

“ฮึ่ม ยอดพยัคฆ์ไม่อวดบารมี แต่ดูแล้วเจ้ามันพยัคฆ์ขี้เบ่งสินะ”

พยัคฆ์ทลายเมฆาตัวนี้อยู่ที่ขอบเขตหลอมวิญญาณขั้นแปด ต่างจากฉินจิ่วเกอไม่มาก

เมื่อเห็นว่าแม้แต่สัตว์อสูรกระจ้อยร่อยยังกล้าดูถูกตน จิตต่อสู้ในกายของฉินจิ่วเกอพลันพลุ่งพล่าน เห็นทีวันนี้คงได้เศียรพยัคฆ์มาเซ่นคมกระบี่

“กรร”

พยัคฆ์ทลายเมฆาไม่สนว่าฉินจิ่วเกอจะพูดอะไร มันเชิดศีรษะพร้อมโจนทะยานเข้ามาดุจเกาทัณฑ์พุ่งออกจากแล่ง

พื้นดินถึงกับส่ายไหว มองดูศิลาบนพื้น พบว่ากลายสภาพเป็นฝุ่นผงไปเรียบร้อยแล้ว

“เดียรัจฉานน้อย จะลงมือก็ไม่ส่งสัญญาณเตือนกันเลยนะ มาให้ข้าถลกหนังพยัคฆ์แต่โดยดี!”

ฉินจิ่วเกอวาดกราดกระบี่ในมือเป็นแนวขวาง ทว่าพยัคฆ์ทลายเมฆาร่างกายดุจเหล็กไหล ใช้ศีรษะเข้าต้านคมกระบี่ไว้

ไม่เพียงไม่ล่าถอย กลับใช้หัวของมันงัดสวนกลับมาจนฉินจิ่วเกอต้องร่นถอยไปหลายก้าว

“ตูม!”

หางพยัคฆ์ตวัดวาด รวดเร็วดั่งสายฟ้า พุ่งฉิวตัดอากาศประหนึ่งเงามรณะที่หมายจะพรากชีวิตเหยื่อของมัน

ถึงว่าไฉนดวงธาตุอสูรจึงได้แพงนัก ที่แท้การฆ่าสัตว์อสูรกลับไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด

ยังไม่ต้องพูดถึงความหนังเหนียวของสัตว์เหล่านี้ แค่พละกำลังก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันจะประชันขันแข่งได้แล้ว

พอเห็นว่าพยัคฆ์ทลายเมฆาร้อนรนหาที่ตาย ในแววตาของฉินจิ่วเกอก็ฉายแววอำมหิตขึ้นวูบ

ด้ามกระบี่ในมือกระชับแน่น ฝ่าเท้าขยับตั้งมั่น จิตต่อสู้พลุ่งพล่านสุดระงับ

“ถือว่าเจ้ามีบุญได้ชมเคล็ดระบำหงส์เหินของข้า!”

เคล็ดวิชาอื่นมันไม่กล้าเอ่ยถึง แต่ถ้าพูดกันแค่เคล็ดท่าร่างชุดนี้ บอกเลยว่าหลับตาใช้ก็ยังได้

หากเอาเคล็ดวิชายุทธ์ขั้นสามนี้ให้คนนอก คนผู้นั้นย่อมบอกว่านี่คือสมบัติล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย หากไม่ใช่ว่าตนเองเป็นศิษย์เอกสำนักฝ่ายใน ย่อมไม่มีทางได้ร่ำเรียนอย่างแน่นอน

ร่างของมันบรรลุถึงตัวพยัคฆ์ทลายเมฆาในเสี้ยวพริบตา กระบี่หนักวาดลงเบื้องล่าง หมายจะสับสังหารสัตว์ร้ายตัวนี้ให้ขาดออกเป็นสองท่อน เสียงกระบี่แหวกตัดอากาศดังกระหึ่มก้อง

ร่างอันใหญ่โตของพยัคฆ์ทลายเมฆาพลันเคลื่อนหลบ ปลายหางดีดผึงออกดุจเกาทัณฑ์

ปลายหางของมันคมกริบ สามารถแทงทะลุผ่านลำต้นของต้นไม้อวบหนาได้สบายๆ

ด้วยสังขารของฉินจิ่วเกอในปัจจุบัน มันย่อมไม่กล้าปะทะกับสัตว์อสูรซึ่งหน้า

พลันต้องเปลี่ยนสภาวะกลางคัน จากรุกกลายเป็นรับ ใช้กระบี่ต่างโล่ หางพยัคฆ์ฟาดเข้ากับตัวกระบี่ดังหนักหน่วง กระบี่สั่นสะท้านแทบหลุดออกจากมือ ก่อนจะถูกฉินจิ่วเกอรวบกระชับไว้ได้ทัน

“กำลังมหาศาลจริงๆ แต่ก็เป็นกำลังโง่ๆ”

ฉินจิ่วเกอยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ยอย่างไม่นำพา

มีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าได้ราวี คนประเภทนี้จะโหดร้ายกับตัวเองเท่าไรก็ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกับคนอื่น

“เล่นสนุกกันพอแล้ว ได้เวลาตายเสียที”

กล่าวจบคำ ฉินจิ่วเกอก็ถีบตัวขึ้นฟ้า อาศัยสภาวะความเร็วสุดสูงพุ่งปราดไปทางซ้ายทีขวาที

ร่างของสัตว์อสูรมีขนาดใหญ่มาก นี่คือข้อได้เปรียบ แต่ก็เป็นจุดอ่อนด้วยเช่นกัน

อย่างน้อยหากพูดถึงเรื่องความคล่องตัว พยัคฆ์ทลายเมฆาที่แสนอุ้ยอ้ายย่อมไม่อาจเทียบเปรียบผู้ฝึกตนได้

“กรร!”

ยามใดที่ได้ยินเสียงพยัคฆ์กู่ร้อง สรรพสัตว์ต่างต้องหลีกลี้หนีถอย หากเสียงคำรามของมันกลับไม่อาจทำให้ฉินจิ่วเกอสะดุ้งสะเทือนได้เลย ตรงกันข้ามมีแต่จะยิ่งปลุกความคลุ้มคลั่งในกายให้พรั่งพรู

เห็นกระบี่หนักเล่มเดิมพุ่งเข้าใส่ศีรษะของมันอีกครั้ง พยัคฆ์ทลายเมฆาเคลื่อนร่างวูบวาบจนดูเหมือนภาพติดตาที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ

เมื่อไม่อาจตวัดหางกลับมาได้ทัน พยัคฆ์ทลายเมฆาจึงเบี่ยงตัวเล็กน้อย ตั้งใจว่าจะใช้กะโหลกศีรษะที่แข็งดั่งเพชรเข้าต้านการจู่โจมที่กำลังจะมาถึง

เมื่อเห็นว่าพยัคฆ์ทลายเมฆายืนหยัดรอรับความตาย ประกายแววตาของฉินจิ่วเกอจากที่อำมหิตดุร้ายก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“ตาย!”

ในขณะที่ปลายกระบี่กำลังจะฟาดลงสู่ศีรษะของพยัคฆ์ทลายเมฆาอยู่นั้น ฉินจิ่วเกอกลับใช้ไหล่กระแทกด้ามกระบี่จนเปลี่ยนวิถี ส่งผลให้กระบี่หนักเบนทิศจากตำแหน่งเดิม

ฉับ

กระบี่หนักวาดออกเป็นวงโค้งพิสดาร ก่อนวาดผ่านวัตถุบางอย่าง

แม้จะไม่มีคม แต่พลังที่ซ้อนทับกันอยู่บนตัวกระบี่ก็มากมายเข้าขั้นน่าหวาดผวา เฉือนปลายหูที่ตั้งชูของพยัคฆ์ทลายเมฆาไปอย่างง่ายดาย

ปลายหูขนาดเท่าฝ่ามือร่วงหลุดจากศีรษะ รอยตัดเรียบเนียนเสมอกัน เลือดข้นๆ หยาดหยดเจิ่งนอง

“กรร”

พยัคฆ์ทลายเมฆากู่ร้องเสียงหลง คาดไม่ถึงว่ามนุษย์หน้าเหม็นนี่จะเล่นไม่ซื่อ ถึงกับไม่เดินเกมตามแบบที่ควรจะเป็น

ขณะร้องคำราม มันก็เผลอเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นขนสีขาวใต้ขากรรไกรกับลำคอที่ขยับขึ้นลง

และนี่ก็คือช่วงเวลาที่ฉินจิ่วเกอคอยอยู่ มันใช้เคล็ดระบำหงส์เหินอีกครั้ง คราวนี้มาโผล่อยู่ใต้กรามของพยัคฆ์ทลายเมฆา ห่างกันเพียงแค่คืบ

แล้วกลิ่นคาวเหม็นคลุ้งก็โชยเข้าปากเข้าจมูก รุนแรงถึงขั้นดวงตาแทบมืดบอด ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของพยัคฆ์ผู้องอาจแทบดับชีวิตมนุษย์ตัวน้อยๆ ให้สิ้นชื่อ

ข่มกลั้นความคลื่นเหียน ฉินจิ่วเกอตวัดวาดกระบี่ในมือจนสุดแรง

ปลายอันทื่อด้านของกระบี่กรีดวาดด้วยความเร็วสูง ก่อนกระแทกเข้ากับบริเวณลำคอที่แผ่หราอยู่อย่างถนัดถนี่

แคร่ก

พลังอันมหาศาลทุบทำลายเส้นเสียงหลอดลมของพยัคฆ์ทลายเมฆาจนขาดวิ่น โลหิตพุ่งออกดั่งน้ำพุ

เศียรพยัคฆ์ที่มีขนาดเทียบเท่าอ่างน้ำถูกฉินจิ่วเกอตัดขาด ซากของมันไถลลงไปกองข้างทาง ศีรษะหลุดออกจากลำตัว

กลุกๆๆ

เศียรพยัคฆ์กลิ้งไปตามแนวเขาจนเกิดรอยเลือดสีแดงฉานเป็นทางยาว

ถึงพยัคฆ์ทลายเมฆาจะสิ้นท่าแล้ว แต่ฉินจิ่วเกอก็ยังคงค้างอยู่ในท่าสะบั้นเศียรพยัคฆ์เช่นเดิม หน้าของมันขาวเผือดไร้สีเลือด เหงื่อกาฬไหลพรากจนแทบไม่ต่างจากเลือดที่ไหลปรี่ของพยัคฆ์ทลายเมฆา

อาวุโสสองที่หลบอยู่ไกลออกไปเห็นแล้วก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เท่าที่มันดู ศิษย์เอกคนนี้สามารถฆ่าได้โดยไม่กระพริบตา นับว่าใช้ได้

เดิมทีมันไม่วางใจเรื่องที่จะให้ฉินจิ่วเกอไปซื้อหาหญ้าจิตวิญญาณแสงจากเมืองซวนอู่ พอได้ประจักษ์ถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ กลับกลายเป็นว่ามันคิดมากไปเอง พอเห็นว่าฉินจิ่วเกอสามารถขจัดภยันตรายได้ด้วยตนเอง อาวุโสสองก็วางแผนจะเหินร่างกลับสำนัก

แต่แล้วก็ต้องชะงักงัน อาวุโสสองไม่กล้าเชื่อว่าภาพตรงหน้าจะเป็นความจริง

กลายเป็นว่าพอมันตั้งสติได้ ฉินจิ่วเกอก็ล้วงเอาดวงธาตุอสูรอันแสนล้ำค่าออกจากตัวสัตว์อสูรด้วยความเร็วแสง แต่คนไม่ได้มุ่งตรงต่อไปข้างหน้า ตรงข้ามมันกลับมุ่งดิ่งกลับมาทางเดิมไปเสียฉิบ

“ไอ้เด็กเวร เอ็งเดินผิดทางแล้วโว้ย จะกลับมาที่พรรคทำซากอะไร” อาวุโสสองที่แอบอยู่หลังพุ่มไม้ก่นด่าอย่างขัดใจ เมื่อกี้ยังแอบเปลี่ยนมุมมองความคิดที่มีต่อฉินจิ่วเกอ แต่ตอนนี้ดูท่าตัวเองคงจะตาบอดแล้วจริงๆ

อาวุโสสองที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะแค่เปลี่ยนเส้นทางเฉยๆ จึงนั่งรออยู่ที่เดิม หลังนั่งตากแดดรับลมอยู่ครึ่งชั่วยาม ถึงค่อยตระหนักขึ้นมา

มารดามันเถอะ ไอเด็กนั่นมันหนีทัพไปแล้ว!

ลิ่มเลือดที่ไหลเจิ่งอยู่กลางถนนของพยัคฆ์ทลายเมฆาเริ่มจับตัวเย็นชืด รอยตัดบนกระดูกราบเรียบเสมอกันคล้ายกำลังบอกอะไรบางอย่าง

แน่นอนว่าฉินจิ่วเกอไม่ได้หนีทัพ แต่ว่ามันนึกถึงเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดขึ้นมาได้

สาเหตุนั้นเรียบง่าย มันค้นพบว่าตัวเองไม่มีแหวนมิติไว้ใช้งาน

วัตถุล้ำค่าปานนั้น พรรคหลิงเซียวอันเล็กแคบย่อมไม่มีทางมอบให้กับเหล่าลูกศิษย์อยู่แล้ว

นั่นก็แปลว่า ต่อให้ตนซื้อหาหญ้าจิตวิญญาณแสงกลับมาได้ ของที่หนักร้อยกว่าจินนั่นก็ยังต้องเป็นตนแบกหามกลับมา

ล้อกันเล่นกระมัง ฉินจิ่วเกอหาได้โง่งมไร้สมอง ใครจะไปยอมทำเรื่องพรรค์นี้ให้ฟรีๆ

เพราะเหตุนี้ ฉินจิ่วเกอไปแล้วกลับมา ตัดสินใจตามหาแรงงานชั้นเลิศสูงใหญ่จากในพรรคก่อน อีกฝ่ายทางที่ดีต้องทั้งซื่อตรงทั้งถึกทน หนักเอาเบาสู้ พละกำลังมหาศาล และต้องเป็นพวกหลอกง่าย