ตอนที่ 12 สุดปลายทางพบพานสัจธรรม

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

อีกฝ่ายแน่นอนว่าไม่มีทางคาดคิด ตนเองวันนี้ไม่ได้ไปหอนางโลม กลับตัดสินใจถูกต้องแล้ว

ตรากตรำมาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็มีวาสนาได้พบพานกับผู้วิเศษ?

“ท่านผู้วิเศษ ท่าน ท่านตั้งใจจะถ่ายทอดวิชาเทพให้ข้างั้นหรือ?” ตำนานอย่างปุถุชนผู้หนึ่งมีวาสนาได้พบผู้วิเศษและได้รับการถ่ายทอดวิชาจนทะยานขึ้นสวรรค์ในชั่วข้ามคืนใช่จะได้พบเจอกันง่ายๆ เห็นได้ชัดว่าสติปัญญาของอีกฝ่ายขาดแคลนจนน่าสังเวช เพียงพูดจาเป่าหูไม่กี่คำก็ถูกฉินจิ่วเกอล่อหลอกได้ง่ายๆ

เมื่อเห็นว่าได้เวลา ฉินจิ่วเกอก็แสร้งทำเป็นเล่นตัวเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเอาตำราเก่าขาดเล่มหนึ่งออกมา

บนปกเขียนด้วยตัวอักษรสีทองเจิดจ้าจนแทบทะลุออกมา: คัมภีร์ทานตะวัน!

“คัมภีร์ทานตะวันถือว่าเป็นตำราวิเศษแห่งยุค หากเจ้าได้ร่ำเรียนแล้วละก็ จำต้องบรรลุถึงขอบเขตที่สูงส่งเกินหยั่งถึงได้แน่ ศิลาวิญญาณห้าสิบก้อนของเจ้าในวันนี้คิดเสียว่าเป็นค่าทำขวัญที่โชคชะตาพาเราศิษย์อาจารย์มาเจอกัน แต่พึงจำไว้ว่าเจ้าไม่อาจนำเรื่องนี้ไปพูดกับผู้ใด หาไม่แล้วจะมีภัยมาถึงตัว!”

เมื่อเห็นว่าศิลาวิญญาณไม่พ้นมือตนแน่ๆ ฉินจิ่วเกอก็ไม่ลืมขู่ขวัญอีกฝ่าย เลี่ยงไม่ให้เผยพิรุธก่อนเวลา

พอมันกลับพรรคไปแล้ว ต่อให้เหยื่อตามหามันพบก็ไม่อาจทำอย่างไรได้

“ช้าก่อน” ขณะที่อีกฝ่ายกำลังล้วงเอาศิลาวิญญาณออกมาอย่างร้อนใจอยู่นั้น จู่ๆ กลับมีบุคคลที่สามสอดมือเข้ามาขวางเสียก่อน ทำให้แผนของฉินจิ่วเกอต้องพังไม่เป็นท่า

“คัมภีร์ทานตะวัน? เคล็ดวิชายุทธ์มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดเก้าระดับ กระนั้นก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีเคล็ดวิชาระดับสูงเล่มใดที่ใช้ชื่อแปลกพิสดารพันลึกเยี่ยงนั้นเลย” ผู้มาระดับฝีมือมิใช่ชั่ว เพียงพริบตาตำราเก่าขาดในมือของฉินจิ่วเกอก็ตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว

ฉินจิ่วเกอเคียดแค้นจนเข่นเคี้ยวยิงฟัน “ข้าเห็นว่าท่านมือไวไม่เลว สมควรมีฝีมือพอที่จะอยู่รอดในยุทธภพด้วยตัวคนเดียวมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ตำราวิเศษนี้ก็ยังได้ ยังมิสู้มอบให้คุณชายท่านนี้จะดีกว่า”

คุณชายหน้าขาวยามนี้แข็งค้างอยู่ในท่าล้วงเอาศิลาวิญญาณออกมาอยู่อย่างนั้น

“ฮ่าฮ่า คัมภีร์ทานตะวันอันใด เทียบกับเคล็ดวิชาระดับสองเกรงว่าจะเทียบไม่ติดด้วยซ้ำ ของสภาพชำรุดที่เอามาแปะติดกันอย่างนี้ กลับหน้าไม่อายเอาออกมาขายแลกศิลาวิญญาณห้าสิบก้อน?”

เผชิญกับมารผจญผู้นี้ ฉินจิ่วเกอมองสำรวจอีกฝ่าย พบว่าอาภรณ์ที่ใส่เป็นผ้าเนื้อดีสีเหลืองอมขาว บนศีรษะสวมมงกุฎหยกสภาพดีเอาไว้ ราศีสูงส่งไม่ธรรมดา

หน้าตาเทียบกับตัวเองยังดูดีกว่าเล็กน้อย ส่วนสูงเทียบกับตัวเองยังสูงกว่าเล็กน้อย ระดับฝีมือเทียบกับตนเองยังสูงกว่าเล็กน้อยอีกเช่นกัน

ฉินจิ่วเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย สองมือกำเข้าหากัน พยายามสะกดข่มโทสะในกายที่พลุ่งพล่านเอาไว้ สองตาทอประกายดุร้ายเหี้ยมเกรียม ยิ่งมองไอ้หนุ่มหน้ามนตรงหน้า ก็ยิ่งรู้สึกไม่ถูกโฉลกด้วยเท่านั้น

อีกฝ่ายไม่รู้อะไรด้วย ยังคงเผยรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ ใบหน้าคมคายดุจหยกสลัก คิ้วพาดเฉียงดุจกระบี่นัยน์ตาพร่างพรายดุจดารา

บอกตามตรง ฉินจิ่วเกอชอบคบหาคนอย่างเจ้าอ้วนเป็นสหายมากกว่า

ยังไม่ต้องเอ่ยถึงสาเหตุอื่น แค่ตอนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน เจ้าอ้วนน่าตายก็สามารถยกระดับฉินจิ่วเกอให้ดูดีขึ้นมาได้โดยไม่ต้องทำอะไร เหมือนกับบุปผาที่ต้องมีต้นหญ้าช่วยขับเน้นความงาม

แต่เมื่อเทียบกับเจ้ามารผจญนี่แล้ว ฉินจิ่วเกอพลันกลับกลายเป็นใบไม้ใบหญ้าไปทันที นี่จะต่างอะไรกับการจับมันทุ่มลงจากบัลลังก์หนุ่มงามลำดับหนึ่งแห่งทวีปฉงหลิงกัน?

พระเอกก็ไม่ได้เป็น จะนั่งแท่นบัญชาไปทั่วหล้าก็เลยทำไม่ได้

พรสวรรค์ฝึกวรยุทธ์แสนต่ำต้อย ตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่คงไม่พ้นต้องยกให้คนอื่น

สองข้อนี้ก็ถือเป็นโศกนาฏกรรมชีวิตแล้ว มายามนี้แม้แต่ตำแหน่งชายงามก็ไม่เหลือไว้ให้ตน แล้วยังจะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่ออะไร?

“ขอบังอาจถาม พี่ชายท่านนี้ไม่ทราบมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร?” มันกำลังคอยโอกาสอยู่ โอกาสที่จะได้ฉีกหน้าอีกฝ่ายให้ยับย่น

อีกฝ่ายประสานมือเข้าหากันเล็กน้อย ในแววตาซุกซ่อนความทระนงตัวอย่างปิดไม่มิด ต่างจากความถือดีของคุณชายผู้มีอันจะกินก่อนหน้า ความทระนงถือดีของคนผู้นี้ สั่งสมมาจากการทำลายผู้อื่นจนสิ้นซาก นี่รวมถึงในแง่ของระดับวรยุทธ์ พื้นเพ กระทั่งรูปร่างหน้าตา

“ผู้น้อยศิษย์ฝ่ายในสังกัดประตูหายนะ นามซ่งเล่อ คารวะท่านผู้สูงส่ง” แม้ถ้อยคำรวมถึงอากัปกิริยาล้วนสุภาพอ่อนน้อม แต่ฉินจิ่วเกอกลับจับสังเกตสีหน้าแววตาที่ต่างไปได้จากอีกฝ่าย คล้ายกำลังยั่วยุตน

“ประตูหายนะ?” พอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามที่ประกาศออกมา คุณชายผู้มีอันจะกินพลันสะดุ้งตัวตรง รีบคารวะปะหลกๆ ไปทางซ่งเล่อ ก่อนล่าถอยออกมาด้วยความเคารพกลัวเกรง

ส่วนฉินจิ่วเกอนั้น คุณชายผู้มีอันจะกินเลิกแยแสมันเสมือนกระดาษที่ถูกขยำทิ้งไว้ข้างทาง แม้แต่ตอนจากไปยังไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามอง

ศิลาวิญญาณห้าสิบก้อนของข้า! ฉินจิ่วเกอโอดครวญอยู่ในใจ แทบจะพุ่งเข้าไปสับสังหารเจ้าหนุ่มซ่งเล่อกระไรนี่ให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น จากนั้นก็จับมันมาทรมานด้วยวิธีการผิดมนุษย์มนาสารพัดแบบ

ในเมื่อแผนทำเงินพังไม่เป็นท่า ฉินจิ่วเกอก็ขี้คร้านอำพรางโฉมอีกต่อไป สาละวนถอดหมวกฟางผ้าคลุมดำออกให้พ้นตัวเสียจนวุ่นวาย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉื่อยว่า “ไอหยา ที่แท้เป็นสหายซ่งจงนี่เอง(ไปที่ชอบๆ ไวๆ) ยินดีที่ได้พบๆ”

“ซ่งเล่อ” บุรุษหนุ่มรูปงามเน้นเสียง ท่วงท่าอ่อนโยน สีหน้ายังคงทระนงถือดีเฉกเช่นเดิม

ฉินจิ่วเกอเบ้ปากดูถูก อวดเบ่งทำอะไร ตนเองเป็นศิษย์พรรคหลิงเซียว มหาประมุขสุดยอดยุทธ์ ศิษย์เอกอันดับหนึ่งที่บรรดาอาวุโสของพรรคเลือกสรร ดูสิว่าข้าคนนี้ถ่อมตัวขนาดไหน

“ตกลง สหายซ่งจง มีวาสนาพบกันใหม่” ภารกิจล้มเหลว ฉินจิ่วเกอคิดหลบลี้หนีห่างอีกฝ่ายให้ไกล จากนั้นค่อยทดลองใหม่

“เจ้าคนเมื่อกี้นั่น เป็นศิษย์สำนักตระกูลเฉินในเมืองซวนอู่นี้ ตระกูลของมันไม่อ่อนด้อย หากเจ้าหลอกลวงมัน เมื่อมันรู้เข้าที่หลัง อย่างน้อยต้องถูกทุบตีจนแข้งขาหัก” ซ่งเล่อออกปากอธิบายความ ตนเองมีเจตนาช่วยคน

ฉินจิ่วเกอแค่นเสียงคำหนึ่ง ใช้น้ำเสียงยอดคนถ่ายทอดผ่านยอดเมฆา “เด็กน้อยไม่รู้ความ ใครบอกเจ้าว่าคัมภีร์เล่มนั้นเป็นของปลอม?”

หลังจากเสแสร้งทำท่า คนก็รีบแฝงตัวเข้าในฝูงชน คิดกลบร่องรอยของตนเอง

ซ่งเล่อยืนตะลึงลานอยู่ที่ไกล ไม่คาดคิดว่าฉินจิ่วเกอไม่รับน้ำใจคน กลับตีฝีปากย้อนมาสอนตนเองอีกด้วย ในมือถือคัมภีร์ทานตะวันเล่มนั้นอยู่ ชายหนุ่มพลิกเปิดดูอย่างละเอียดทุกหน้า จนเปิดมาถึงหน้าสุดท้าย

บนนั้นเขียนเอาไว้สองประโยค : ฝึกปรือวิชาเทพ สะบั้นกระบี่ตอนตนเอง

ซ่งเล่อขยำกระดาษจนยับย่น เอ่ยปากว่า “ยังบอกว่าไม่หลอกลวงคน สมควรฆ่า!”

จากนั้นกวาดสายตาลงมาด้านล่างประโยค ปรากฏอักษรเขียนต่ออีกแปดคำ : คิดครองใต้หล้า แบกรับความลำบากทั้งปวง

“คิดครองใต้หล้า ต้องรับความลำบากทั้งปวง” ซ่งเล่อพึมพำต่อตนเอง “กล่าวได้ดียิ่ง นาวากลางลำน้ำ ไม่อาจหยุดพายได้ ประโยคนี้ถ่ายทอดปณิธานการบำเพ็ญพรตได้ดียิ่ง คนดูไปท่าทางบ้าๆ บอๆ ไม่คาดว่าจะมีจิตปณิธานแน่วแน่ถึงปานนี้”

เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่อาจพบเห็นเงาร่างฉินจิ่วเกออีกแล้ว นับว่ามีท่วงท่าของยอดคนสลัดผ้าพรางกายอยู่บ้าง

เมื่อพบว่าเจ้าอ้วนและศิษย์น้องไม่อยู่กับที่รอคอยมันตามนัดหมาย ฉินจิ่วเกอต้องเดือดขึ้นมา

ประเสริฐมาก เพื่อไม่ให้พวกเจ้าต้องนอนตากลมหนาว ข้าขายออกกระทั่งหน้าตาของตนเอง พวกเจ้ากลับไปเสวยสุขอยู่ที่ใดแล้ว

ตรงหัวมุมผู้คนแห่หลั่งไหลกันมาเหมือนสายน้ำ ในนั้นยังมีเงาร่างของเจ้าอ้วนน่าตาย โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน

ดูแล้วเหมือนซากหนูที่ไปโผล่อยู่ในชามข้าวต้มร้อนๆ

ไม่ว่าโลกไหน ตลาดก็ยังครื้นเครงไม่สร่าง พอเห็นว่าคนยังคงไปออกันอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่มีวี่แววว่าจะซบเซาลงง่ายๆ แสดงว่าต้องมีอะไรน่าสนใจ ลองดูก็ไม่เสียหาย

“เกิดอะไรขึ้น” ฉินจิ่วเกอถามเจ้าอ้วน

“โอ๊ะ ศิษย์พี่ พอดีมีคุณชายท่าทางมีกะตังค์ข่มเหงรังแกแม่หญิงบ้านไหนอยู่ก็ไม่รู้ ข้าเห็นแล้วอยากเข้าไปช่วยใจจะขาด” เจ้าอ้วนน่าตายแม้มีจิตใจรักความถูกต้อง แต่ไม่มีกำลัง จึงได้แต่ยืนชมอยู่วงนอก พร้อมส่งสายตาให้กำลังใจไปให้

“เอ๋” และแล้วฉินจิ่วเกอก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าชายที่กำลังลวนลามหญิงเคราะห์ร้ายคนนั้นก็คือเจ้าแพะอ้วนที่ตนยกให้เป็นเหยื่อเมื่อสักครู่ คลับคล้ายคลับคลาว่ามาจากบ้านสกุลเฉิน ตระกูลผู้ดีที่มีสิทธิ์เดินกร่างไปทั่วเมืองซวนอู่

กำปั้นใครแข็งกว่าคนนั้นก็เป็นเจ้า ผู้เข้มแข็งคือผู้ตรากฎ เรื่องอารมณ์ความสงสารล้วนไม่สำคัญ

“สมแล้วที่เป็นลูกพวกมีกะตังค์ งานก่อเรื่องนี่เรื่องถนัดเชียวล่ะ” ฉินจิ่วเกอเอ่ยเสียงแผ่ว มองตรงไปที่เหยื่อ

หญิงสาวนางนี้หน้าตาถือว่าดี อาภรณ์ที่สวมใส่ผ่านการซักฟอกมาแล้วหลายครั้งจนสีตก ตรงเท้าคือแผงขายสินค้าที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป

ถูกคนลวนลามขัดขวางการทำมาหากิน สตรีผู้เคราะห์ร้ายร้องไห้จนตาบวมแดง ดูแล้วน่าเห็นใจเป็นที่สุด

แต่เห็นใจก็ส่วนเห็นใจ คนดูได้แต่ยืนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบาด้วยเกรงในอำนาจของตระกูลเฉิน

ฉินจิ่วเกอทอดถอนใจ สมกับที่เป็นโลกปลาใหญ่กินปลาเล็ก ดูท่ากำปั้นใครใหญ่กว่าก็ถือสิทธิ์ขาดสินะ

“หุๆๆ แม่นาง เจ้าไปกับข้าดีกว่า ไปเป็นอนุของข้าเถอะ”

รอยยิ้มเกลื่อนหน้าเจ้าเด็กขี้โอ่ ลิ่วล้อทางด้านข้างเองก็เข้ามาฉุดกระชากลากถู

หญิงสาวนางนี้ ทันทีที่เปิดตัวก็ถูกกำหนดแล้วว่าต้องเป็นต้นตอของปัญหาแน่นอน

“อย่านะ” ใบหน้าของนางเปื้อนคราบน้ำตาสองสาย เอ่ยอย่างสิ้นหวังไร้ทางออก “ข้ายังมีบิดามารดาที่ป่วยหนัก ขอร้องท่านปล่อยข้าไปเถอะ”

ประโยคเดียวเท่านั้น ต้นตอปัญหาเช่นนางก็มีที่หยัดยืน

เจ้าอ้วนน่าตายเห็นสถานการณ์เบื้องหน้า เส้นผมบนหนังศีรษะที่ห่อกระโหลกอ้วนกลมล้วนลุกชี้ชัน สองตาเบิกกว้างแทบฉีกขาด “ชั่วช้าน่าชังนัก ศิษย์พี่ พวกเราใช่สมควรสอดมือเข้าช่วยหรือไม่?”

“ไม่ต้อง ข้าดูแล้วรูปการณ์ไม่ธรรมดา มิใช่เรียบง่ายเช่นที่เรามองเห็นภายนอก” ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะ มันตายมาแล้วสองรอบ อยู่มาสามชีวิต เรื่องอื่นไม่กล้าเอ่ย แต่ด้านประสบการณ์และสายตายังไม่เลวร้าย เรื่องราวนี้ไม่ปรกติธรรมดา

ศิษย์น้องเล็กปล่อยฉินจิ่วเกอรั้งมือน้อยไว้ สีหน้าล้วนเรียบเฉยเช่นเดียวกับชายหนุ่ม

“ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวถูกต้อง” หญิงสาวเขย่าแขนฉินจิ่วเกอ “สตรีนางนั้นมีปัญหา นางมิใช่คนดี”

“ดูสิ แม้แต่ศิษย์น้องเล็กยังมองออก” ฉินจิ่วเกอแบมือออก เจ้าอ้วนน่าตายเลเวลต่ำเกินไปแล้ว กระทั่งเด็กหญิงอายุสิบกว่าปียังสามารถจับไต๋ได้ ไยต้องร้อนรนถึงปานนั้น

“อา อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา” ฉินจิ่วเกอจู่ๆ ก็บีบเสียงเล็ก คล้ายเลียนเสียงสตรี

“อา อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา” หญิงสาวนางนั้นร่ำร้องด้วยความตื่นตระหนก เรียวนิ้วยาวพยายามขัดขวางชายฉกรรจ์

ฉินจิ่วเกอที่มองออกถึงแก่นของเรื่องราวเอ่ยต่อว่า “อย่าได้เข้ามา ต่อให้ต้องตายข้าก็ไม่มีทางให้เจ้าแตะต้องตัวข้า”

ทางด้านนั้น หญิงสาวกระทืบเท้า วาจาที่ร่ำร้องออกมา เพียงเชื่องช้ากว่าฉินจิ่วเกอเล็กน้อยเท่านั้น

“ศิษย์พี่ใหญ่ ยอดคนแท้ๆ” เจ้าอ้วนน่าตายคารวะฉินจิ่วเกอด้วยความเลื่อมใส

“เฮอะ เรื่องราวมีปัญหา ดูท่าเจ้าคุณชายขี้เบ่งนั่นต้องได้รับความลำบากแน่นอน” ฉินจิ่วเกอแม้มองออกว่าเรื่องราวมีจุดบอด หากทว่าไม่คิดสอดมือก่อเรื่องวุ่นวาย คอยดูอยู่ด้านข้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดมิใช่หรือ?

เจ้าลูกเศรษฐีขี้เบ่งกระทำการเยี่ยงสัตว์ป่าบีบคั้นทีละก้าว หญิงสาวอ่อนแอยากไร้ผู้น่าเวทนาถอยจนสุดทาง

สุดท้าย เมื่อถึงทางตัน พระผู้ช่วยให้รอดก็ปรากฏกายออกมาราวสายฟ้าฟาด

“พี่เฉิน อย่างไรก็เป็นทายาทมีชาติมีตระกูลในเมืองซวนอู่ กระทำการใดไม่สมควรไร้มารยาทปานนี้กระมัง? หากเรื่องถึงหูของท่านหัวหน้าตระกูลเฉิน ท่านคงไม่อาจหลบพ้นอาญา ทั้งยังจะเป็นสาเหตุให้ตระกูลอื่นเข้ากำจัดเล่นงานได้ ตระกูลเฉินย่อมเสียหายอย่างสาหัส”

“นี่….” คุณชายสำรวยเกิดกลัวขึ้นมา ที่มันพึ่งพาทุกวันนี้ ก็คืออิทธิพลอำนาจของตระกูล

หากก่อเรื่องราวใหญ่โตถึงตระกูลเฉิน แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องไม่ชาญฉลาด นอกจากนี้อีกฝั่งเป็นซ่งเล่อ มิอาจไม่ไว้หน้า

“พี่ซ่งกล่าววาจามากมารยาท เป็นผู้น้อยมุทะลุเกินไป” อันธพาลน้อยข่มเหงลวนลามหญิงสาวไร้กำลัง พริบตาเดียวแปรเปลี่ยนเป็นสุภาพบุรุษอันสง่างาม ทำการคารวะก่อนจากไป

หญิงสาวอ่อนแอนางนั้นถูกทำให้แตกตื่นจนมือเท้าอ่อนเปลี้ย อนิจจาดันล้มลงใส่ร่างของคุณชายลูกเศรษฐีนั้น

จู่ๆ มีลมหอมหอบหนึ่งโถมเข้าหา ทว่าคุณชายลูกเศรษฐีถูกไล่ผีไปแล้ว หลังตกตะลึงชั่วครู่ก็คืนสติ ผลักร่างอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจเท่าใด

สตรีนางนี้นับว่าเป็นของชั้นเลิศ ทว่านามอย่างประตูหายนะ ไม่ใช่สิ่งที่อันธพาลน้อยเมืองซวนอู่จะมองข้ามได้

“ขอบคุณคุณชาย” หญิงสาวย่างเท้าดอกบัวพาร่างอ้อนแอ้นราวหยกของนางเคลื่อนย้าย โผเข้าสู่อ้อมอกของบุรุษขี่ม้าขาวอย่างซ่งเล่อ

สถานการณ์พลิกผันเช่นนี้ แม้แต่ซ่งเล่อเองยังต้องเหม่อลอยตะลึงลาน

ชั่วครู่ ใบหน้าของบุรุษหนุ่มเห่อร้อนขึ้นเล็กน้อย มีเพียงฉินจิ่วเกอที่มองดูอยู่ด้านข้าง เก็บรายละเอียดการเคลื่อนไหวทั้งหมดไว้ในสายตา ริมฝีปากวาดเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย