ตอนที่ 11 เกิดเป็นคนต้องรู้ค่าของเงิน

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

กลางวันขับขานร่ำสุรา ใบไม้ผลิล่วงผ่านหวนคิดถึงบ้านเกิด

ฉินจิ่วเกอนำศิษย์น้องสี่ เดินตามทางหินเขียวอันยาวเหยียด จากยอดเขาลงสู่ทางเข้าออกของพรรค

นอกประตู ตั้งไว้ด้วยแผ่นศิลาขนาดยักษ์ สูงราวสามช่วงตัวคน

บนแผ่นศิลา สลักไว้ด้วยตัวอักษรคมกล้าแข็งแกร่งดั่งเหล็กสามตัว : พรรคหลิงเซียว!

เจ้าอ้วนน่าตายยืนอยู่ด้านหลังฉินจิ่วเกอ แสงอาทิตย์สาดส่องจากด้านหลัง เงาร่างของเจ้าอ้วนยืดขยายออกกว้าง ดูไปน่าเกรงขามยิ่ง

ฉินจิ่วเกอเป่าปากระบายลมคำหนึ่ง มองดูโลกเปี่ยมสีสันเบื้องนอกพรรค ขุนเขาสล้างวารีเขียว ช่างปลอดโปร่งเป็นธรรมชาติถึงเพียงไหน

สุดเบิกบานคือโศกนาฏกรรม ขณะที่ฉินจิ่วเกอนึกว่าหลุดออกจากกรงได้แล้ว ที่ด้านล่างแผ่นศิลา กลับสังเกตเห็นเงาร่างอันชดช้อยสายหนึ่ง ยืนดักรอเหยื่อและโชคลาภมาถึงอยู่

มองเห็นเหยื่อมาถึง แมวร้ายสยายกรงเล็บ ตระเตรียมตะปบหนูเข้าสู่อุ้งเท้า

ชัดเจน ฉินจิ่วเกอก็คือหนูโชคร้ายตัวนั้น

“ศิษย์พี่ใหญ่ ออกไปปฏิบัติภารกิจ ไฉนไม่ชวนข้า” ศิษย์น้องเล็กแยกเขี้ยวตำหนิเล็กน้อย ทวงถามความเป็นธรรมจากศิษย์พี่ใหญ่อย่างสงบ

กว่าฉินจิ่วเกอจะบังเกิดปฏิกิริยา ศิษย์น้องเล็กก็ล่องหนมาแขวนอยู่ข้างสะเอวของตนอย่างไม่ทันรู้ตัว

“ศิษย์น้อง มีเรื่องอันใดค่อยๆ ว่ากล่าว” ในฐานะบุรุษหนุ่มเที่ยงธรรม สิ่งเร้าเช่นนี้ฉินจิ่วเกอไม่อาจรับไหว แน่นอน ในใจของเขาไม่กล้ามีความคิดอุบาทว์แม้เพียงนิด ตนเองยินยอมอยู่ตามลำพังกับศิษย์น้องรองที่ยังไม่เคยเห็นหน้า ดีกว่าประกระบวนท่ากับศิษย์น้องเล็กคนนี้

คนแรกอย่างมากทำท่านเสื่อมเสียหน้า แต่คนหลังอาจทำให้ท่านต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล

หญิงสาวละมือน้อยๆ ที่คว้าจับไว้ สองตาดำขลับดั่งขนปักษากระพริบยิบยับ มองฉินจิ่วเกอด้วยความหวัง “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าอยากฟังนิทาน”

ฉินจิ่วเกอค้อมเอวลง หงายมือออกแสดงท่าจนหนทาง “หมดแล้ว ข้าไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าอีกแล้ว”

ตงฟางฉิงอวี่สายตาเฉียบแหลมมองทะลุซึ้ง เอ่ยวาจาทะลวงถึงกลางใจ “ศิษย์พี่ใหญ่วางใจ ท่านเล่านิทาน ข้าจะไม่แพร่งพรายต่ออาวุโสสาม ท่านวางใจเถอะ”

เมื่อได้ยินว่ามีนิทานสามารถฟังได้ เจ้าอ้วนน่าตายที่ยืนทื่อเป็นท่อนไม้พลันเคลื่อนไหว ร้องสนับสนุน “ศิษย์พี่ใหญ่เปี่ยมพรสวรรค์ ศิษย์น้องยินดีฟังเรื่องเล่าของศิษย์พี่ใช้ฝีปากท่องทั่วทุกสารทิศ”

“เจ้าหมายความว่าไง?” ฉินจิ่วเกอไม่พอใจ “ทอดตามองใต้หล้า ข้าไม่อาจเป็นทรราชคลุมแปดทิศงั้นสิ?”

“ศิษย์พี่ใหญ่อายุยืนพันปีหมื่นปี” เจ้าอ้วนน่าตายประสานมือป้อมอวบอ้วนขึ้น แสดงท่าทางคารวะ

“คิดอยากฟังเรื่องเล่า? ไม่มีปัญหา เอาเงินมาให้ข้าสิ” แววตาฉินจิ่วเกอสาดประกายเงินทอง จ้องมองคนทั้งสองอย่างหมายมาด

“เหอะเหอะ” ศิษย์น้องเล็กแค่นหัวเราะเสียงเย็น สองมือยกกอดอก ความหมายชัดเจนยิ่ง

เจ้าอ้วนน่าตายเองก็ไม่ชักช้า รีบเลียนแบบท่าทางของศิษย์น้องเล็ก แสดงเจตนารมณ์ว่าตนเองต้องการฟังเรื่องเล่าของเซียงอวี่ ตอนศิษย์น้องเล็กทำยังพอมีท่วงท่าของตงฟางปู้ป้ายอยู่บ้าง แต่พอเป็นเจ้าอ้วนน่าตาย ฉินจิ่วเกอเห็นแล้วกลับบังเกิดความคิดเชือดคนให้ตายก่อนฝังไว้เบื้องหน้าป้ายศิลาประจำพรรค

“แค่กแค่ก พวกเจ้ารู้หรือไม่ เพราะเหตุใดตงฟางปู้ป้ายได้รับคัมภีร์ทานตะวันแล้วจึงตอนตนเอง?” ฉินจิ่วเกอมือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า แสดงท่าทางแย้มยิ้มลี้ลับราวผีเสื้อมายาของจ้วงโจว

ศิษย์น้องเล็กมองออกถึงลูกไม้ของศิษย์พี่ใหญ่ ดังนั้นไม่ยอมเอ่ยปาก สรุปแล้ว แปลงร่างเป็นหนังวัวเสียบไม้ไร้ปฏิกิริยาใดๆ

แต่เจ้าอ้วนทางด้านข้างไหวพริบไม่สูงส่งเท่าใด สามารถพลิกซ้ายพลิกขวา ยังสามารถปั้นแต่งเรื่องราวได้

เจ้าอ้วนน่าตายครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจังก่อนลองตอบคำถามออกมา “เพื่อฝึกปรือวิชาเทพพิสดาร สะบั้นกระบี่ตอนตนเอง หากคิดสำเร็จการใหญ่ มีแต่ต้องกระทำเรื่องที่ผู้คนทั่วไปไม่สามารถกระทำได้”

“โนวโนวโนว นั่นไม่ใช่จุดสำคัญ” ส่ายศีรษะไปมาปฏิเสธ จากนั้นใบหน้าปั้นรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้น “เป็นเพราะมันอ่านคัมภีร์แล้วไม่ยอมจ่ายตังค์ต่างหาก จำเอาไว้ ฟังนิทานแล้วไม่จ่ายเงิน ช้าเร็วต้องพบจุดจบเช่นนี้!”

“ซี้ดดด” ชั้นไขมันหลายร้อยจินบนร่างเจ้าอ้วนน่าตายพลันกระเพื่อมขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

วาจาไม่กี่คำของฉินจิ่วเกอ กลับทำให้มันต้องสะดุ้งไม่คลาย

ช่างเป็นฝีมืออันชั่วช้านัก คำสาปแช่งอันร้ายกาจ ทว่ากลับได้ผลอย่างมหาศาล

ในที่สุดมันก็ซาบซึ้งถึงทรวงใน ต้องยอมสยบต่อบารมีของศิษย์พี่ใหญ่

หากแต่ศิษย์น้องเล็กยังคงกอดอกเชิดหน้ายิ้มเหยียด ชัดเจนว่าไม่ถูกข่มขู่เสียขวัญ

สามคนทะเลาะทุ่มเถียงวุ่นวายตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงเมืองซวนอู่ที่อยู่ห่างจากพรรคหนึ่งร้อยลี้

กำแพงเมืองอันใหญ่โตโอ่อ่าตั้งตระหง่านง้ำเบื้องหน้าฉินจิ่วเกอ ในฐานะผู้มาใหม่ที่เพิ่งมาถึงโลกนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกของมันที่ได้พบเห็นสิ่งก่อสร้างตระการตาเช่นนี้

กำแพงสูงสิบจั้ง เมื่อทอดตามองจากด้านล่าง ต้องแหงนคอตั้งบ่าจนปวดเมื่อยนัก

บนกำแพงเก่าคร่ำคร่า เต็มไปด้วยร่องรอยของเวลาอันกระดำกระด่าง สิ่งของที่สามารถผ่านกาลเวลายาวนาน ไม่มีผู้ใดกล้ามองข้าม

ยามใดที่เมืองซวนอู่กระตุ้นค่ายกล จะปลดปล่อยพลังวิญญาณที่ผู้คนต้องหวาดหวั่นออกมา ค่ายกลป้องกันนครนี้สามารถกำจัดยอดยุทธ์ระดับพิสุทธิ์ได้อย่างง่ายดาย

หากลองคิดคำนวณดู เกรงว่ามีแต่ยอดยุทธ์ชั้นกลั่นดวงธาตุ จึงสามารถไม่เห็นค่ายกลป้องกันเมืองซวนอู่อยู่ในสายตาได้

งานระดับนี้ สมกับเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรอยู่อาศัยนับล้านคน ถนนหนทางกว้างใหญ่ บ้านเรือนสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ แสดงให้เห็นถึงอำนาจและรายละเอียดของเมืองซวนอู่

“เจ้าอ้วน” ฉินจิ่วเกอเรียกหาเจ้าอ้วนที่ตามมาด้านหลัง

เจ้าอ้วนน่าตายคล้ายไม่พอใจต่อฉินจิ่วเกอเล็กน้อย ตัดพ้อว่า “ศิษย์พี่ ยามนี้ไม่ใช่ในพรรคเรา ช่วยรักษาหน้าข้าบ้างได้หรือไม่?”

“ก็ได้” ฉินจิ่วเกอแสดงความเมตตา “ที่จริงก่อนหน้านี้ข้าพบกับศิษย์น้องสามหรงเคอเคอ จึงเอ่ยถึงเจ้ากับนาง ศิษย์น้องบอกข้าว่า นางชมชอบเจ้าอ้วนที่สัตย์ซื่อถือมั่นนัก ไม่ชมชอบพวกคนใจแคบปากหวานก้นเปรี้ยว ช่างทำให้ผู้คนชิงชังนัก”

อันที่จริง ฉินจิ่วเกอถูกศิษย์น้องเล็กข่มเหงรังแกจนคับอกคับใจ จึงได้แต่เอาเจ้าอ้วนมาเป็นที่ระบายอารมณ์ “ในเมื่อศิษย์น้องเป็นพวกไม่ยอมรับตนเอง ข้าก็จะเปลี่ยนเป็นเรียกเจ้าว่าเจ้าหนุ่มรูปหล่อแล้วกัน”

“ศิษย์พี่เอาอะไรมาพูด” เจ้าอ้วนบังเกิดความร้อนรน สองมือรั้งชายแขนเสื้อฉินจิ่วเกอ “อย่าได้เกรงอกเกรงใจอันใดต่อข้าเลย รูปร่างข้าเป็นแบบนี้ ไม่เรียกว่าเจ้าอ้วน ยังจะเรียกว่าเจ้าผอมได้หรือ?”

“ดีมาก” ฉินจิ่วเกอตบบ่าเจ้าอ้วนเบาๆ “หาที่พักเท้ากันเถอะ พวกเราลองออกไปถามดูให้ทั่วๆ ในเมืองซวนอู่ที่ไหนขายหญ้าวิญญาณแสงราคาถูกบ้าง”

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญสะสางกิจการ ฉินจิ่วเกอนับว่าเข้าใจเรื่องราวดียิ่ง คนมาถึงอย่างภาคภูมิในเมืองซวนอู่ ยังคงไม่ลืมทำธุระแก่ผู้คน

เจ้าอ้วนน่าตายโบกนิ้วกลมๆ อ้วนป้อมราวแครอท สองตาเล็กเท่าถั่วเขียวขยิบยก “เรื่องใหญ่แล้วศิษย์พี่ ศิลาวิญญาณที่อาวุโสให้มา เพียงพอซื้อหาหญ้าวิญญาณแสงห้าสิบจินเท่านั้น จำนวนพอดีให้พวกเราทำภารกิจ ส่วนเรื่องอื่นๆ นอกจากนี้ พวกเราตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีเงินสักแดง”

“อะไรนะ?” ฉินจิ่วเกอบังเกิดโทสะ หวาดระแวงว่าเป็นเจ้าอ้วนที่แอบเล่นตุกติก ต้องนับคำนวนใหม่อย่างระวังถึงสามรอบ ผลสรุปที่ได้ คือเจ้าอ้วนไม่ได้โกหก อาวุโสแห่งพรรคหลิงเซียวนี้นับว่างกได้ที่จริงๆ

“ศิษย์พี่” ศิษย์น้องเล็กรั้งชายเสื้อของฉินจิ่วเกออย่างกระมิดกระเมี้ยน สีหน้าท่าทางช่างชวนให้ผู้คนต้องเวทนา “ข้าอยากรับประทานขนมนั่น”

ฉินจิ่วเกองอร่างลงมาอยู่ระดับเดียวกับศิษย์น้องเล็ก ในดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำ “ศิษย์น้อง ในกระเป๋าศิษย์พี่ใหญ่เองก็ไม่มีเงินสักแดง นี่ยังไม่รวมว่า ข้าแบกภาระหนี้สินของคนอีกร่วมร้อยในสำนัก ช่างน่าเวทนานัก”

“ใช่แล้ว ช่างน่าเวทนาจริงๆ” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเงิน เจ้าอ้วนน่าตายพลอยมีน้ำตา ใบหน้าอวบไขมันเปื้อนเปรอะไปทั่ว

หนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ หนึ่งอ้วนหนึ่งผอม ศิษย์ฝ่ายในทั้งสามของพรรคหลิงเซียว ต่างยืนที่หัวถนนร่ำไห้อย่างน่าสมเพช ดึงดูดสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา

“ไม่มีเงิน แล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ คงมิใช่ว่าต้องนอนข้างถนนหรอกนะ?” สีหน้าเจ้าอ้วนวิตกทุกข์ร้อน

“ไม่งั้นพวกเรารีบซื้อหญ้าวิญญาณแสงแล้วรีบกลับกันเถอะ?” ฉินจิ่วเกอกล่าว

ศิษย์น้องเล็กปิดใบหน้าแดงอมชมพูของนาง กล่าวเรียกสติทั้งสอง “เวลาไม่พอ พวกเราทั้งไม่มีเงินเช่าที่พัก ทั้งยังไม่มีเงินซื้อของรับประทาน ไหนจะอากาศหนาวเย็นอีก”

“ใช่แล้ว อากาศก็หนาว ยังหิวอีกด้วย” เจ้าอ้วนรำพันต่อตนเอง

ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของทั้งสองและของพรรคหลิงเซียว ฉินจิ่วเกอพลันรู้สึกว่าสองบ่าแบกภาระหนักหนาสาหัสอย่างไม่ทันตั้งตัว อารมณ์ดิ่งลงเหวในทันที แท้จริงแล้วเป็นศิษย์พี่ใหญ่ล้วนไม่ง่ายเลยจริงๆ

“ข้าว่าในเมืองซวนอู่ต้องมีเศรษฐีอยู่ไม่น้อย” เกิดเป็นคนต้องทรหดอดทน ฉินจิ่วเกอเริ่มสอดส่องหาเหยื่อโดยรอบ

เจ้าอ้วนน่าตายพลันเอ่ยทักท้วงขึ้นด้วยความหวาดหวั่นสุดแสน “ศิษย์พี่ใหญ่ โทษวิ่งราวโจรกรรมในเมือง คือฆ่าทิ้งในทันที”

“พูดอะไรของเจ้า ข้าหมายความว่าคนมีเงินมากมายในเมืองนี้ พวกเราไปเรี่ยไร สมควรได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง”

ในใจของฉินจิ่วเกอนั้น ชีวิตของตนแน่นอนว่ามาลำดับหนึ่ง ลำดับสองคือเงิน ลำดับสามคือตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของพรรคหลิงเซียว สำหรับเรื่องหน้าตาอันใดนั้น แน่นอนว่าย่อมต้องรั้งท้ายสุด สรุปแล้วอันดับสุดท้ายไม่เอาก็ยังได้

“ขอทาน?” เจ้าอ้วนและศิษย์น้องเล็กร้องออกมาพร้อมกัน

“อามิตตาพุทธ เรียกว่าบิณฑบาต ไม่ใช่ขอทาน!” ฉินจิ่วเกอเน้นเสียง บิณฑบาตกับขอทานมันคนละเรื่องกันเลย

“ไม่เอา” เจ้าอ้วนน่าตายก็มีหลักการอยู่บ้าง

โอย คิดๆ ดูก็มีเหตุผล

เจ้าอ้วนคนเดียวน้ำหนักเท่าคนสามคนรวมกัน ปริมาตรขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่อาจใช้งานได้

สำหรับกับหญิงสาวแรกแย้มเช่นศิษย์น้องเล็กเล่า ฉินจิ่วเกอเองก็ไม่อาจหักใจอำมหิตยิ่งกว่าสัตว์ป่าได้ หากใช้แรงงานนาง ดีไม่ดีอาจถูกฟ้าลงทัณฑ์

“ลองดูไปก่อน ปกติเอาแต่ซุกหัวฝึกวิชาในพรรค ไหนเลยจะเข้าใจเรื่องราวภายนอก” ไม่มีทางเลือก ฉินจิ่วเกอใคร่ครวญสามรอบ ตัดสินใจงัดเอาความสามารถที่แท้จริงของตนเองออกมาแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า

“พวกเจ้าคอยดูอยู่ห่างๆ ศิษย์พี่วันนี้จะสอนวิชาให้กระบวนท่าหนึ่ง!” จากนั้นคนยืดกายขึ้น รัศมีของยอดฝีมือเปล่งออกจากภายในสู่ภายนอก ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องเกิดความเลื่อมใสขึ้น

ฉินจิ่วเกอมองประเมินผู้คนโดยรอบ หาเป้าหมายในการลงมือ

ที่ต้องหาคือคนจำพวกกระสอบฟางไร้สมอง โดยเฉพาะกระสอบฟางที่มีอันจะกิน

ไม่นาน ฉินจิ่วเกอก็ต้องตาบุรุษหนุ่มแต่งกายฉูดฉาดผู้หนึ่ง มือไม้กระดูกราวหยกสลัก ท่วงท่าสำอางค์ ชัดเจนว่าเป็นพวกลูกเศรษฐีไม่รู้ความ ดี เป็นหมอนี่นี่ละ ฉินจิ่วเกอคลุมร่างด้วยเสื้อคลุมดำและหมวกหญ้าฟาง เดินเข้าไปหาอย่างปลอดโปร่ง

“พี่ท่าน สบายดี” ฉินจิ่วเกอดัดเสียงตนเองจนแหบแห้ง

คุณชายสำอางท่านนั้นหันหน้ากลับมา จมูกชี้ฟ้า นัยน์ตาสูงบนกระหม่อม สะบัดพัดจีบในมือ “มีอะไร?”

“คุณชายท่านนี้ หล่อเหลางามสง่าอย่างถึงที่สุด นับเป็นส่วนสัดชั้นเลิศจริงๆ” ขณะฝืนใจยกยอปอปั้นอีกฝ่าย ฉินจิ่วเกอพลันรู้สึกขึ้นมาว่าที่จริงเจ้าอ้วนเองก็เข้าท่าไม่น้อย

“นั่นยังต้องกล่าวหรือ” อีกฝั่งยังคงรักษาท่าทีอวดโอ่ลำพอง

“คุณชาย ท่านมีรัศมีสายหนึ่งจากฟ้า ทราบหรือไม่? ดูแล้วสมควรเป็นยอดอัจฉริยะเชิงยุทธ์ที่ร้อยปีจะปรากฏสักคน เพียงแต่น่าเสียดายที่มิได้พบพานวาสนา ดังนั้นเพียงสามารถอยู่ในเมืองซวนอู่ รั้งอันดับกลางขึ้นๆ ลงๆ อย่างยากลำบาก ถูกหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอเสี่ยงทาย

จากท่วงทีวาจาและการแต่งกาย อีกฝ่ายสมควรมาจากตระกูลสูง

น่าเสียดายที่เป็นพวกเจ้าสำราญไม่เอาอ่าว แม้มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่ไม่เลว แต่สุรานารีกลับทำลายพรสวรรค์ไป

“เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไร?” บุรุษหนุ่มแตกตื่น คนคล้ายสังหรณ์ว่า ตนเองใช่พบพานยอดคนแล้วหรือไม่

“เฮอะ เรานั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ภายในป่าเขา จนถึงวันนี้บรรลุถึงขั้นร่างทองอมตะ พลังชี่ประสานกายา สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ บำเพ็ญพรตอยู่ห้าร้อยปี คาดคำนวนว่าเมืองซวนอู่ปรากฏมังกรแท้จริงขึ้น และนั่นก็คือเจ้า!”